ทำจิตให้ผ่องใส (ง่ายๆ) คุณก็ทำได้
Post Today - กายและจิตแม้ทำหน้าที่คนละอย่าง กายทำหน้าที่ของกาย จิตทำหน้าที่ของจิต แต่ความสัมพันธ์กันของทั้งสองไม่อาจแยกจากกัน หรือขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไปไม่ได้เลย กายอยู่แต่ไม่มีใจครองก็ชื่อว่าตาย ...
กายป่วยแต่ใจไม่ป่วยย่อมส่งผลดีต่อกาย เช่น ทำให้กายหายป่วยเร็วขึ้น ถ้ากายไม่ป่วยแต่ใจป่วยก็อาจส่งผลเสียต่อกาย เช่น ทำให้กายทรุด หรือมีอาการแห่งโรคกำเริบขึ้น

จิตป่วยจึงมีผลเสียมากกว่ากายป่วย กายป่วยยังไม่หนักหนาเท่าใจป่วย เพราะว่ากายไม่ได้ป่วยได้ทุกวันเวลาแต่อย่างใด จิตต่างหากที่ป่วยได้ทุกขณะวินาที

“จิต” จึงเป็นธรรมชาติที่ทุกคนควรต้องเอาใจใส่ดูแลเช่นเดียวกับกาย แต่ว่าต้องเข้มข้นยิ่งกว่ากายหลายเท่า เพราะโรคทางจิตอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาถ้าเผลอสติ เพราะฉะนั้น ต้องคอยเฝ้าดูจิตทุกขณะอย่างใกล้ เพื่อป้องกันมิให้จิตต้องเศร้าหมอง ขุ่นมัว ฟุ้งซ่าน วิตกกังวล คิดมาก ไปตามอำนาจของสิ่งที่เรียกว่า “กิเลส” เช่น โลภ โกรธ หลง ริษยา มานะ เป็นต้น ซึ่งเข้ามามีอำนาจเหนือจิต

ปีใหม่ที่จะมาถึงนี้ ขอมอบเคล็ดลับ “การดูแลใจและรักษาใจของตัวเองให้ผ่องใส” ด้วยวิธีง่ายๆ และด้วยวัตถุดิบที่มีอยู่ในตัวของแต่ละคน โดยดาราสาว “กิ๊ก” มยุริญ ผ่องผุดพันธ์ และ นิพนธ์ จัยสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.ที.ซี. ทรานสฟอร์เมอร์ จะมาเผยเคล็ดลับที่ว่านี้

ก่อนทำอะไรมีสติเสมอ

“สติ” เป็นธรรมที่มีอยู่ในบุคคลทุกคนอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าใครจะนำมาใช้ได้มากกว่ากัน แต่ทุกวันนี้คนเรามักเผลอและขาดสติขาดความยั้งคิด จึงทำให้เกิดเรื่องราว ปัญหาต่างๆ และความทุกข์ตามมา

กิ๊กมยุริญ ผ่องผุดพันธ์ บอกว่า ต้องมีสติอยู่กับตัวเอง กล่าวคือก่อนทำหรือขณะทำอะไรก็ตามให้คิดพิจารณาไตร่ตรองให้ดีว่าสิ่งที่จะทำหรือกำลังทำอยู่นั้น เป็นการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นหรือไม่อย่างไร ผิดกฎหมาย ศีลธรรม จรรยาบรรณหรือไม่ ที่สำคัญความคิดนั้นจะต้องอยู่บนพื้นฐานของคุณงามความดี รวมถึงศีลธรรม กฎหมายและจรรยาบรรณด้วย จึงจะเป็นสัมมาสติ แต่ถ้าความคิดที่ว่าไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของสิ่งเหล่านี้ก็จัดเป็นมิจฉาสติ เช่น บอกว่ามีสติคิดจะฆ่าคน อย่างนี้ก็เป็นมิจฉาสติโดยแท้

“ดังนั้น ก่อนที่จะโกรธหรือไม่ชอบใครก็ตาม อยากให้มีสติรู้ตัวให้ทันก่อนว่าเรามีความโกรธเกิดขึ้นแล้ว เรามีความไม่ชอบใจเกิดขึ้นแล้ว เรามีความทุกข์เกิดขึ้นแล้ว และเมื่อมีสติรู้เท่าทันแล้ว ก็อย่าปล่อยให้จิตของเราเป็นไปตามสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ เหล่านั้นซึ่งเข้ามากระทบ เพียงวิธีง่ายๆ แค่นี้ก็จะทำให้มีความสุขใจได้ตลอดทั้งปีแล้ว” มยุริญ เผยวิธีง่ายๆ

