'อุ้ม-สิริยากร'อยาก..หลุดพ้น"เวียนว่ายตายเกิด

กระทู้: 'อุ้ม-สิริยากร'อยาก..หลุดพ้น"เวียนว่ายตายเกิด

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. *8q* said:

    'อุ้ม-สิริยากร'อยาก..หลุดพ้น"เวียนว่ายตายเกิด

    'อุ้ม-สิริยากร'อยาก..หลุดพ้น"เวียนว่ายตายเกิด"

    ทุกวันนี้สังคมไทยมีการตื่นตัวในเรื่องของการปฏิบัติธรรมกันมากขึ้น โดยเฉพาะนักแสดงหลายคนที่ได้ผ่านการอบรมวิปัสสนากรรมฐานมาแล้ว อาทิ "ลูกศร" ธนาภรณ์ รัตนเสน, "แนน" ชลิตา เฟื่องอารมย์, "แอน" สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์, "กิ๊ก" มยุริญ ผ่องผุดพันธ์


    อุ้ม-สิริยากร พุกกะเวส นักแสดงและพิธีกรชื่อดัง เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้เข้าปฏิบัติธรรม ที่ศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติ วัดผาณิตาราม จ.ฉะเชิงเทรา มาแล้ว ถึงสองครั้ง ขณะเดียวกันได้ไปวิปัสสนากรรมฐานกับชมรมคนรู้ใจของ ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ณ สำนักสงฆ์เขาดินหนองแสง จ.จันทบุรี


    สิริยากร ยอมรับว่า "ก่อนหน้านี้ไม่เคยเข้าใจเรื่องการมีสติว่าเป็นอย่างไร ปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามอารมณ์ที่เกิดขึ้น เราไม่เคยรู้ใจของเราในทุกขณะจิต"
    อย่างไรก็ตาม ได้เข้าปฏิบัติธรรมครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม ๗ วัน ๖ คืน และวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๘ อีก ๓ วัน ทำให้มีความรู้สึกว่าชีวิตเปลี่ยนแปลงไป เพราะเป็นหลักสูตรเจริญสติเพื่อพัฒนาปัญญา ทำให้รู้ว่าจริงๆ มนุษย์ควรมีสติกำกับ แล้วต้องระลึกรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงทุกอย่าง ไม่ว่าเราจะทำอะไรอยู่ก็ตาม





    อุ้ม บอกว่า การปฏิบัติธรรมที่ผ่านมา ทำให้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว ตัวเราไม่มีอะไรเลย มันเป็นเพียง ทาส ๔ ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่มารวมกันอยู่เท่านั้นเอง สิ่งที่เกิดขึ้นเราปรุงแต่งขึ้นมาเองทั้งหมด จริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรที่เที่ยงเลย แล้วเราจะไปยึดติดกับมันทำไม วันนี้เราพูดได้ การปฏิบัติ ก็ยังทำไม่ได้ทั้งหมด แต่เราก็ปล่อยได้เร็วขึ้น แทนที่มีอะไรมากระทบ จะหวั่นไหวไปกับมัน เราก็จะนิ่งขึ้น

    แม้ว่าสิ่งที่ได้เราอาจไม่ได้ทุกขณะจิต เนื่องจากจิตเรายังไม่เข้มแข็ง มากขนาดนั้น แต่มีแนวทางว่าชีวิตเราควรจะดำเนินไปทางไหน ก่อนหน้านี้ จะเป็นคนสงสัยอะไรมากมาย ไม่ว่าจะมีเรื่องกลุ้มใจ ปรึกษาใครดี เราไม่รู้ว่าคำตอบจะอยู่ที่ไหน

    ในที่สุดก็เข้าใจด้วยตัวเองว่า ธรรมะตอบเราได้ทุกอย่าง ถึงวันนี้จิตใจก็ยังอ่อนไหว อยู่บ้าง ถ้ามีอะไรมากระทบ แต่จะพยายามปฏิบัติในสิ่งเหล่านี้ให้ได้ เพราะเรารู้ว่าเป้าหมายของหลักธรรมอยู่ตรงไหน

    นักแสดงชื่อดังกล่าวต่อว่า ทุกวันนี้พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อเกิดขึ้นก็ต้องดับไป ไม่ว่าเป็นสุขหรือทุกข์ หลายคน ที่เกิดปาฏิหาริย์กับชีวิต ตรงนี้อยากบอกว่า จริงๆ ไม่ได้เป็นปาฏิหาริย์อะไร มองว่าเป็นธรรมะจัดสรรให้มากกว่า เพราะสิ่งต่างๆ จะเกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดี และไม่ดี ตรงนี้เกิดจากผลที่เราได้กระทำกันมาตั้งแต่อดีต หรือการกระทำในปัจจุบัน จึงกลายเป็นผลถึงอนาคต สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เป็นการเกิดขึ้นจากเหตุ

