นิทานเรื่องผลแห่งความกตัญญู

กระทู้: นิทานเรื่องผลแห่งความกตัญญู

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. Calla said:

    นิทานเรื่องผลแห่งความกตัญญู


    มีนิทานจีนอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นนิทานที่สอนถึงเรื่องความกตัญญูไว้ได้ดีมาก เป็น
    นิทานเก่าแก่ คิดว่านำมาเล่าสู่กันฟังคงจะเป็นประโยชน์ และเป็นตัวอย่างอันดีแก่บรรดา
    ผู้เป็นลูกทุกคนที่กำลังทิ้งพ่อแม่
    ในประเทศจีน ที่เมืองซัวไซไถ่หงวนฮู มีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่ง ใน
    ครอบครัวนี้มีเพียงสามคนเท่านั้นคือมีพ่อแม่และลูกชายซึ่งเติบโตเป้นหนุ่มเต็มตัว
    ลูกชายชื่อ ฮู แซ่เอีย รวมเรียกชื่อเด็กหนุ่มผู้นี้ว่า เอียฮู อยู่ต่อมาพ่อบ้านคือบิดาของ
    เอียฮูตายลง ทิ้งภรรยาและลูกไว้เผชิญกับชะตาชีวิตตามลำพังสองแม่ลูก
    มารดาของเอียฮูเป็นคนชราอายุมากแล้วทำการงานอะไรก็ไม่ไหว ครอบครัวนี้
    เมื่อพ่อตายลง เอียฮู เด็กหนุ่มก็ต้องทำนาแทนพ่อต่อไป ส่วนนางผู้เป็นมารดานั้นเล่า
    ก็แก่เฒ่าทำนาไม่ไหวเสียแล้ว นางจึงอยู่เฝ้าบ้านทำงานในบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปตาม
    ประสาคนแก่ เอียฮูเด็กหนุ่มผู้นี้ หาได้มีความกตัญญูต่อแม่ของตนไม่ และการงาน
    ก็ไม่ชอบทำ
    เอาแต่เที่ยวเตร่เฮฮามารดาว่ากล่าวไม่ได้ และทำอะไรก็เอาแต่ใจตัวเอง
    นางมีความคับแค้นใจเป็นอันมาก เพราะนางมีบุตรชายคนเดียว หวังที่จะฝากผี
    ฝากไข้ แต่ลูกชายมีความประพฤติไม่ดีการทำนาหรือก็ไม่เกิดผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยบางปี
    ฝนแล้งข้าวในนาตายหมด บางปีฝนมากจนน้ำท่วมนาเกิดความเสียหาย นางก็ไม่ปริปาก
    พูดอะไรให้ลูกต้องกระทบกระเทือนใจ เมื่อนางคิดถึงบุตรก็ได้แต่นั่งร้องไห้เพียงคนเดียว
    สามีผู้เป็นคู่ชีวิตได้จากนางไปเสียแล้ว นางมีความว้าเหว่และทุกข์ใจมาก แต่สู้อดทน
    เพราะความรักลูก
    เอียฮูผู้ทำนา ได้ข้าวปลาไม่สมบูรณ์เหมือนคนอื่นเขาทั้ง ๆ ที่นาก็มีถึง ๕๐ ไร่
    แต่ผลที่ได้รับกลับไม่พอกิน เด็กหนุ่มผู้นี้ก็ได้หาเฉลียวใจไม่ว่า เป็นเพราะเหตุใด
    เขาคิดแต่เพียงว่าเป็นคราวเคราะห์ไม่ดีของเราเองจึงทำให้ได้ผลไม่สมบูรณ์ หาได้คิดไม่ว่า
    เป็นเพราะ ตัวเองขาดความกตัญญูกตเวทีต่อแม่ผู้มีพระคุณ
    ณ เมืองเสฉวน ได้มีพระเถระรูปหนึ่งชื่อว่า บ่อจี่ไต้ซือ เป็นผู้สำเร็จฌานอภิญญา
    เจริญอิทธิบาทภาวนา เป็นผู้มีอายุยืนเพราะท่านสำเร็จวิชาที่มีชื่อว่า อภิญญา คนสมัยนั้น
    เรียกว่า วิชาอายุวัฒนะ เอียฮูเด็กหนุ่มเมื่อได้ทราบข่าวก็อยากไปเรียน วิชาอายุวัฒนะ
    กับท่านบ่อจี่ไต้ซือ วันหนึ่งจึงเข้าไปลาแม่และเรียนให้แม่ทราบว่า ตนเองจะเดินทางไป
    เรียนวิชาอายุวัฒนะ ยังเมืองเสฉวนกับพระเถระชื่อ บ่อจี่ไต้ซือ
    มารดาจึงเตือนลูกว่า การเรียนวิชาอายุวัฒนะนั้นยากมาก ไม่ใช่เรียนรู้ได้ง่ายๆ
    เวลานี้แม่ก็แก่มากแล้ว ถ้าลูกเดินทางไปเมืองเสฉวนเสีย แม่จะอยู่กับใคร และใครเล่าเขา
    จะเลี้ยงดูแม่ตามโบราณประเพณีนั้นเมื่อพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่และแก่เฒ่ามาก ๆ ลูกนั้นไม่ควร
    จะเดินทางไกลควรจะคอยดูแลแม่ ทั้งเวลานี้บิดาของลูกก็สิ้นชีวิตไปแล้ว ตัวของลูกเอง
    ก็ไม่มีญาติพี่น้องตัวคนเดียวเท่านั้น แม่ก็หวังจะพึ่งพิงลูกไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
    ถ้าลูกไปเสียแล้ว แม่จะได้ใครมาอยู่เป็นเพื่อนเล่า