จงยิ้มให้ตัวเอง

วิธีที่ไม่ต้องลงทุนอีกอย่างหนึ่งคือ “รอยยิ้ม” ดาราสาวเผยว่า ตื่นมาตอนเช้าให้รู้จักยิ้มให้ตัวเอง เข้าไปห้องน้ำก็ยิ้มให้ตัวเอง หรือถ้ายังไม่ยิ้ม นอนบนที่นอนก็ให้คิดถึงสิ่งดีๆ ว่าวันนี้เป็นวันที่ดีของเรา จะสู้อีกวันหนึ่งด้วยสิ่งดีๆ แล้วลุกขึ้น

“ตื่นนอนแล้วอย่างแรกที่ควรทำคือ จงยิ้มให้ตัวเอง ด้วยความเต็มใจ ไม่ฝืนยิ้ม แล้วให้คิดถึงแต่สิ่งดีๆ เช่น วันนี้เป็นวันที่ดีของเรา เป็นวันที่ประเสริฐของเรา เพราะความคิดที่ดีจะเป็นพลังจิตที่ดี ซึ่งจะดึงสิ่งที่ดีๆ เข้ามาหาตัวเรา ถ้าใครก็ตามจิตตก นั่งแช่งตัวเองว่าเศรษฐกิจไม่ดี พรุ่งนี้เราจะต้องแย่แน่ๆ เลย เช้านี้ วันนี้ จะต้องเป็นวันที่ไม่ดี เป็นวันที่ล้มเหลวของเรา มันก็จะเป็นวันที่ไม่ดีไปตลอดทั้งปี เพราะว่าจิตที่ไม่ดีจิตไม่งามก็จะเรียกสิ่งที่ไม่ดีไม่งามเข้ามาหาเรา”
มยุริญ บอกว่า มีความทุกข์ก็ให้ยิ้มเข้าไว้ เพราะว่าแม้ว่าเราจะยิ้มหรือไม่ยิ้ม จะร้องไห้หรือไม่ร้องไห้ ความทุกข์ก็ไม่หนีไปไหน ความทุกข์ก็ยังอยู่กับเราอยู่ดี เรื่องอะไรจะต้องนั่งทำร้ายตัวเองด้วยการคิดแต่สิ่งไม่ดีให้ต้องหน้าเหี่ยวหน้าย่นให้เสียเงินเสียทองอยู่ เพราะฉะนั้นเพียงแค่รอยยิ้มเท่านั้น ก็ทำให้สุขใจได้ไม่ต้องเสียเงินสักบาทเดียว

“จงมองทุกข์อย่างเข้าใจในทุกข์ เพราะทุกข์มีไว้ให้เห็น ไม่ได้มีไว้ให้เป็น อันนี้ต้องบอกตัวเองไว้เสมอ เพราะทุกข์เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คนที่รู้ว่าทุกข์มีไว้ให้เห็นไม่ได้มีไว้ให้เป็นเท่านั้น คือคนที่เข้าใจธรรมชาติ คนส่วนใหญ่ชอบสุข เกลียดทุกข์ แต่ทุกคนไม่ได้สุขตลอดหรือทุกข์ตลอด หรือไม่ได้สุขอย่างเดียวหรือทุกข์อย่างเดียวเสมอไป สุขและทุกข์นั้นเมื่อวันหนึ่งมาเยือนเราวันหนึ่งมันก็จากเราไป ไม่มีอะไรที่ไม่เปลี่ยนแปลง นี่คือธรรมชาติ”

ดาราสาวบอกว่า รอยยิ้มคือมิตรภาพ รอยยิ้มไม่ได้ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน มีแต่จะนำสิ่งดีๆ มาสู่ผู้นั้น ขอเพียงอย่าไปยิ้มเยาะ ยิ้มเย้ย ยิ้มหยันผู้อื่นเท่านั้นก็ทำให้มีความสุขแล้ว

ก่อนนอน...วางปัญหาทุกเรื่อง

มยุริญ แนะนำเคล็ดลับอีกข้อหนึ่งว่า ก่อนนอนไม่ต้องไปคิดถึงปัญหาอะไรๆ ไม่ต้องไปคิดถึงว่าเรื่องนั้นพรุ่งนี้จะเป็นยังไง จะเกิดอะไรขึ้น หากมีปัญหาอยู่ในใจก็ให้วางปัญหาเหล่านั้นก่อน ไม่ต้องเก็บเอามาคิดใดๆ ตื่นมาค่อยมาคิดแก้กันใหม่ เพราะถ้ายังไม่ลืมเรื่องต่างๆ เหล่านั้นก็จะทำให้นอนไม่หลับ

“จงทำใจสบายๆ จะสุขหรือจะทุกข์พรุ่งนี้ค่อยมาว่ากัน กราบหมอนแล้วให้ระลึกถึงแต่สิ่งดีๆ ถ้าเป็นชาวพุทธด้วยก็ควรสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอนด้วย เพราะการสวดมนต์ไหว้พระจะทำให้จิตน้อมไปในกุศลหรือสิ่งดีงาม”