    ชีวิตที่ผ่านมาจะอธิษฐานขอพร แล้วก็เชื่อว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น สิ่งเหล่านั้นเป็นเพราะยังไม่รู้ว่าการขอพรนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร มาวันนี้รู้แล้วว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เชื่อในเรื่องกรรมและผลของกรรม

    ดังนั้นเราต้องทำปัจจุบันให้ดีที่สุด หลังจากนั้นชีวิตเราจะดีเอง กรรมที่ว่านี้เกิดจาก การกระทำของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นกุศลกรรม หรืออกุศลกรรมที่เราเคยทำไว้ แต่เราไม่เคยรู้ ตรงนี้อยากบอกว่ากรรมทุกอย่างจะมีผลของมัน เมื่อทุกอย่างมาถึง วันหนึ่งก็ต้องจากไป เราจึงไม่ต้องทุกข์ร้อนใดๆ




    นอกจากจะสวดมนต์คาถาชินบัญชรทุกคืนแล้ว ทุกวันนี้อุ้มยังเพิ่ม การสวดพุทธบูชา บทสวดอื่นๆ อีกหลายบท รวมทั้งมีการแผ่เมตตาให้กับเจ้ากรรมนายเวร ขณะเดียวกันหากมีเวลามากพอก่อนนอนยังต้องเดินจงกรม นั่งสมาธิเป็นประจำ

    และเมื่อวันนี้เรายังต้องรับผิดชอบต่อสังคม มีหน้าที่อยู่ในโลก เราก็ควรให้เจริญทั้งทางโลกและทางธรรม คือโลกไม่ช้ำ ธรรมไม่ขุ่น ไม่เสีย เอาธรรมะมาอยู่กับงาน ทำทุกอย่างก็ต้องทำอย่างมีสติ "การมีสติรู้ในสิ่งที่ทำจึงเป็นเป้าหมายที่จะทำให้ได้ เพราะเป้าหมายสูงสุด วันหนึ่งเราจะได้หลุดจากกิเลสตัณหาลงทั้งหมด ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ คือการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดจากวัฏสงสาร

    แต่ถ้าเรายังไม่หลุดพ้นกับมัน มีชาติต่อไป ของชีวิต อุ้มก็ตั้งใจปฏิบัติว่าถ้าเรายังไม่หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เป้าหมายของจิต ขอเพียงให้เราบำเพ็ญเพียรสนใจในธรรมะ จนท้ายที่สุดจะหลุดพ้นได้จริงๆ" สิริยากร กล่าวทิ้งท้าย

    เรื่อง สุทธิคุณ กองทอง


    http://board.agalico.com/showthread....569#post177569
    ก่อนเกิดใครเป็นเรา<br />เมื่อเกิดแล้วเราเป็นใคร<br /><br />สิ่งที่ทำอยู่คือกรรมใหม่<br />ผลที่ได้รับคือกรรมเก่า<br /><br />ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน<br />มองในสิ่งที่ไม่เห็น<br />ทำในสื่งที่ไม่มี
     
  2. khanidnicha said:
    การปฏิบัติธรรม การให้ทาน การรักษาศีล การภาวนา เป็นสิ่งที่ประเสริฐบุคคลใดสามารถกระทำได้บุคคลนั้นย่อมสามารถหลีกพ้นจากวังวนของกระแสโลกที่คลุกเคล้าด้วยกระแสแห่งความทุกข์และสุขที่เป็นต้นเหตุแห่งกรรมที่ทำให้ภาวะของจิตวิญญานของคนนั้นเสือมลงโดยตลอด ฉะนั้นการปฏิบัติเพื่อให้เกิดสติก่อเกิดความสงบก่อเกิดปัญญาเพื่อนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องนั้นเป็นส่วนสำคัญที่สุดของการที่ได้มีโอกาสได้เกิดมาเป็นคนในครั้งนี้
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดย khanidnicha : 07-03-2013 เมื่อ 09:49 PM
     