    To be continue>>
     
  2. Calla said:

    Re: นิทานเรื่องผลแห่งความกตัญญู



    <ต่อค่ะ> การไปของลูกครั้งนี้ จะสำเร็จตามความปราถนาหรือไม่ลูกก็ยังไม่ทราบ
    ลูกไม่คิดดูบ้าง ตั้งแต่โบราณกาลมาผู้ที่เรียนวิชาอายุวัฒนะได้สำเร็จนั้น ก็เพราะเอา
    คุณธรรมคือความกตัญญูเป็นที่พึ่ง
    จึงสามารถเรียนวิชาได้สำเร็จ แม้แต่ผู้ที่ได้ตรัสรู้
    เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็ต้องอาศัยความกตัญญูเป็นที่ตั้ง
    ลูกจะทิ้งแม่ไปอย่างนี้ลูกไม่คิดกตัญญูบ้างหรือ นางก็ได้แต่อ้อนวอนลูกชาย
    อย่างนี้ แต่เอียฮูผู้เป็นลูกหาได้เชื่อฟังไม่คิดจะเดินทางไปให้ได้ เสร็จแล้วก็จัดแจงเตรียม
    เครื่องเสบียงในการเดินทาง พร้อมทั้งเงินตราสำหรับใช้จ่าย เดินออกจากบ้านไปนางผู้เป็น
    แม่ได้แต่นั่งมองลูกแล้วน้ำตาก็เอ่อล้นออกมาด้วยความเสียใจ พอลูกเดินทางออกจากบ้าน
    ลับตาไปเท่านั้น นางก็เป็นลมสลบแน่นิ่งไปด้วยความเสียใจ คนข้างบ้านเห็นเหตุการณ์
    ก็พากันมาช่วยแก้ไข จนกระทั่งนางรู้สึกตัวฟื้นขึ้นแล้วนางก็ร่ำไห้บ่นถึงลูกอยู่ร่ำไป

