แด่ครู…ผู้สั่งสอนศิษย์
หากมีใครสักคนที่จะคอยชี้แนะให้คำแนะนำแก่เด็กต่อจากพ่อและแม่ของเขาแล้ว ก็คงจะเป็นครูนี่แหละ พ่อแม่คนที่สองของเด็กทุกๆคน เป็นเสมือนผู้บอกทางที่ถูก ทางที่ผิดแก่เด็ก ให้เด็กได้เดินตามทางที่ถูกต้อง ครูเปรียบได้หลายสิ่งหลายอย่าง เป็นเรือจ้างที่ส่งผู้โดยสารให้ถึงฝั่ง เป็นแสงเทียนที่คอยส่องให้เห็นทางสว่าง เป็นป้ายบอกทางบนถนนชีวิต เป็นดั่งคลังเก็บความรู้ที่สามารถนำออกมาใช้ได้อย่างไม่มีวันหมด ฯลฯ
นี่คือสิ่งที่ผมได้ยินได้ฟังมาหลายต่อหลายครั้งจนชิน และเชื่อว่าครูต้องเป็นอย่างนี้ นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และผมเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น จนมาถึงช่วงหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงความเชื่อของผมไป เพียงเพราะใครคนหนึ่งที่แฝงกายอยู่ในนามสมมติที่เราเรียกกันว่าครู...
คำว่าครูความหมายที่แท้จริงนั้นมันคืออะไรกันแน่? แล้วสัมพันธ์กับการกระทำของบุคคลที่เรียกตนว่าครูในปัจจุบันนี้หรือไม่ การกระทำต่างๆที่สมความที่จะให้ความเคารพหรือไม่?
เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานมากแล้วและผมก็เชื่อว่าเกิดขึ้นกับทุกโรงเรียน ไม่ว่าจะโรงเรียนเล็กหรือใหญ่ เป็นสิ่งที่ผมพบเจอด้วยตนเองพร้อมกับจากการเล่าให้ฟังของรุ่นน้องในโรงเรียน จนหลายครั้งถึงกลับตั้งคำถามขึ้นมาว่า อย่างนี้หรือที่เรียกว่าครู...ผู้ที่สั่งสอนศิษย์
เรื่องแรกเป็นการพาณิชย์ในโรงเรียนโดยรับจ้างสอนพิเศษให้เด็กที่เรียนไม่ทันเพื่อน แรกๆผมยังไม่ใส่ใจอะไรเพราะค่าเรียนก็เก็บไม่แพง แต่ถึงวันสอบเข้าจริงๆกลับเอาข้อสอบที่สอนพิเศษมาให้ทำซึ่งเด็กบางคนไม่ได้เรียนก็เลยทำข้อสอบไม่ได้ เลยสอบตกกันเป็นแถวต้องยอมเสียเงินเรียนพิเศษเพื่อให้ตนสอบผ่าน
บางคนคิดจะช่วยเด็กโดยการเพิ่มคะแนนให้เห็นว่าสงสาร แต่เด็กคนนั้นจะมีความรู้อะไร บางครั้งถึงขนาดปล่อยให้ลอกข้อสอบกันในห้องโดยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เลยก็มี นี่คือสิ่งที่ทุกท่านต่างก็รู้กันมาแล้วทั้งนั้น
ต่อไปนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในโรงเรียนสิ่งที่หลายๆท่านยังไม่เคยทราบด้วยซ้ำไป...แต่ผมขอย้ำว่ามันได้เกิดขึ้นแล้ว