  3. khanidnicha said:
    การปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดนั้นต้องมีทานเป็นนิจ รักษาศีลเป็นประจำ การภาวนาอย่างสมำเสมอจึงสามารถหลุดพ้นได้และถือว่าเป็นการกระทำที่ประเสริฐบุคคลใดสามารถกระทำได้บุคคลนั้นย่อมสามารถหลีกพ้นจากวังวนของกระแสโลกที่คลุกเคล้าด้วยกระแสแห่งความทุกข์และสุขที่เป็นต้นเหตุแห่งกรรมที่ทำให้ภาวะของจิตวิญญานของคนนั้นเสือมลงโดยตลอด ฉะนั้นการปฏิบัติเพื่อให้เกิดสติก่อเกิดความสงบก่อเกิดปัญญาเพื่อนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องนั้นเป็นส่วนสำคัญที่สุดของการที่ได้มีโอกาสได้เกิดมาเป็นคนในครั้งนี้ หู ตา จมูก ลิ้น กายใจ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่กล่าว ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด สิ่งต่างๆที่สัมผัสรู้จากกระแสแห่งโลกภายนอกล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ทั้งสิ้น เราจะสังเกตได้จากการที่เรานั่งภาวนา สิ่งต่างๆ ภายนอกเราไม่เห็น ความทุกข์ต่างๆ ก็ไม่มี เพราะฉะนั้นการรู้ การเห็น ปกติคนเรานั้นจิตใจเมื่อไม่ได้รับการอบรมก็จะรู้ไม่เท่าทันในความทุกข์ต่างๆ ที่เกิด เพราะไม่สามารถเข้าไปใช้วิจารณญาณทั้งหลายเข้าไปรับรู้ได้ อาศัยความนึกคิดของสมองเข้าปรุงแต่งจำแนกแยกแยะไม่ได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่อ้างอิงซึ่งเหตุและผล อาศัยจิตในการสั่งการปรุงแต่งนึกคิด บางสิ่งบางอย่างที่กระทำผิดพลาดก็ยังระลึกรู้ไม่ได้ว่าทำผิดพลาด กลับถือว่าทุกสิ่งที่ทำนั้นถูก
    ฉะนั้นการที่เรามาหาความสงบเพื่อให้เกิดปัญญาตัวรู้ในยามที่เรานั่งปฏิบัติภาวนา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัสทั้งหลายไม่มี ระลึกรู้อยู่แค่ภายในในดวงจิตของเราในลมหายใจของเราเท่านั้น เพราะฉะนั้นสิ่งต่างๆ ที่เราปฏิบัติตลอดเวลาที่เรานั่งสมาธิมันก็คือความสงบ ในความสงบนั้นมันก็จะมีเหตุมีผลอยู่ในความสงบนั้น ความสงบนั้นเป็นต้นทางแห่งปัญญาทั้งหมด ความสงบยิ่งมากปัญญาก็ยิ่งเกิดมาก เมื่อความสงบเข้าสู่ความละเอียดเหตุผลนั้นรองรับเต็มกำลัง จิตวิญญาณนั้นก็จะเกิดความรู้เท่าทันในเหตุและปัญหาต่างๆ ไม่ว่าเหตุนั้นจะเป็นเหตุที่รุนแรงหรือไม่รุนแรงก็ตาม ก็สามารถใช้จิตนั้นเข้าพินิจพิเคราะห์ในเหตุการณ์ต่างๆ ทีเกิด มีเหตุผลมารองรับอย่างถ่องแท้ ไม่ถูไถใช้สีข้างเข้าหา ไม่ใช้ใจเป็นหลัก แต่ใช้สติและกำลังของปัญญานั้นเป็นตัวตัดสิน ความถูกผิดนั้นก็อยู่ที่ตรงนี้ เพราะสิ่งต่างๆ ที่เราคิดด้วยสมองมีโอกาสที่จะกลายเป็นกรรม แต่ถ้าจิตวิญญาณที่ฝึกดีย่อมมีหนทางในการมองให้รู้ว่าสิ่งที่เรากระทำที่ผิดพลาดนั้นถูกหรือผิด บางคนเกิดมาแล้วในสภาวะแวดล้อมที่หล่อหลอม ทำให้กำลังปัญญานั้นอ่อนด้อย บางคนเกิดในตระกูลสูงมีพ่อแม่เป็นกำลัง หรือพ่อแม่ย่อมถือท้ายก็เพาะบ่มนิสัยใจคอต่างๆ ให้เป็นคนถือตนถือตัวเป็นใหญ่ ตัดสินต่างๆ ก็ขาดความยั้งคิด เพราะฉะนั้นสิ่งต่างๆ ในสภาวะแวดล้อมอย่างนี้นั้นทำให้บุคคลนี้นั้นตกสู่อบายทันที