    พระเถระปลอมมาเทศน์

    เอียฮู เมื่อเดินทางออกจากบ้านก็มุ่งหน้าไปเมืองเสฉวนโดยมิได้ห่วงใยในมารดา
    เลยแม้แต่น้อย หวังจะเรียนวิชาอายุวัฒนะให้สำเร็จเพียงอย่างเดียว ในขณะที่เดินทาง
    ไปนั้นได้เห็นพระเถระองค์หนึ่งนั่งเทศนาโปรดสัตว์อยู่ข้างทาง เอียฮูเดินทางไปถึงที่
    แสดงธรรมนั้นจึงหยุดยืนฟังด้วยความสนใจ
    พระเถระนั้นเทศน์ว่า เมื่อมาพิจารณาดูสัตว์โลกเราในปัจจุบันนี้แล้ว รู้สึกสังเวช
    สลดใจ มนุษย์ในโลกปัจจุบันนี้ประกอบแต่กรรมชั่ว มีใจบาปหยาบช้ามาก ไม่รู้จักบุญคุณ
    ของมารดาบิดา ครูอาจารย์และผู้มีอุปการะคุณทอดทิ้งมารดาบิดาที่แก่เฒ่า แล้วบุคคล
    เหล่านี้จะหาความเป็นสิริมงคลได้แต่ที่ไหน มีแต่อัปมงคล คิดแต่อาฆาตมาดร้ายต่อกัน
    ไม่มีจิตเมตตาต่อกันและกัน
    เป็นผู้หญิงก็คิดแต่จะแต่งตัวเที่ยวเตร่ดูมหรสพ การบ้านการเรือนก็ไม่เอาใจใส่
    บ้านช่องปล่อยสกปรกรกรุงรังเอาแต่แต่งตัวอวดกันว่าฉันมีมากกว่าเธอ เธอมีน้อยกว่าฉัน
    ของฉันดีกว่าของเธอ ช่วยกันล้างผลาญทรัพย์สมบัติที่พ่อแม่หาไว้ให้
    พ่อแม่สร้างหลักทรัพย์เอาไว้ให้แล้วก็ไม่รู้จักรักษาให้ดี ครั้นสิ้นบุญของพ่อแม่
    ลูก ๆ ก็แย่งทรัพย์มรดกกัน ถึงกับต้องฟ้องร้องกันทางศาลเป็นความกันจนกระทั่ง
    ทรัพย์สมบัติเหล่านั้น ต้องตกเป็นของผู้อื่น ๆ จนหมดสิ้น พี่น้องต้องแตกแยกความ
    สามัคคีกันเพราะแย่งสมบัติกัน

    เขามิเคยได้คิดเลยว่า เมื่อตายไปแล้วทรัพย์สมบัติเหล่านั้น ก็นำเอาไปด้วยไม่ได้
    ต้องทอดทิ้งไว้เป็นสมบัติประจำโลก ที่คนเหล่านั้นไม่มีความอารีต่อกัน คิดประทุษร้ายต่อ
    กัน ในขณะที่ยังไม่ประสบต่อความพิบัตินั้นก็เพราะบุญ แต่ถึงกระนั้นความพิบัติเหล่านี้ก็
    จักปรากฏในวันใดวันหนึ่งแน่นอนซึ่งมีหลักฐานให้เห็นอยู่มากมาย บางครอบครัวนั้นพ่อแม่
    ร่ำรวยสร้างหลักทรัพย์ไว้ให้แก่ลูกหลานมาก ครั้นคนเหล่านั้นตายลงในไม่ช้า ลูกหลาน
    ต้องตกระกำลำบาก ลูกหลานเหล่านั้นไม่มีปัญญาสามารถรักษาทรัพย์สมบัติไว้ได้ อีก
    อย่างหนึ่งคือความเป็นผู้ไม่ประพฤติปฏิบัติธรรมในข้อกตัญญูกตเวทิตา


