ฟังทัศนะ "จารุณี สุขสวัสดิ์" วันที่การให้ ไม่ทำร้ายตัวเอง



กดที่เเถบนี้เพื่อดูรูปขนาดดั้งเดิม


จารุณี (สุขสวัสดิ์) เดส์แน็ช กับรอยยิ้มสดใสในวัยเด็ก เป็นอีกหนึ่งดารานักแสดงขวัญใจคนไทยที่ยังคงมีกลุ่มผู้ชมผู้ประทับใจในฝีมือของเธอที่ฝากไว้ทั้งจอเงินและจอแก้ว รวมถึงบนเวทีเพลงลูกทุ่งอย่างไม่เสื่อมคลาย กับ "คุณจารุณี (สุขสวัสดิ์) เดส์แน็ช" ที่ในวันนี้ เธอก็ยังคงเลือกเส้นทางการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายตามแบบฉบับของตัวเอง อีกทั้งยังไม่นิยมสร้างข่าวคราวหรือสร้างกระแสเพื่อให้ตนเองเป็นข่าวเหมือนเช่นดาราบางคนที่เคยมีชื่อเสียงในยุคเดียวกัน ซึ่งถือเป็นแบบอย่างที่ดีที่ดารานักแสดงรุ่นหลังน่าศึกษาไม่ใช่น้อย

เมื่อได้มีโอกาสพบดารานักแสดงผู้มากความสามารถ และมีประสบการณ์ชีวิตที่เข้มข้นในงานเสวนาของเครือรักลูกกรุ๊ป (พลังใจสาว 40+ ตอนประตูสู่ความสุข) ทั้งที Life & Family ก็ไม่พลาดโอกาสที่จะขอให้เธอเปิดใจถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาตลอด 47 ปีที่เธอต้องเผชิญ ทั้งในเรื่องของครอบครัว หน้าที่การงาน และสำคัญที่สุดคือ ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับคุณแม่ ที่เธอคนนี้เคยคิดว่า เป็นสิ่งที่ต้องแบกรับมาตลอด

คุณจารุณียอมรับว่า ชีวิตในวัยเด็กนั้น เป็นช่วงที่ลำบากมาก และต้องอาศัยอยู่กับญาติ ๆ ไปพร้อม ๆ กับการทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ขณะเดียวกันเธอก็มีความคับข้องใจกับคุณแม่ ส่งผลให้หลายครั้งเมื่อเกิดปัญหาในชีวิต คุณจารุณีจึงยอมรับว่ายากจะหาใครเป็นที่พึ่งทางใจ จนกระทั่งตอนอายุ 17 - 18 ปี เธอก็ได้พบกับรูปของคุณพ่อ ที่ทำงานอยู่แอร์ฟรานซ์ จึงยึดพ่อจากรูปกระดาษเป็นที่พึ่งทางใจโดยไม่รู้ตัว

"ตอนนั้นมีรูปพ่อเล็กนิดเดียว เราก็เอามาวาดเป็นรูปใหญ่ ๆ ติดไว้ข้างฝา กลับมาไม่มีใครก็คุยกับภาพของพ่อ ใจคิดเสมอว่าวันหนึ่งเราคงได้พบกัน คิดมาตลอด จนกระทั่งในที่สุดก็ได้เจอกับคุณพ่อตอนอายุ 36 ปี ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่คุ้มค่าจริง ๆ"

กระนั้น การเดินทางของชีวิตกว่าจะได้พบกับคุณพ่อก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดาย เพราะ ณ เวลานั้น เธอเป็นดารานักแสดงที่มีชื่อเสียง มีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ และมีหลายคนที่คาดหวังในตัวเธออยู่เต็มไปหมด