ก็จะกระทำสิ่งที่ไม่ดีได้ตลอด เปรียบเหมือนคนเราที่ถืออารมณ์เป็นใหญ่แล้ว ความโกรธเป็นเหตุ ความหลงเป็นตัวนำพา ความโลภเป็นตัวปัญหา เพราะฉะนั้นคนเราเกิดมาตั้งแต่เด็ก หนุ่มสาว แก่เฒ่าชรา วันเวลาที่พ้นผ่านล้วนแต่ใช้ชีวิตไปตามวิถีทางของปัญหาทั้งสิ้น สิ่งต่างๆ ที่เข้ามาพัวพันในชีวิตมีทั้งกระแสแห่งความดีและกระแสแห่งความชั่วที่เข้ามาคละเคล้าเจือปน อยู่ในแวดวงในวงล้อมชีวิตของเรา เพราะฉะนั้นถ้าคนใฝ่ดีก็จะเลือกสรรสิ่งที่ดีมาเป็นกำลัง แต่ถ้าคนใฝ่ไม่ดีคิดไม่ดีก็นำสิ่งที่ไม่ดีสิ่งที่ชั่วร้ายต่างๆ เข้ามาสิงสถิตอยู่ในภายในจิตในใจของเรา ยิ่งนานวันก็ยิ่งเพาะบ่มนิสัยจนกระทั่งเกิดความเคยชิน บางคนก็โมโหดุร้าย ขาดแล้วซึ่งเหตุผลถือตัวเองนั้นเป็นใหญ่ เพราะฉะนั้นสิ่งต่างๆ ที่เพาะบ่มนั้นเป็นกรรมทั้งสิ้น ความโกรธทำให้เหตุการณ์ต่างๆ นั้นพลิกพลันไปสู่ทางเลวร้ายที่สุด เปรียบเหมือนไฟที่ย่อมเผาทำลายทุกสิ่ง ไฟถึงแม้มีคุณประโยชน์แต่ก็มีโทษมหันต์ เพราะฉะนั้นการที่เรามีอารมณ์ที่รุนแรงในตลอดห้วงเวลาที่เรามีชีวิตอยู่นั้น ทำให้จิตของเรานั้นเกิดความเสื่อมขาดหลักใจที่มาหล่อเลี้ยงทำให้เราชุ่มเชิด จะกลายเป็นคนที่มีความทุกข์อยู่ตลอดเพราะไฟนั้นเผาตัวเอง ฉะนั้นการที่เราปฏิบัติเพื่อค้นหาสิ่งต่างๆ สิ่งไม่ดีที่เคลือบแฝงอยู่ในจิตใจของเรา ค้นให้พบค้นให้เจอ เพื่อจะได้ละวางทิ้งเสียให้ดี ส่วนใหญ่เหตุการณ์ต่างๆ ในโลกล้วนแล้วแต่เกิดจากอารมณ์ที่ร้อนแรง เพราะฉะนั้นเมื่อเรารู้ว่าอารมณ์นั้นเป็นตัวบั่นทอนที่จะทำลายชีวิตของเราทำลายจิตใจของเรา สร้างความสุขให้เรา เราจึงต้องพยายามงดเว้นด้วยการปฏิบัติเพื่อใฝ่หาความสงบ นำความสงบนั้นเข้าสู่ปัญญาขั้นพื้นฐานจะได้จำแนกแยกแยะในสิ่งดีชั่วทั้งหลาย ให้มันหมดไปจากจิตใจโดยไว
    ชีวิตคนเราเกิดมาไม่ยืนยาวเท่าไหร่ 70-80 ก็ล่วงละลับไปแล้ว เพราะฉะนั้นการเกิดของเราแต่ละครั้งต้องใฝ่หาสิ่งที่ดีเพราะว่าเสริมสร้างชีวิตของเราให้มีความสดชื่น มีความสุขได้ตลอดวันเวลาที่เรามีชีวิตอยู่ อย่าให้ความร้อนของไฟต่างๆ เข้ามาเผาผลาญทำลายสิ่งที่ดีงามของเรา อารมณ์นั้นเป็นตัวกำหนดซึ่งกาย วาจา ใจ ทั้งสิ้น การกระทำต่างๆ ของเรานั้นมันเป็นไปด้วยความนุ่มนวล เรียบร้อย หรือโผงผางรุ่มร้อน วาจาที่พูดอ่อนหวานนอบน้อม หรือกระโชกโฮกฮากหรือด่าทอได้ตลอด ความนึกคิดคิดด้วยอารมณ์เคียดแค้น จริงจัง อาฆาต มาตร้าย สิ่งต่างๆ เหล่านี้นั้นถ้ามองเข้าไปลึกๆ จริงๆ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นไปภายในจิตใจของเราเท่านั้น คนอื่นจะหารับรู้ในสิ่งต่างๆ ที่เราเป็นนั้นคงไม่มี ฉะนั้นคนเราเมื่อเกิดมาแล้ว ห่วงเวลาอันน้อยนิด ทำไมเราจะต้องเอาภายนอกทั้งหมดสิ่งต่างๆ ที่เกิดภายนอกทั้งหมดนั้นเข้ามาฝังรากอยู่ในจิตในใจของเรา ทำให้เราร้อนรุ่มทำให้เรามีความทุกข์อยู่ตลอดทุกๆ วัน การวางทุกข์เป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นสิ่งที่เราพึงควรกระทำ ความทุกข์แบกใส่บ่ามันย่อมหนัก หนักทั้งร่างกายและจิตใจของเรา