    To be continue>>
     
  3. Calla said:

    Re: นิทานเรื่องผลแห่งความกตัญญู



    <ต่อค่ะ>คำปริศนาของพระเถระ
    เอียฮู เมื่อได้ฟังก็เกิดความสนใจเลื่อมใสในคำสอนของพระเถระนั้น เมื่อเทศน์
    จบลง เอียฮูจึงเข้าไปกราบที่เท้าแล้วถามพระเถระว่าพระคุณเจ้าเดินทางมาจากไหน ?
    พระเถระก็ตอบว่า “เรามาเมื่อน้ำจืด”
    เอียฮู ก็ถามต่อไปว่า “แล้วพระคุณเจ้าจะเดินทางต่อไปที่ไหนอีก”
    พระเถระตอบว่า “เราไปแล้วไม่มีใจ”
    เอียฮู จึงถามต่อไปด้วยความสนใจว่า “พระคุณเจ้าอายุพรรษาเท่าไรแล้ว”
    พระเถระตอบว่า “เราเรียนวิชาอายุวัฒนะได้สำเร็จแล้วอายุของเราจึงประมาณ
    ไม่ได้ว่าเท่าไร”

    เอียฮู จึงถามว่า “พระคุณเจ้ามีอายุยืนเพื่อที่จะคอยใครหรือ ?”
    พระเถระจึงตอบว่า “เรามีอายุยืนเพื่อที่จะคอยคนที่ไม่มีความรู้สึกตัวว่าชั่ว”
    เอียฮูได้ฟังเช่นนั้นก็สงสัย เอ! ท่านสมณะรูปนี้พูดเป็นปริศนาชอบกลอยู่
    แล้วจึงถามพระเถระต่อไปว่า “ ก็ท่านเรียนวิชาอายุวัฒนะสำเร็จแล้ว ท่านรู้จักพระเถระที่
    ชื่อบ่อจี่ไต้ซือที่เมืองเสฉวน หรือไม่”

    พระเถระย้อนถามว่า “เธอถามถึงท่านสมณะบ่อจี่ไต้ซือทำไม”
    เอียฮู ตอบว่า “กระผมประสงค์จะเดินทางไปศึกษาวิชาอายุวัฒนะกับท่าน
    บ่อจี่ไต้ซือ”

    พระเถระตอบว่า “การที่จะเรียนวิชาอายุวัฒนะได้สำเร็จนั้นต้องเรียนโดยตรงกับ
    พระพุทธเจ้า เธอไม่ต้องเดินทางไปยังเสฉวน..ให้เหนื่อยดอก”

    เอียฮู จึงพูดกับพระเถระว่า “บัดนี้พระพุทธเจ้าท่านก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน
    ไปแล้ว ทำอย่างไรเราจึงจะพบท่านได้เล่า”

    พระเถระจึงบอกว่า “ การที่จะพบพระอรหันต์นั่นไม่ยากดอก เธอจงเดินกลับไป
    บ้านของเธอเถิด ท่านที่ใส่เสื้อกลับ ใส่รองเท้ากลับนั่นแหละ คือพระอรหันต์ของเธอ
    เธอจงอย่าลืมคำที่เราบอกนะ”