"ตอนเป็นวัยรุ่นทำงานหนักมาก เวลาที่ควรพักก็ไม่ได้พัก ต้องท่องบท ต้องแสดงหนัง เพราะเราต้องรับผิดชอบหาเลี้ยงครอบครัว ถ้าเราเป็นอะไรไป คนข้างหลังก็ลำบาก ผลก็คือเราเป็นโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ คอบวม ซึ่งโรคดังกล่าวสร้างปัญหาให้เราหนักมากตอนที่ยกกองไปถ่ายหนังต่างจังหวัด แล้วตอนเช้าที่จะต้องไปถ่ายกับฉากพระอาทิตย์ขึ้น เรากลับตัวบวมจนเรากรี๊ด ใส่เสื้อผ้าไม่ได้ แสดงไม่ได้ คนทั้งกองก็ฉุนเฉียว โกรธเรากันหมด ใครที่บอกว่าเราสำคัญ รักเราหนักหนาก็หมางเมิน กดดันมาก เคยคิดฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ"




ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังต้องเผชิญกับอุบัติเหตุในชีวิตหลายครั้ง โดยนับครั้งที่หนักหนาสาหัสได้ถึง 3 ครั้ง ซึ่งการผ่านพ้นช่วงเวลาดังกล่าวมาได้ ต้องอาศัยกำลังใจที่เข้มแข็งไม่ใช่น้อย

"ยกตัวอย่างตอนนั้นรถคว่ำ หมอบอก 50 - 50 คือเราอาจเดินไม่ได้อีกต่อไป เพราะร่างกายท่อนล่างไม่รู้สึก ส่วนคนที่เคยบอกว่ารักเรามากก็หายหน้าไปกันหมด แต่ความคิดของเราในตอนนั้นคือ เราต้องไม่เป็นไร ต้องดีขึ้นแน่ เราต้องทำทุกทางให้หาย แล้วมันก็ค่อยดีขึ้นจริง ๆ"

ในฐานะที่เป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัวมาโดยตลอด สิ่งเหล่านี้จึงกลายเป็นกำลังใจอันเข้มแข็งที่ทำให้ผู้หญิงชื่อจารุณีไม่ยอมล้มหมอนนอนเสื่อ แม้จะประสบอุบัติเหตุร้ายแรง แต่อีกปัญหาก็ถาโถมเข้ามา เมื่อเธอพบว่าตัวเองเป็นหนี้นับสิบล้านบาท

"พี่เคยมีปัญหาเรื่องหนี้สินเพราะบริหารเงินไม่เป็น ต้องหาเงินไปจ่ายห้องอัดเสียง แล้วเราไม่มีเงิน มีคนยุให้เอาบ้านเข้าจำนอง เราก็เอาไปจำนอง ณ วัยนั้นเรายังไม่มีความรู้มากนัก สุดท้ายต้องรีไฟแนนซ์ไปสามสี่ที่ จากกู้ล้านกว่า ๆ เป็นห้าล้าน จนสุดท้ายเม็ดหนี้งอกเงยเป็นสิบเอ็ดล้านกว่า ๆ พอหนี้เยอะขนาดนั้น มีทางเลือกเข้ามาหาเราเยอะแยะเลย เช่น เป็นเมียน้อยของใครสักคน แล้วเราก็จะสบาย มีบ้านมีรถ แต่เราก็ไม่เลือก เพราะมันทำใจไม่ได้ อีกทั้งเราก็คิดว่ามันไม่น่าจะมีหนทางเดียว ขอเพียงตั้งสติดี ๆ ก่อน"

"สิ่งหนึ่งที่ใช้กำกับใจตัวเองก็คือ เรามีครอบครัว เราเป็นคนหาเงินให้กับครอบครัวมาโดยตลอด ถ้าเราเป็นอะไรไป หรือพลาดไป มันก็ลำบากหลายคน สุดท้ายเราก็ผ่านพ้นช่วงเวลานั้นมาได้ ซึ่งพี่เชื่อว่าเป็นเพราะเราเป็นผู้ให้กับคนรอบข้างมาตลอด จนวันหนึ่งที่เราตกต่ำสุดขีด อยู่ ๆ ก็มีคนรู้จักที่ไม่ได้เจอกันนานมาก เข้ามาช่วยเหลือ"