มีเด็กมาเล่าให้ผมฟังว่า...เขาเรียนกับอาจารย์ที่เป็นเสื้อสี(ไม่ขอเอ่ย)ตั้งแต่ต้นชั่วโมงอาจารย์ได้แต่พูดคุณความดีของสีที่ตนชอบ ยกยอต่างๆนานาให้เด็กฟัง เท่านั้นยังไม่พอกลับกล่าวให้ร้ายอีกสีหนึ่งที่ตนเกลียดแบบเสียๆหายๆ หากรู้ว่าเด็กคนไหนที่ทางบ้านชอบสีที่ตนเกลียดก็จะพลอยเกลียดเด็กคนนั้นไปด้วย ทั้งพูดส่อเสียด กระทบกระทั่งเป็นต้นว่า โง่ เลว นิสัยไม่ดี เยาะเย้ยถากถาง หากเด็กคนไหนชอบสีเหมือนตนก็จะรักใคร่เอ็นดูมากเป็นพิเศษ แล้วเด็กคนนั้นก็เล่าต่อว่า อาจารย์พูดเรื่องเสื้อสีจนหมดชั่วโมง และชั่วโมงต่อมา มีอาจารย์ที่เป็นอีกสีหนึ่งมาพูดบ้างด่าคนที่เป็นอีกสีให้เด็กฟังพฤติกรรมเหมือนกันกับคนก่อน ต่างยึดในสีของตนเอง ที่ร้ายไปกว่านั้นคือมักจะถามเด็กว่าอยู่สีไหน หากเด็กตอบว่าอยู่เป็นกลาง(สีขาว)ก็บอกว่าเด็กโง่ ไม่ทันสถานการณ์บ้านเมืองอีก มองเด็กว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว “นี่หรือครู” ผมถามตัวเองในทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้ “สมควรอยู่อีกหรือที่จะให้ผู้คนเคารพนับถือ” เด็กเขาจะอยู่ฝ่ายไหนก็เป็นสิทธิ์ของเขา ครูไม่สมควรที่จะแสดงทัศนคติส่วนตัวออกมาให้เด็กฟัง สรุปทั้งสองชั่วโมงนั้นทุกคนต่างไม่ได้เรียนอะไรเลย นอกจากเรื่อง...สี...
สำหรับบางคนเมื่อเข้ามาในห้องเรียนแล้วพึงหยิบยกเอาเรื่องของครูคนอื่นๆในโรงเรียนมานินทาให้ฟังบ้างด่าให้ฟังบ้าง ว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งยังบอกว่าใครความคิดให้ตรงกับตนหรือเกลียดตนเป็นคนเลวทั้งหมด (ช่างกล้าพูดไปได้นะ) บางคนด่า(ประจาน)นักเรียนในห้องก็มีให้เพื่อนนักเรียนด้วยกันเห็นเป็นเรื่องสนุก ยกเรื่องต่างๆมาพูดอย่างเมามัน โดยไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นจะรู้สึกเช่นไร บางทีเด็กไม่ยกมือไหว้เพราะมัวทำอย่างอื่นอยู่หรือมองไม่เห็นก็เข้าไปหาและด่าตรงนั้น มีบางคำที่ผมได้ยินแล้วโกรธขึ้นมา
ครู : นี่เธอทำไมไม่ไหว้ครูหา เห็นหลายครั้งแล้ว อันที่จริงครูก็ไม่อยากได้รับการไหว้จากใครหรอกนะ แต่ทำไมเธอถึงไม่ไหว้ครูคนอื่นๆทุกคนเขาไหว้กันทั้งนั้น มีแต่เธอคนเดียวนี่แหละ คนที่ไม่เคารพครูบาอาจารย์จะเป็นคนที่ไม่เจริญนะ ทีหลังก็ไหว้ครูซะ...