    เอียฮู ได้ยินพระเถระพูดเป็นอัศจรรย์เช่นนั้น จึงหันหน้ากลับเพื่อเอาของที่
    สะพายไปวางไว้ เพื่อที่จะได้ซักไซ้ให้แน่นอนจะแจ้งลงไป เมื่อวางของลงแล้วก็หันหน้ากลับ
    มาเพื่อสนทนากับพระเถระ แต่ปรากฏว่าพระเถระหายตัวไปเสียแล้วเอียฮูจึงคิดว่า
    พระเถระองค์นี้จะต้องเป็นผู้วิเศษสำเร็จวิชาชั้นสูงคือ อภิญญา เป็นแน่แล้ว อย่ากระนั้นเลย
    เราจะรีบเดินทางกลับบ้านดีกว่า จึงจัดแจงยกเสบียงกรังขึ้นสะพายแล้วหันหน้าเดินทาง
    กลับมาทางเก่า
    ในระหว่างเดินทางกลับบ้าน ก็คิดถึงคำของพระเถระรูปนั้นอยู่เสมอ จนกระทั่ง
    ถึงบ้าน เวลานั้นเป็นเวลาดึกมากผู้คนหลับนอนหมดแล้ว พอถึงหน้าบ้านจึงเคาะประตู
    เรียก แม่.....แม่.....จ๋า.....แม่.....เปิดประตูรับลูกด้วย
    มารดาของเอียฮู เมื่อลูกเดินทางออกจากบ้าน นางก็เฝ้าแต่คิดถึงลูก ห่วงใยลูก
    กินไม่ได้นอนไม่หลับร่างกายผ่ายผอมลง เมื่อนางได้ยินเสียงใครมาเรียกแม่ แม่จ๋า
    .....แม่.....ที่ประตู ฟังคล้ายเสียงลูกมาร้องเรียก นางก็ยังไม่เชื่อหูคิดว่าคงเพราะ
    ความผูกพันในลูก จึงทำให้ได้ยินเสียงลูกมาเรียก
    แต่เสียงเรียก แม่.....แม่จ๋า.....แม่ ก็ยังดังอยู่ นางจึงคิดว่าเราไม่ได้ฝันไปนี่
    เรายังไม่หลับ เสียงลูกมาร้องเรียกให้เปิดประตูนางก็ดีใจว่าลูกกลับมาแล้ว ด้วยความ
    รีบร้อนจึงหยิบเสื้อมาสวมใส่ หยิบร้องเท้ามาใส่โดยมิได้พิจารณาดูเสียก่อน จึงใส่กลับ
    กันหมดรีบกระวีกระวาดไปถอดกลอน พอเปิดประตูก็พบว่า เอียฮูลูกรักของนางนั้นเอง
    นางดีใจจนพูดไม่ออก ตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก


    To be continue>>
     
  4. Calla said:

    Re: นิทานเรื่องผลแห่งความกตัญญู




    <ต่อค่ะ> เอียฮู เมื่อเห็นแม่ใส่เสื้อกลับ ใส่รองเท้ากลับ ตรงตามที่สมณะบอกไว้
    ว่าผู้ที่ใส่ เสื้อกลับ ใส่รองเท้ากลับนั้นแหละ เป็นพระอรหันต์ของเธอ เอียฮู
    เกิดความสำนึกผิด ก้มลงกราบที่เท้าของผู้ที่เป็นมารดา แล้วหลั่งน้ำตาด้วย
    ความเสียใจในการกระทำของตน แล้วขอโทษต่อผู้เป็นมารดาที่ตนได้ทอดทิ้ง
    ไปว่า “ ต่อแต่นี้ไปตนจะประพฤติตนเป็น ลูกที่ดีของแม่ตลอดไป จะไม่ทอดทิ้ง
    แม่อีก แม่เป็นพระอรหันต์ของลูก

    มารดาจึงถามว่า มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นหรือลูก จึงได้ร้องห่มร้องไห้อย่างนี้
    เอียฮูเงยหน้าขึ้นมองหน้าผู้บังเกิดเกล้าด้วยน้ำตานองหน้า แล้วเล่าให้แม่ฟังว่า
    ในระหว่างที่ เดินทางไปเมืองเสฉวนนั้น ได้พบพระเถระที่แสดงธรรมอบรม
    พุทธบริษัทอยู่ตนจึงเข้าไป หยุดฟังและเกิดความเลื่อมใสจนกระทั่งพระเถระให้ลูก
    เดินทางกลับบ้าน แล้วจะพบพระอรหันต์ ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ของลูกก็คือ ผู้ที่ใส่เสื้อ
    กลับ รองเท้ากลับ บัดนี้ลูกได้พบพระอรหันต์ใน ดวงใจของลูกแล้ว ต่อจากนี้ไป
    ลูกจะบูชาพระอรหันต์ของลูกตลอดชีวิต
    นางจึงก้มหน้าดูตัวของนาง ก็รู้ว่าได้ใส่เสื้อกลับ รองเท้ากลับ ผู้เป็น
    มารดาจึงพูด ปลอบใจลูกว่า ดีแล้วลูกรักอย่าเสียใจไปเลย แม่อภัยให้ลูกทุก
    อย่าง ขอให้ลูกจงตั้งมั่นไว้ใน กตัญญูเถิดแล้วลูกของแม่จะมีแต่ความเจริญ
    รุ่งเรืองเพราะคุณธรรมข้อนี้ เป็นสิริมงคลแก่ ผู้ปฏิบัติมาก