ร่างกายทรุดโทรมหน้าตาหมองคล้ำดำเครียด ทุกสิ่งในโลกล้วนอนิจจังแปรปรวนแปรเปลี่ยนได้ตลอด เพราะฉะนั้นอย่าให้ความแปรเปลี่ยนของเรานั้นมากำหนดชะตาชีวิตของเรา อย่าให้อารมณ์นั้นมาเป็นตัวบ่อนทำลายความสุข ต้องพยายามใฝ่หาสิ่งที่ดีงามสิ่งที่ดูแล้วสบายใจ สิ่งที่ดูแล้วมีความสุข ในห้วงชีวิตหนึ่งของเรานั้นจะหาความสุขได้สักกี่ครั้งในชีวิต ถ้าจิตเราไม่ละวางจิตนั้นก็เป็นทุกข์ตลอดกาล ไม่สามารถหลีกลี้หนีความทุกข์ไปได้ เมื่อความทุกข์ก่อเกิดทุกสิ่งทุกอย่างย่อมสามารถกระทำได้ ไม่ว่าจะสร้างกรรมสร้างเวรต่างๆ ก็สามารถทำได้โดยอำนาจแห่งความหลงงามงายที่ไม่รู้เท่าทันทั้งหมด แต่คนเราเมื่อเกิดมาแล้วใฝ่หาความสุขตลอด จิตใจก็มีแต่ความอิ่ม ปีติ มีความสุข มีความยินดี จิตใจก็อ่อนโยนทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตก็จะดีทั้งหมด ไม่ว่าจะไปสถานที่ใดสถานที่ไหนใครๆ ก็นิยมชมชอบ เพราะฉะนั้นการที่เราใฝ่หาซึ่งความดีรับไว้ในจิตใจของเรา 1.ให้บังเกิดแล้วซึ่งความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ 2. การช่วยเหลือเอื้ออาทร 3. ความมีเมตตาจิตต่อสิ่งต่างๆ ในโลก เมื่อเรามีสามสิ่งนี้ครบถ้วนเราจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในชีวิตง่ายๆ เมื่อเราไปช่วยเหลือคนคนหนึ่งให้รอดพ้นจากความทุกข์ยากจากความลำบาก ถ้าบุคคลนั้นประสบผลสำเร็จ ผู้ที่ช่วยเหลือนั้นย่อมมีความสุข แม้ว่าจะช่วยเหลือไม่ได้เราก็เป็นสุข เพราะเราได้ทำในสิ่งที่มีคุณค่าทำในสิ่งที่ดีงาม ฉะนั้นการที่เราเริ่มต้นใฝ่หาซึ่งความดีงามประดับในกายจิตของเราให้มากเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน มองทุกอย่างในโลกล้วนเป็นสิ่งที่ดีถึงแม้สิ่งใดๆ ที่ทำให้มีทุกข์ ก็พยายามปล่อยวางเมื่อเราวางได้ทุกข์นั้นก็ไม่มี คนเราเกิดมาเดี๋ยวก็ไปจากโลกนี้ไม่มีใครสามารถยืนหยัดอยู่ได้ตลอด สิ่งที่สูญเสียสิ่งที่อยากได้แล้วไม่ได้ก็ไม่ต้องกังวล ทุกสิ่งในโลกล้วนอยู่แล้วก็เสื่อมไปในที่สุด แม้กระทั่งร่างกายของเราก็เหมือนกัน ต้องพยายามจัดการในทุกสิ่งให้ดี ใช้สติปัญญาให้มาก ปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าย่อมแก้ไขได้ในที่สุด ต้องจำไว้ว่าอารมณ์ต้องอยู่หลังเหตุผล สติต้องมาก่อน ถ้าเราฝึกภาวนาขั้นพื้นฐานจนได้ความสงบ จนได้สติ เราก็สามารถที่จะลุล่วงทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างแน่นอน ภาวนาจึงเป็นหลักใหญ่ในการบริหารจัดการชีวิตของเรา บริหารจัดการจิตวิญญาณของเรา บริหารจัดการการกระทำของเรา บริหารจัดการคำพูดของเรา และบริหารจัดการความนึกคิดของเรา ภาวนาเป็นต้นและเป็นเหตุที่สามารถนำพาชีวิตของเรานั้นไปสู่ความถูกต้องและดีงาม ไปสู่ศีลที่หมดจดบริสุทธิ์ ไปสู่จิตใจที่เมตตากรุณาสูงสุด พระอริยะเจ้าต่างๆ ในอดีตก็ดี ใจปัจจุบันก็ดีล้วนแล้วแต่มีความสดใส สดใสเพราะเหตุแห่งภาวนาทั้งสิ้น ไม่ได้กินยาหรือทานยาใดๆ ที่จะเป็นอายุวัฒนะไม่ใช่ แต่อาศัยวิถีแห่งการภาวนาเท่านั้น