เห็นไหมครับคำพูดมันขัดแย้งกันชัดๆ ผมเจอมาแล้วและยังจำมันขึ้นใจจนถึงทุกวันนี้
ยังไม่หมดครับยังไม่หมด บางท่านไม่รู้เป็นอะไร มีนิสัยชอบดูถูกนักเรียน จะสอบเข้ามัธยมปลายได้หรือ? จะเรียนแผนวิทย์ฯได้หรือ? จะเรียนจบหรือ? จนอย่างนี้คงเรียนไม่ไหวหรอกมั้ง ฯลฯ ดูถูกยังไม่พอ(สงสัยคงยังไม่สะใจ) ยกตัวอย่างของคนรวยที่เรียนเก่งสอบติดแพทย์ สอบติดพยาบาล มาเปรียบเทียบกับเด็กจนๆ ที่สอบติดคณะอื่นๆ(เหมือนจะยกมาให้เอาเป็นตัวอย่าง แต่ที่จริงแล้วน้ำเสียงกลับไม่ใช่) บางคนยุให้เด็กแตกคอกันก็ยังมีเลย
นอกจากนี้แล้วบางท่านกำลังทำผลงานเพื่อเลื่อนวิทยฐานะของตนเอง โดยไม่สนใจการสอนหนังสือ ในแต่ละวันจะคอยเอาแต่งานของตน แล้วบอกไม่มีเวลาสอน เด็กบางคนมาบอกว่า สบายจะตายเมื่อเรียนกับครูคนนี้ สอนบ้างไม่สอนบ้าง สอบมาปล่อยเกรดตลอด คะแนนดีกันทั้งนั้น
แต่มีอีกอย่างที่ร้ายที่สุดนั่นก็คือครูที่จ้องจะคอยแต่ทำลายศิษย์ อย่าคิดว่าไม่มี เป็นเรื่องที่ผมได้ยินแล้วถึงกับตกใจ ครูอะไรทำไปได้ถึงขนาดนี้ ทั้งที่เด็กคนนั้นตนเป็นคนปั้น เป็นคนสนับสนุนส่งเสริมมาด้วยตนเองตั้งแต่ต้น พอเด็กทำอะไรให้ไม่พอใจนิดๆหน่อยๆ ก็ถึงกับใส่ร้ายเอาซึ่งๆหน้า เที่ยวโพนทะนา ว่าเด็กคนนั้นไม่ดียุยงให้จงเกลียดจงชังเด็กคนนั้น เรื่องนี้เพื่อนผมจากต่างอำเภอเป็นคนนำมาเล่าให้ฟัง เพราะเรื่องเกิดขึ้นในแถบนั้นพอดี
ยังมีพฤติกรรมอื่นๆอีกมากมาย ที่ผมและทุกท่านยังไม่รู้ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งต่างๆที่ได้พูดมาเหล่านี้ ก็ๆได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ ไม่ใช่ว่าผมมองว่าผู้ที่เป็นครูทั้งหมดไม่ดี แต่เป็นเพียงบางส่วนบางคนเท่านั้น ยังมีครูดีๆอีกมากมายที่ผมให้ความเคารพนับถือ เป็นการยากที่จะมองให้ออกว่าใครมีนิสัยเป็นอย่างไร นอกเสียจากต้องรู้จักกันไปนานๆเท่านั้น
ควรแล้วหรือไม่ที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงระบบการรับข้าราชการครู ที่ไม่ใช่สอบเฉพาะแค่วัดความรู้ในสายที่จะบรรจุอย่างเดียว แต่ควรวัดจรรยาบรรณความเป็นครู วัดศีลธรรม วัดคุณธรรม ให้มากกว่านี้ เพื่อให้ได้บุคลากรครูที่มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาเด็กให้เป็นคนดี เป็นคนเก่งของสังคม ให้เขาเหล่านั้นช่วยกันพัฒนาสังคมให้ดีขึ้นต่อไป แทนที่จะต้องให้เขามาด่าว่าครูแต่ละคนลับหลัง ซึ่งมันเป็นสิ่งไม่ดีทั้งต่อตัวครูเอง และต่อตัวเด็ก
จะดีกว่าไหมถ้าเรามีครูที่พร้อมจะทุ่มเทกำลังแรงกายอุทิศชีวิตทั้งหมดไปเพื่อให้ความรู้และแนะนำสั่งสอนสิ่งดีๆให้เด็ก มากขึ้นยิ่งกว่าปัจจุบัน จะดีกว่าไหม ถ้าเรามีครูที่เห็นความสำคัญของการสั่งสอนมาเป็นอันดับหนึ่ง แทนที่จะมุ่งแต่ผลประโยชน์ของตนเอง
น้อย...เหลือน้อยเต็มที แต่ก็ยังมีให้เห็นบ้าง...
เด็กคืออนาคตของชาติ...ครูคือแม่พิมพ์ของชาติ
แล้วความหมายที่แท้จริงของคำว่าครูในปัจจุบันคืออะไรกันแน่?