    ผลแห่งความกตัญญู
    ตั้งแต่นั้นมา เอียฮูจึงตั้งหน้าทำนาด้วยความขยันขันแข็งโดยไม่เห็นแก่ความ
    เหนื่อยยาก ดูแลปรนนิบัติแม่มิให้เดือดร้อนใจ ให้อยู่อย่างสุขสบาย ปรากฏว่า
    ข้าวกล้าในนา ปีนั้นอุดมสมบูรณ์อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งเดิมทีเดียว เอียฮูทำนา ๕๐
    ไร่ ได้ผลเกือบไม่พอกิน พอใช้ ต่อมามารดาของเอียฮูก็ล้มเจ็บลงอย่างหนักเอียฮู
    เที่ยวตามหาหมอมารักษา จนสุดความสามารถแต่ก็ไม่สามารถจะรักษาหญิงชรา
    ผู้เป็นมารดาของตนให้หายได้
    ผลสุดท้ายเวลาแห่งความวิปโยคก็มาถึง นางลืมตามองดูบุตรครั้งสุดท้าย
    แล้วพูดขึ้นอย่าง แผ่วเบาว่า “ลูกรักของแม่เจ้าจงตั้งมั่นใน
    ความกตัญญูกตเวทีตลอดไปเถิด แล้วเจ้าจะ เจริญจงจำคำของแม่ไว้
    แม่ลาก่อนนะ”
    และแล้วดวงวิญญาณของแม่ก็จากไปด้วยความ สงบ
    เอียฮู เด็กหนุ่มซึ่งเฝ้าพยาบาลแม่อยู่อย่างใกล้ชิดด้วยความเป็นห่วงเมื่อ
    ได้ยินเสียง สั่งลาของแม่และเห็นแม่สงบแน่นิ่งไปเช่นนั้นก็ตกใจเขย่ากายร้องเรียก
    แม่.....แม่จ๋า.....แม่ แม่เป็นอะไรไป แม่ ! ถึงจะเขย่าเท่าไรร่างของหญิงชราผู้บังเกิด
    เกล้าก็หาได้ไหวติงไม่ คงนอนสงบแน่นิ่งอยู่ตามเดิม เอียฮูเอาสำลีไปวางไว้ที่
    ปลายจมูกเพื่อจะดูว่าลมหายใจของผู้ เป็นมารดายังมีอยู่หรือไม่สำลีไม่ไหวติง
    เด็กหนุ่มฟุบหน้าลงบนทรวงอกของบังเกิดเกล้าที่ตน เคยซบมาเมื่อตอนเยาว์
    และทอดทิ้งเหินห่างจากทรวงอกของแม่ที่เคยให้ความอบอุ่น มาเป็นเวลาช้านาน
    คร่ำครวญร้องเรียกหาแม่ให้กลับคืนมาได้
    เอียฮูเพ้อรำพันว่า แม่มีพระคุณต่อลูกเหลือเกิน แม่ได้ให้กำเนิด
    และเลี้ยงลูกให้ มีชีวิตมาจนเติบใหญ่ ลูกหาได้คิดถึงคุณของแม่ไม่
    ลูกผิดไป
    แล้วที่ลูกไม่มีความกตัญญู ต่อแม่ แต่เมื่อลูกนึกถึงคุณของแม่ ลูกมีความสำนึกผิดคิด
    กลับตัวใหม่ตั้งต้นเป็นลูกที่ดีของ แม่คิดว่าจะเลี้ยงดูแลแม่ให้มีความสุขสบายให้
    มากกว่า ที่แม่จะต้องเป็นทุกข์เฝ้าห่วงใยในตัวลูก แต่ลูกมีบุญน้อยแม่ต้องมาด่วนจาก
    ลูกไปเสียก่อนที่จะชดใช้หนี้พระคุณของแม่ได้ โธ่.....แม่จ๋า ชาติหน้าขอให้ลูกเกิด
    เป็นลูกของแม่อีกและขอให้ลูกจง อย่าเป็นลูกชั่วช้าเหมือน ชาตินี้เลย

