จดหมายถึงลูก
โดย คนเดินทาง


แม่ตัดสินใจอยู่นานที่จะเขียนจดหมายถึงลูก ตั้งใจว่าจะโทรศัพท์คุยด้วย แต่คิดแล้วก็ขอใช้จดหมายดีกว่า เผื่อว่า ลูกจะอ่านได้หลายๆครั้ง และแม่เองก็สามารถใช้สมาธิกับการเขียนได้มากขึ้น ได้พิจารณามากขึ้นด้วย


บางครั้ง แม่ก็ยังติดความรู้สึกว่า ลูกยังเป็นลูกชายตัวน้อยๆของแม่ ทั้งที่จริงแล้วเป็นเรื่องที่แม่ต้อง “ ยอมรับ ” ว่า ลูกโตแล้ว โตในระดับหนึ่งที่เริ่มจะต้องใช้ชีวิตด้วยตัวเองมากขึ้น แม่เชื่อว่าลูกมีปัญญาที่จะรู้ว่าอะไรมีคุณ อะไรมีโทษ อะไรเป็นประโยชน์ อะไรไม่เป็นประโยชน์ อะไรควรจะลึกซึ้ง อะไรไม่ควรลึกซึ้ง....


แม่เองก็ต้องเรียนรู้เหมือนกัน .... เรียนรู้ว่า ความรักและความห่วงใยของแม่ บางทีก็ทำให้ลูกเป็นทุกข์......จึงทำให้แม่ต้องทบทวนและเรียนรู้ที่จะต้องรู้จักเชื่อใจลูกบ้างให้มากขึ้น ....เชื่อใจว่าลูกรักของแม่นั้นดูแลตัวเองเป็น ....เพราะลูกเป็นคนมีปัญญา


“ ไม่มีใครสอนใครให้เป็นคนดีได้ ” .... มีบัณฑิตท่านกล่าวไว้อย่างนั้น “ เขาจะดีก็ต้องดีด้วยตัวของเขาเอง เขาต้องสอนตัวเองให้เป็น ..... ”


แม่จึงขอฝากข้อคิด ข้อแนะนำอันเป็นโยชน์ให้แก่ลูก ลูกเพียงแต่รับฟังแล้วนำไปใช้กับชีวิตของตัวเองอย่างคนฉลาดเท่านั้นเอง


ดังนั้น ลูกจึงมีหน้าที่ๆจะต้องสอนตัวเองให้ “ ดี ” ให้เป็นให้ได้ ..... เพราะนี่เป็นชีวิตของลูก จะสุขจะทุกข์ จะผิดจะถูก ลูกต้องเรียนรู้ให้เป็น … และต้องยอมรับให้เป็นด้วย


เพื่อนหญิงคนใหม่ ซึ่งลูกยอมรับว่าเป็นแฟนกัน และดูเหมือนว่าลูกจะชอบเขามากทั้งๆที่ เขาเป็นหญิงต่างชาติและอายุมากกว่าลูกด้วยซ้ำ....


แม่เข้าใจและยอมรับ ยอมรับว่าลูกเหงาและขาดเพื่อน ทั้งๆที่ลึกๆแล้วแม่ก็รู้สึกว่า ลูกยังเด็กเกินไปสำหรับเรื่องนี้เหลือเกิน...แต่ก็อีกนั่นแหละ แม่จะเอาความรู้สึกของแม่ มาตัดสินความรู้สึกของลูก ก็คงจะไม่ถูกต้อง.... ดังนั้นเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่แม่ต้องเรียนรู้และยอมรับเช่นกัน