ดาราสาวยังแนะอีกว่า นอกจากการวางปัญหาที่มีอยู่ในใจแล้ว วิธีหนึ่งที่จะสามารถนำมาใช้ได้ก็คือ ก่อนนอนหลังจากไหว้พระสวดมนต์แล้วให้ระลึกถึงว่า วันนี้ตัวเองได้ทำอะไรไม่ดีบ้าง ได้ทำอะไรที่ดีบ้าง


“อะไรที่ไม่ดีก็ให้ระลึกและบอกกับตัวเองว่า พรุ่งนี้และต่อจากนี้จะไม่ทำอีกต่อไป ส่วนที่เป็นเรื่องดีๆ ก็ให้ระลึกและบอกกับตัวเองจะตั้งหน้าตั้งตาทำความดีต่อไปถ้ามีโอกาส เมื่อระลึกอย่างนี้ก็จะทำให้จิตผ่องใสก่อนที่จะนอน” ดาราสาว แนะนำ

ปล่อยจิตอิสระ (สักพัก) แล้วใช้สติตาม

วิธีการทำจิตให้ผ่องใสนั้นแต่ละคนอาจมีวิธีของตัวเอง สำหรับวิธีของ นิพนธ์ จัยสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.ที.ซี. ทรานสฟอร์เมอร์ แนะนำว่า จงปล่อยความอิสระให้แก่จิตของตัวเองไปสักพักประมาณ 2030 นาที โดยไม่ต้องไปห้าม หรือไปบังคับจิต จิตจะคิดอะไร เรื่องอะไร ดีหรือไม่ดี เสื่อมหรือเจริญก็ปล่อยให้คิด จะเที่ยวไปไกลถึงไหนให้ปล่อยก่อน

“คิดจะด่า คิดจะชม คิดจะตัดเงินเดือน คิดจะปลดพนักงาน คิดจะเลื่อนตำแหน่ง คิดจะลดตำแหน่ง เป็นต้น ก็ปล่อยให้คิดไปก่อน อย่าไปบังคับ เพราะยิ่งบังคับจิตก็ยิ่งฟุ้ง ขอเพียงกายนิ่ง ส่วนจิตจะนิ่งหรือไม่นิ่งยังไม่ต้องไปใส่ใจ” นิพนธ์ แนะนำ

การที่ปล่อยจิตให้คิดอย่างอิสระโดยไม่บังคับนั้น นิพนธ์อุปมาให้ฟังว่า จิตของคนเราเปรียบเสมือนม้าป่า และขึ้นชื่อว่าม้าป่านั้นเป็นสัตว์ที่ฝึกยาก คนที่ฝึกจะต้องฉลาดและรู้วิธีในการฝึกอย่างดี

“เชือกที่ใช้ผูกม้านั้นคนฝึกจะดึงตึงตลอดไม่ได้ เพราะถ้าทำอย่างนั้นม้าจะสู้และดึงดันกระโดดไปมา ที่ถูกวิธีจะต้องตึงบ้าง ผ่อนบ้าง ตามจังหวะและสถานการณ์ความเป็นไปของม้า เพื่อควบคุมม้าให้อยู่ เช่นเดียวกัน จิตของคนเราก็เหมือนกับม้าป่า จะบังคับให้นิ่งนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะยิ่งบังคับก็ยิ่งฟุ้ง ไม่เชื่อลองนั่งสมาธิแล้วจะรู้ว่าเพียงแค่หลับตาก็ไม่รู้จิตคิดไปไหนถึงไหนแล้ว” นิพนธ์ อธิบาย

นิพนธ์ บอกว่า ฉะนั้นจึงควรปล่อยจิตให้คิดไปก่อน เพราะเมื่อจิตคิดมากๆ ถึงจุดหนึ่งจิตก็จะอ่อนกำลังและจังหวะที่จิตฟุ้งน้อยที่สุดนี้แหละจึงค่อยจัดการกับจิตด้วยการเอาสติไปตามรู้อารมณ์และจิตอย่างเท่าทัน เพียงแค่นี้เราก็จะไม่เพลี่ยงพล้ำตกเป็นทาสของกิเลสที่ทำให้จิตเศร้าหมองอีกต่อไป

นิพนธ์ แนะนำว่า ขอเพียงหามุมสงบๆ นั่ง อาจเป็นมุมใดมุมหนึ่งของบ้าน ระเบียงหน้าบ้าน ม้านั่งใต้ต้นไม้กลางลานบ้าน หรือแม้แต่ห้องพระ ปล่อยให้จิตคิดไปตามเรื่อง จากนั้นแล้วรอจังหวะใช้สติเข้าไปตามรู้อย่างเท่าทัน โดยไม่ปล่อยให้จิตคิดเสรีโดยไม่คุมอีกต่อไป เพียงแค่นี้ก็น่าจะป้องกันรักษาจิตไม่ให้เศร้าหมองได้