    เอียฮูเด็กหนุ่มคร่ำครวญด้วยความทุกข์โศกอย่างแสนสาหัสจน กระทั้งเป็นลม
    สลบแน่นิ่งไปดุจดั่งเมื่อตอนที่ตนหนีแม่ออกจ ากบ้านทำให้แม่ต้องเสียใจร้องไห้จน
    สลบไปใน ครั้งนั้น นี่แหละกรรมย่อมสนองแก่ผู้กระทำเสมอจะช้าหรือเร็วเท่านั้น
    ชาวบ้านผู้เห็น เหตุการณ์ต่าง ๆ ก็พากันมาช่วยแก้ไขจนเอียฮูฟื้นคืนความรู้สึกขึ้นมา
    อีกวาระหนึ่ง


    (รูปไม่เข้าเท่าไหร่ แต่ใส่ไว้เพื่อความสวยงามค่ะ)
    To be continue>>
     
  5. Calla said:

    Re: นิทานเรื่องผลแห่งความกตัญญู




    <ต่อค่ะ>ตอนที่๕
    เมื่อเอียฮูฟื้นขึ้นมาแล้วก็ร้องไห้คร่ำครวญถึงแม่อยู่ต่อไปชาวบ้านก็
    พากันมาช่วยปลอบใจ จนกระทั่งเอียฮูคลายความเศร้าโศกลงบ้าง จึงจัดแจง
    ปลงศพมารดาแล้วนำไปฝังตามธรรมเนียมประเพณีต่อไป
    เอียฮูไปเยี่ยมมารดาที่หลุมฝังศพเป็นประจำทุกวัน ถึงมารดาจะตายไป
    แล้วหลายวัน แต่เขาก็หาได้คลายความเศร้าโศกลงไปได้ไม่ อยู่มาวันหนึ่ง
    บ้านที่อยู่ใกล้เคียงมีงิ้วอันเป็นมหรสพประจำปี เอียฮูจึงคิดที่จะไปดูงิ้วให้
    หายคลายทุกข์ไปชั่วขณะหนึ่ง จึงเดินทางออกจากบ้านไปดูงิ้ว เผอิญงิ้วคืนนั้น
    ก็แสดงถึงเรื่องลูกที่มีความกตัญญูต่อพ่อแม่ ในเนื้อเรื่องนั้นมีอยู่ตอนหนึ่งที่
    ลูกผู้ตั้งมั่นในความกตัญญู เมื่อแม่ตายแล้วก็เอาไม้มาแกะเป็นรูปแม่ เอาไปตั้ง
    ไว้บนหิ้งบูชา เซ่นไหว้เป็นประจำ
    สาเหตุที่เอาไม้มาแกะเป็นรูปแม่ไว้บูชานี้มีอยู่ว่า เด็กหนุ่มผู้นี้มีอาชีพ
    เลี้ยงแกะ เช้าขึ้นก็ไล่แกะไปกลางทุ่ง เย็นลงก็ไล่แกะกลับบ้าน เด็กหนุ่มผู้นี้เป็น
    คนโหดร้ายมาก ไม่มีความเคารพบิดามารดาของตน เป็นคนอกตัญญู
    อยู่ต่อมาพ่อก็ตายลง ทิ้งให้ผู้เป็นแม่อยู่กับตนสองคนเท่านั้น ถ้าวันใดมารดา
    หุงหาอาหาร ไปส่งกลางทุ่งช้าไปก็เกิดโทสะดุด่าว่าผู้เป็นมารดาต่าง ๆ นานา
    บางครั้งก็ตบตีแม่ผู้แก่เฒ่านั้นอย่างไม่ปราณีเด็กหนุ่มผู้นี้ประพฤติตนอย่างนี้