จึงขอฝากถ้อยคำให้เป็นเครื่องระลึกนึกถึงให้แก่ลูก......ยามอยู่ต่างแดน.... ลูกไม่มีแม่หรือพ่ออยู่ใกล้ๆ ลูกจึงต้องเป็นลูกชายที่ทำให้พ่อแม่ภูมิใจให้ได้ นี่คือ หน้าที่ของลูก ลูกจึงต้องเรียนรู้ที่จะต้องรับผิดชอบ แยกแยะ ความรู้สึกส่วนตัว กับ หน้าที่ ให้ออกจากกันนั่นคือ ความเป็นสุภาพบุรุษ ที่แม่ พ่อ พี่ จะภูมิใจ และแน่นอน ไม่ว่า จะเป็นหญิงคนนี้หรือคนไหนก็แล้วแต่ที่ลูกตัดสินใจเลือกเขา เขาก็ย่อมจะภูมิใจในตัวของลูก เพราะลูกเป็นสุภาพบุรุษอย่างแท้จริงที่สง่างาม

หน้าที่ของลูก จึงต้องรักเรียน รักดี รับผิดชอบต่อการเรียนของลูกให้ดี และต้องมีความรับผิดชอบทั้งต้องมีวินัยในการใช้เงินด้วย ...หากลูกทำสองสิ่งนี้ได้โดยไม่บกพร่อง แม่ก็มั่นใจในตัวลูกว่า ลูกจะเป็นคนที่รับผิดชอบและมีวินัยต่อชีวิตของลูกเองได้เป็นอย่างดีแม้ในอนาคต


ลูกมั่นใจว่า นี่คือ รักจริง รักนาน ของลูก...แม่ก็ดีใจที่ลูกรู้สึกอย่างนั้น เพราะความรักทำให้ลูกมีความสุข...แต่สิ่งเหนึ่งที่แม่จะขอจากลูกคือ อย่าไปล่วงเกินเขา ไม่ว่าเขาจะยินยอมก็ตามเพราะสิ่งนั้นเป็นบาปที่จะติดตัวลูกต่อไปในอนาคต...รักษาความสุขที่ได้จากความเป็นเพื่อนที่แสนดีนี้ไว้นานๆ แล้วลูกก็จะเห็นคุณค่าของผู้หญิงที่ลูกรักและเขาก็จะเห็นคุณค่าแห่งความเป็นคนดีที่ไม่ฉวยโอกาสกับผู้หญิง...เขาจะภูมิใจในตัวลูกอย่างยิ่ง


อีกอย่างหนึ่งคือ ลูกต้องระวังความทุกข์ที่จะต้องเกิดขึ้นจากความรักด้วย เพราะความสุขก็ต้องมีความทุกข์ เป็นของคู่กัน


“ ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ ” พระพุทธเจ้าท่านสอนสัตว์โลกไว้ เพราะท่านรู้ว่าความจริงเป็นอย่างนั้น รักมากก็ทุกข์มาก รักน้อยก็ทุกข์น้อย ไม่รักคือเฉยๆก็ไม่ทุกข์อะไรเลย


ในโลกนี้มีคนสมหวังน้อยกว่าคนที่ผิดหวัง


ในโลกนี้ คนที่ผิดหวังแทบเอาชีวิตไม่รอด หรือต้องตายเพราะไม่สมรักก็มีมากมาย ดังนั้น อย่าประมาทว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย


คนฉลาดจึงเตรียมใจ เผื่อใจสำหรับความผิดหวังอันอาจจะเกิดไว้ด้วย เหมือนคนทำประกันสุขภาพเพราะมั่นใจว่า อย่างไรเสียก็ต้องมีสักครั้งหรือหลายครั้งต้องเจ็บป่วย หรือเหมือนคนที่ทำประกันชีวิตเพราะมั่นใจว่าอย่างไรเสียวันหนึ่งก็ต้องตาย ควรจะตระเตรียมเตรียมใจเผื่อแผ่ไว้บ้าง....ถึงคราวที่เกิดขึ้นวันใดวันหนึ่งก็จะไม่ทุลักทุเล...