ในการจำกัดซึ่งกิเลสทั้งหลายให้เจือจางไปในที่สุด ความโลภบั่นทอนชีวิตคนเรามาก็มาก ความหลงพาเราหลงทางมาก็มาก เราหลงในวัฏฏะ หลงในการเกิด หลงในความดีมาตลอด ความโกรธนั้นก็ทำลายในทุกสิ่งที่เรามี เพราะสิ่งต่างๆ จริงๆ แล้วมันเป็นของที่มีอยู่แล้วในโลกในจิตของคนเรานั้นทุกคนต้องมีเพียงแต่ว่าเราสามารถที่จะระงับยับยั้งได้ขนาดไหน มีสติที่จะประคอง ที่จะปรับได้มากน้อยแค่ไหน ฉะนั้นการดำเนินชีวิตจริงต้องอาศัยพลังสติและพลังปัญญาเราถึงจะสามารถจำกัดในวิถีทุกสิ่งที่จะก่อกรรมได้ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนอาศัยหลักเหตุและผลทั้งสิ้น ถ้าเราเป็นคนมีเหตุมีผลในตัวเราจะเข้าใจตรรกะในทุกสิ่งไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเรื่องใดเหตุการณ์ใด เพราะฉะนั้นการภาวนาจึงเป็นเบื้องต้นของผู้ที่กระทำแล้ว ต่อไปในภายภาคหน้าก็สามารถเป็นคนที่สมบูรณ์ได้ จะมีหิริโอตัปปะคือการละอายต่อบาปต่อกรรมที่จะสร้าง ไม่ว่าจะเป็นศีล สมาธิ ปัญญา หรือเนกขัมมะในการบวช เนกขัมมะคือการบวชหรือบวชใจ เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าถึงสิ่งต่างๆที่กล่าว บุคคลนั้นย่อมมีโอกาสที่ดีในการครองชีวิตและในการดำเนินชีวิตต่อไปในภายภาคหน้า เพราะสิ่งต่างๆที่เรากระทำล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ การนั่งสมาธิเพื่อจะให้มีปัญหาที่จะรู้เท่าทันเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของเราหรือเกิดขึ้นกับคนรอบข้างของเรา พลังปัญญานี้มีคุณค่ามหาศาลยิ่งกว่าทรัพย์ใดๆในโลก ปัญญาความคิดความรู้ต่างๆ ฉะนั้นการภาวนาต้องพยายามรักษาไว้ให้คงที่เปรียบเสมือเกลือรักษาความเค็ม ชิวิตจิตวิญญาณต้องอาศัยอาหารแห่งปัญญาเข้ามาหล่อเลี้ยงทำให้มีภูมิคุ้มกัน เป็นภูมิที่จะปกป้องต่อชาติกำเนิดของเรา การกำเนิดถ้ามีภูมิคุ้มกันเราก็ไม่ต้องห่วง อำนาจแห่งจิตทั้งหลายย่อมมีกำลังนำพาสิ่งต่างๆที่เข้ามาในชีวิตของเรา อำนาจจิตที่เข้มแข็งสามารถดลบันดาลได้ทุกสิ่ง สิ่งที่ปรารถนาก็จะลุล่วงไปได้ด้วยดี เป็นกำลังจิตและกำลังใจขั้นสูง อย่างโรคาพยาธิทั้งหลายโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายที่เราเป็นอยู่ จะอาศัยยารักษาโรคอย่างเดียวนั้นไม่ได้ วิถีแห่งการภาวนาเป็นวิธีหนึ่งในการรักษาโรคภัย ไม่ว่าโรคนั้นจะรุนแรงร้ายแรงขนาดไหน ถ้าเราภาวนาจนได้จิตที่สงบ การบริหารจัดการร่างกายของเราเป็นไปอย่างดีเยี่ยมเราก็สามารถบรรเทาสิ่งต่างๆ ความเจ็บปวดทรมานต่างๆไปได้ด้วยดี เพราะฉะนั้นการบริหารจัดการด้วยการภาวนาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเหลือเราในยามที่เราทุกข์ร้อน ในยามที่ร่างกายเรามีปัญหา เพราะฉะนั้นการภาวนาต้องทำให้บ่อยขึ้นมากขึ้น อย่าเอาเวลาไปเสียโดยเปล่าประโยชน์อย่างอื่นซึ่งเราหาค่าไม่ได้ ถ้าเราภาวนาแล้วเหตุใดจะเกิดก็จะไม่มีผลใดๆทั้งสิ้น ถึงแม้สุดท้ายเราจะหยุดไม่ได้เราต้องไป เราก็ไปในสถานที่ๆดีขึ้น แต่สิ่งต่างๆที่เรากระทำนั้นเป็นบุญกุศล บางครั้งสิ่งต่างๆที่เราคาดไม่ถึงก็ปรากฎและเกิดขึ้นได้ ถ้าเราสามารถกระทำให้ถึงพร้อมต้องมีศรัทธาอย่างแรงกล้าที่จะกระทำ เราก็สามารถหลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์นี้ไปได้ แต่ถ้าเราคิดว่าสิ่งต่างๆที่เราทำนั้นมันหาค่า มันไร้ประโยชน์ มันก็หมดความหมายที่จะทำ คนเราตั้งสัจอธิษฐาน จิตเป็นกำลัง จิตเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถเกิ้ลกูลช่วยเหลือ หาวิธีการต่างๆแล้วมาช่วยเราพ้นภัยนี้ได้แต่ต้องมีศรัทธา ต้องมีความเชื่อ จิตเมื่อมีกำลังก็สามารถบริหารจัดการได้ทุกอย่างไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่เราคาดไม่ถึง มันก็จะเป็นไปโดยธรรมชาติที่กำลังจิตของเรานั้นไปได้ถึง อย่าปล่อยวันเวลาให้เสียเปล่าประโยชน์โดยการมุ่งหาซึ่งเงินทองต่างๆ มันหาค่าไม่ได้ ตอนนี้คือเงินทองหาค่าไม่ได้ แต่เวลาการฝึกจิตของเรานั้นสำคัญ สัตว์ทั้งหมดในโลกล้วนอนิจจัง ไม่ใช่ของผู้ใดผู้หนึ่งหรือของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ของโลกก็ทิ้งโลกก็อยู่บนโลกไม่สามรถนำพกติดตัวไปได้ แต่ถ้าเราเกิดโชคดีภาวนาจนได้กำลัง เลือดลมทุกอย่างเดินดี กระแสแห่งเลือดมีประสิทธิภาพในการขจัดสิ่งเลวร้ายต่างๆให้หมดไปได้ เราจึงพึงกระทำด้วยกำลังแห่งศรัทธาที่กล้าแข็ง เราจะไม่มีวันผิดพลาดและผิดหวังเลย ถ้าเราเริ่มต้นและกระทำไปด้วยอำนาจของจิตที่กล้าแข็ง เท่ากับเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ยาใดในโลกไม่เทียบเท่าภาวนา ไม่เทียบเท่าจิตที่รักษา มีจิตตัวเดียวเท่านั้นที่จะสามารถรักษาเยียวยา สร้างความปลอดภัยให้กับตัวของเราเองได้ ก็ขอให้มั่นใจ แต่ต้องกระทำให้ได้อย่างต่อเนื่อง ทำด้วยกำลังใจที่เข้มแข็ง การย่อท้อต่อสิ่งที่เกิดทำให้เราหมดหวัง คนเราทุกนาทีมีค่า ทุกนาทีที่เราอยู่ ทุกลมหายใจที่เรายังมีอยู่นั้นย่อมมีคุณค่าเสมอ ถ้าเรารู้จักละวางซึ่งความทุกข์ที่กำลังเกิด รู้จักวางเฉยแต่พยายามกระทำ พยายามหาแนวทางต่างๆที่จะรักษาตัวเรา ไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะแก้ไขไม่ได้เพียงแต่เรามีกำลังใจพอที่จะเข้าไปกระทำหรือเปล่า เพราะฉะนั้นไม่มีสิ่งใดในโลกหรือยาขนานใดในโลกจะเป็นยาขนานเอกเท่าภาวนา วงจรของเลือดของลมในตัวเรานั้น เมื่อความสงบเกิด ทุกสิ่งทุกอย่างช้าลง การบริหารจัดการการเคลื่อนไหวต่างๆทุกสิ่งทุกอย่างนั้นช้าลง การไหลเวียนเลือด 1 ชั่วโมงเท่ากับ 1 นาที ถ้าเราอยู่สักห้าปีถามว่ากี่นาที เลือดจะเดินช้าไปกี่นาที เลือดยิ่งเดินช้าความหมดจดของเลือดภายในนั้นยิ่งสะอาดหมดจดเพราะมันจะไม่ร้อนแรง มันจะไม่มีอาหารไปเลี้ยงเชื้อร้ายต่างๆในร่างกายของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างจะช้าลง เมื่ออาหารช้าลง อาหารไม่เต็มกำลัง โรคต่างๆมันก็จะหายไปโดยอัศจรรย์ อาจจะเป็นไปได้หรืออาจจะเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าถ้าเราไม่ทดลองทำเราจะรู้ได้ไงว่าเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ นักภาวนาทุกคนจะมีสีหน้าที่อิ่มเอิบเพราะว่าเลือดของเค้าเดินช้า ช้ากว่าความเป็นจริงในโลก การภาวนา 1 ชั่วโมงเท่ากับ 1 นาที ก็ลองนับไปคูณไป 10 นาทีเท่ากับ 10 ชั่วโมง 24 นาทีเท่ากับ 24 ชั่วโมงในหนึ่งวัน ถ้าเลือดเราเดินช้าไป 24 นาทียังไม่ถึง 1 ชั่วโมง แค่ครึ่งชั่วโมง เพราะสิ่งต่างๆที่ช้าลง โรคภัยไข้เจ็บต่างๆก็ช้าลงไปด้วย สุดท้ายแล้วลมหายใจที่เราเข้าออกนั่นแหละจะเป็นตัวช่วยฆ่าเชื้อทั้งหลายที่มี เพราะฉะนั้นต้องพยายาม ร่างกายเราไม่เข้มแข็งก็ต้องพยายามฝึกพยายามฝืนต้องทำให้ได้ ไม่ว่ายามหลับ ยามตื่น ยามนอน หรือว่ายามเดิน หรือยามที่เรานั่งแม้กระทั่งเราทำงานเราก็สามารถกระทำได้อย่างต่อเนื่องโดยตลอด ลมหายใจนั้นเป็นชีวิต ฉะนั้นทุกคนมีลมหายใจอยู่แล้วเพียงแต่การกำกับดูแลให้มันดีให้มีประสิทธิภาพนั้นบางคนทำได้ยาก แต่ถ้าเราฝึกเราปฏิบัติไปเรื่อยๆ ลมหายใจคือชีวิต คือสิ่งที่ติดตัวเราไปตลอด เราจะระลึกรู้ทันทีว่าเรากำลังหายใจหรือไม่หายใจ แม้ยามทำงานยามพูดคุย สมาธิเกิดตลอด เมื่อกำลังสมาธิกล้าแข็ง สิ่งที่พูดสิ่งที่กระทำนั้นมีประสิทธิภาพ ความผิดพลาดไม่มี แม้กระทั่งคำพูดคำจาทุกสิ่งทุกอย่างนี้มีความละเอียด มีเหตุมีผลรองรับอยู่ในตัว การกระทำต่างๆก็ละเอียดรอบคอบ ความผิดพลาดน้อยลงหรือไม่มีเลย ร่างกายก็แข็งแรงสมบูรณ์ตลอด เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงว่าเราเป็นอะไรแต่เราจะเริ่มภาวนา ภาวนาให้มากกว่าเวลาทำงานของเรา เพราะฉะนั้นขอให้ตั้งจิตตั้งใจผูกกรอบกำลังใจให้แข็งแรง กำลังใจให้เข้มแข็ง ละทิ้งซึ่งความหมดหวังทั้งหลายให้หมดไป ทุกนาทีมีค่าเพียงแต่ว่าใช้นาทีต่างๆให้มีคุณค่าให้มากที่สุด แล้วเราจะประสบพบเห็นแต่ความสำเร็จ รู้ลึกรู้ละเอียดในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน ขอให้ทุกคนถึงพร้อมด้วยกายวาจาและใจ ที่ถึงพร้อมซึ่งความหมดจดงดงาม มาปฏิบัติแล้วเพื่อให้มีปัญญาควบคุมในการกระทำของเราต่างๆ ขอให้ถึงพร้อมด้วยความหมดจดอย่างที่สุด ถึงพร้อมด้วยการเป็นบุคคลที่เกิดมาแล้วมีคุณค่าต่อโลก กระทำทุกสิ่งเพื่อสภาวะต่างๆแล้วให้มีความสงบ มีความสุขทั้งต่อตัวเองและคนรอบข้าง ฉะนั้นการปฏิบัติจึงจะสมบูรณ์ได้ถึงขีดสุดนั้น จิตเราจะต้องมีความอ่อนโยน มีความสงบและมีความสบาย เราจึงได้ชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติที่ดี เป็นนักปฏิบัติที่เข้าถึงแก่นธรรมอย่างแท้จริง ขอให้อย่าละโอกาส อย่าทิ้งเวลาให้เสียเปล่า วันเวลาไม่คอยท่าใคร เวลาเดินเร็วเหมือนพายุหมุน ปีข้ามปี เดือนข้ามเดือน วันข้ามวัน นี่ของเรา 25 ครั้งชั่วแวปเดียว 25 เดือนแล้ว ฉะนั้นขอให้ตั้งจิตตั้งใจให้มั่งคง กระทำภารกิจทุกสิ่งอย่างมีเหตุผลรองรับ ทำด้วยสติกำลังของปัญญาทั้งสิ้นแล้วเราจะไม่พบกับความผิดหวังในชีวิตเลย

    ป.จิตธรรม 3-7-2556
     
  4. natthavat said:
    เห็นทีทุกวันนี้จะหลุดยากนะครับ เพราะสิ่งล่อตาล่อใจมันเยอะมากๆ
     
  5. คนของแผ่นดิน said:
    แค่เห็นการแต่งกายเข้าวัดของสาวๆสมัยนี้แล้ว สะเทือนใจสุดๆ