"จากนั้นมา พี่เลยเชื่อว่า ถ้าเรามีสตางค์แล้วเก็บ ๆ ๆ ๆ ๆ จนล้นบ้านไปหมด มันก็จะเป็นพลังเก็บ ๆ ๆ เอาไว้ในบ้านจนอึดอัด แต่ถ้าเราถ่ายออก ให้คนอื่นไปบ้าง มันก็จะมีพลังขับเคลื่อน มีเข้ามีออก เป็นความสมดุล ยกตัวอย่างง่าย ๆ กลับบ้านลองไปรดน้ำต้นไม้ดูค่ะ แป๊บเดียว ลมเย็นก็จะพัดเข้ามาเลย มันรวมถึงเรื่องของพลังจิต พลังใจด้วย พี่เชื่อเรื่องเหล่านี้ เพราะมันเห็นได้กับตัวเอง"




คุณจารุณีขณะเล่าถึงประสบการณ์ของตนเองในงานเสวนาของเครือรักลูกกรุ๊ป (พลังใจสาว 40+ ตอนประตูสู่ความสุข) คิดดี ทางรอดของทุกปัญหา

ส่วนความสัมพันธ์กับคุณแม่ที่ไม่ได้ราบรื่นนั้น คุณจารุณีเปิดเผยว่า ในวัยเด็กของเธอนั้น ถูกคุณแม่ปฏิเสธที่จะให้ความรักเหมือนเช่นแม่ลูกทั่ว ๆ ไป

"การที่มีปัญหากับแม่ทำให้เราไม่อยากอยู่ด้วย คือแม่เนี่ย เขาไม่รับเรา เขามีบางอย่างที่สุดจะเยียวยาให้แม่ลูกเข้าหากันได้ ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย แม่ลูกก็คงต้องห่างกันไป เราต้องทำโดยการ เขาอยากได้อะไรเราหาให้ ๆ เราดิ้นรนมา เราหาให้ แต่เราต้องคุมจิตเราว่า อย่าไปคิดกับแม่ในทางลบว่า ให้เท่าไรก็ไม่รู้จักพอ ให้เท่านี้จะเอาเท่านั้น ให้แล้วยังเป็นเรื่องอีก ถ้าคิดอย่างนี้เราจะยิ่งจม ยิ่งดิ่งลงไปอีก"

"ใช้เวลานานกว่าแม่จะเปลี่ยนจากไม่เคยพูดอวยพร ไม่เคยที่จะรับรู้ความรู้สึกที่เราให้ เปลี่ยนหมดแล้ว วันแรกที่เค้าอวยพรเรานี่ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แปลว่าใจเค้าเริ่มเปิดแล้ว เราไมได้รู้สึกว่าเราอยากเป็นคนดีของแม่ แต่แม่เขาติดอยู่กับบางอย่างซึ่งทำให้เขาไม่มีความสุข เราอยากให้ตรงนี้มันแตก อยากให้เขามีความสุข ไม่ใช่ว่า เค้าต้องเห็นเราเป็นคนดีสิ เขาถึงจะมีความสุข ไม่ใช่ ตรงนี้ที่พี่บอก ว่าเราเห็นการพัฒนาของเขา จากที่เคยปิดตัวเองอยู่แต่ในบ้าน ไม่มองใคร ไม่คบใคร เขาเปลี่ยนแล้ว เขาเปิดใจ เพราะชีวิตเขาสบายพอ เขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว"

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของคุณจารุณี เธอสรุปออกมาคำเดียวว่า การที่เธอสามารถแก้ปัญหาเอารอดมาได้นั้นเป็นเพราะ "การคิดดี" และยังฝากกำลังใจมาถึงทุกคน ทุกครอบครัวที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาด้วยว่า "พี่เป็นคนที่เชื่อว่าความคิดบันดาลสิ่งต่าง ๆ ให้เราได้ และเราต้องฝึกพลังจิตของเราให้มีพลังด้วย ถ้าพี่รู้เรื่องนี้เร็วกว่านี้ ก็คงดี เพราะเราคงอธิษฐานขอให้ได้พบกับพ่อตั้งนานแล้ว ไม่รอจนเวลาผ่านไป 19 ปี ปัจจุบันพี่ไม่รอ พี่จะอธิษฐาน จะฝึกจิตให้นิ่ง มีความสงบได้ตลอด ก็ขอเอาใจช่วยทุกคนที่มีปัญหาค่ะ"


http://board.agalico.com/showthread.php?t=34182