เรื่องความรักก็เป็นอย่างนั้น เราต้องฉลาดที่จะเตรียมใจไว้ด้วย อะไรที่ยังไม่สมควรแก่เวลา ก็ย่อมหาคุณค่า หาดีไม่ได้ในสิ่งนั้น


เหมือนเรามีต้นมะม่วงซึ่งเพิ่งออกลูกให้ปรากฏ เจ้าของมะม่วงก็ดีอกดีใจ นักหนาแต่เพราะขาดปัญญา ไม่รู้กาละเทศะ ไม่รู้ว่าควรไม่ควร จึงเด็ดลูกมะม่วงนั้นเสียตั้งแต่ยังเป็นลูกอ่อนๆ ผลก็คือ ลูกมะม่วงนั้น ทั้งเปรี้ยวทั้งฝาด หาดีไม่ได้เลย แทนที่จะอดเปรี้ยวไว้กินตอนหวานก็เลยเสียทั้งเวลา ทั้งเสียใจ

เรื่องความรักหนุ่มสาวก็เป็นเช่นนั้น ต้องมีตัวช่วย คือเวลา เราต้องรอเป็น ...ใช้เวลาเพื่อเครื่องตัดสินที่ดีที่สุด... เวลาเป็นสมบัติที่มนุษย์มีเท่าเทียมกัน คือวันละ 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นพระราชา หรือยาจก เวลาแต่ละวันได้เท่ากันทั้งนั้นหากยังมีชีวิตอยู่


ต่างกันตรงที่คนมีเวลาใช้เวลาให้เป็นประโยชน์... เป็นประโยชน์แก่ชีวิตตน โดยสร้างสมคุณค่าของตัวเองให้มากที่สุด....แต่บางคนปล่อยเวลา ฆ่าเวลาที่ไม่มีวันเรียกกลับมาได้อีกไปกับสิ่งไร้สาระอย่างน่าเสียดาย


ดังนั้น ลูกจึงสมควรรู้ว่า ผู้ชายต้องมีอาวุธ อาวุธของผู้ชายได้แก่ความรู้ ความดี ศักดิ์ศรีและทรัพย์สินเงินทองที่เกิดจากความรู้นั้นๆ...นี่คืออาวุธของลูก ลูกต้องเป็นคนแสวงหาอาวุธนั้น โดยเก็บเกี่ยวประโยชน์จากเวลาที่ลูกจะไม่ปล่อยหรือฆ่าเวลาไปกับสิ่งไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด


ลูกจะต้องเรียนรู้ที่จะต้องอดทน ...อดทนที่จะใช้เวลาเป็นเครื่องมือที่วิเศษที่สุดที่จะพิสูจน์หญิงคนรักด้วยว่า เขาจริงใจต่อเรามั่นคงแค่ไหน ? เวลาเท่านั้นที่จะเป็นผู้ตัดสิน ไม่ใช่ลูกเป็นผู้ตัดสิน เพราะเรามักจะตัดสินเอาด้วยอารมณ์... ด้วยความเหงา ...ด้วยความเย้ายวนใจในอารมณ์ที่เพลิดเพลินทั้งนั้น


ส่วนเวลานั้น เป็นเครื่องพิสูจน์ศีลของบุคคล เราจะรู้ว่าเขาดีจริงไม่จริง จริงใจหรือไม่จริงใจ ก็ต้องดูที่ศีลและโดยมีเวลาเป็นเครื่องมือพิสูจน์เท่านั้น

หากลูกฉลาดและสามารถรักษาใจของตัวเองได้อย่างนั้น ลูกก็จะเป็นคนที่สมบูรณ์ที่สุดที่พ่อแม่และพี่จะภาคภูมิใจเป็นที่สุด..อย่าลืมว่า ความสุขความสำเร็จของลูกเป็นความสุขความสำเร็จของคนทั้งครอบครัว...ดังนั้นขอลูกจงรักตัวเองให้เป็น อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการปล่อยชีวิตให้เปล่าประโยชน์...และข้อสำคัญ อย่าทำร้ายครอบครัวนะลูกรัก

จากใจ
แม่ของลูก


ที่มา http://www.raksa-dhamma.com/topic_50.php