    เป็นอาจิณ ผู้เป็นแม่ก็ร้องห่มร้องไห้เป็นประจำอยู่เสมอ จะว่ากล่าวสั่งสอนลูก
    ก็ไม่ได้ ลูกก็ใช้กำลังตบตีเอา
    อยู่มาวันหนึ่ง ในขณะที่หนุ่มผู้นี้ไล่แกะไปเลี้ยงกลางทุ่งนาเมื่อฝูงแกะ
    กำลังเล็มหญ้าอยู่ ด้วยความร้อนจึงหลบมานั่งในร่มไม้ใกล้ฝูงแกะนั้น ได้มีแกะ
    แม่ลูกอ่อนตัวหนึ่งกำลังให้ลูกกินนม ลูกแกะตัวนั้นกำลังคุกเข่าลงดูดนม
    ด้วยความเคารพ เด็กหนุ่มผู้นี้ก็นั่งดูแกะแม่ลูกสองตัวนั้นด้วยความสนใจจน
    นั่งคิดเรื่อยเปื่อยไปว่า ลูกแกะในระยะที่ยังเล็กอยู่นั้นต้องอาศัยนมของแม่แกะ
    กินเป็นอาหารจึงเติบโตขึ้นมาได้ และลูกก็กินนมแม่ของมันด้วยความเคารพ
    แม่แกะก็เอาลิ้นเลียขนของลูกของมันด้วยความรักความเอ็นดู
    เด็กหนุ่มผู้นั้นก็นึกย้อนมาถึงตัวเองว่า เราเมื่อตอนเป็นเด็ก ก็คงจะ
    ต้องกินนมแม่มาอย่างนี้ แม่ก็คงจะรักเราเอ็นดูเราเหมือนแม่แกะตัวนี้เป็นแน่
    แต่ว่าเมื่อตอนเป็นเด็กนั้น เราดูดนมแม่อย่างนี้หรือเปล่าก็ทราบไม่ได้
    ทราบแต่ว่าเดี๋ยวนี้ถ้าวันใดแม่หุงหาอาหารมาส่งเราช้าไป หรือรสอาหารไม่ถูก
    ปากเรา เราก็ด่าว่าแม่ตบตีแม่ ถ้าทำอย่างนี้ไม่ถูกนี่ เราเป็นมนุษย์ แม้แต่สัตว์
    เดรัจฉาน มันก็ยังมีความเคารพแม่บังเกิดเกล้าของมัน เราเป็นมนุษย์แท้ ๆ
    ไม่เคารพในมารดา
    เมื่อคิดไปถึง การกระทำอันโหดร้ายของตนต่อมารดาผู้บังเกิดเกล้านั้น
    จึงเกิดสำนึกผิดขึ้นมา สงสารมารดาผู้แก่เฒ่าต้องลำบากยากเข็ญเพราะตนผู้
    เป็นลูก แทนที่จะเลี้ยงดูท่านให้ท่านสบาย แต่ก็ต้องทรมานให้ลำบาก
    ต้องหุงอาหารให้แก่ตนแต่เช้าตรู่ เมื่อหุงเสร็จแล้วยังต้องหิ้วมาส่งกลางทุ่งอีก
    ด้วยระยะทางไกล ๆ เมื่อนั่งคิดไปน้ำตาก็ไหลออกมาด้วยความสำนึกผิด จึง
    คิดว่าวันนี้เราจะไปเอาอาหารที่บ้านมารับประทานเอง ไม่ให้ลำบาก ขณะนั้น
    ได้เวลาพอดีที่หญิงชราจะต้องนำอาหารมาส่งลูกชาย เด็กหนุ่มผู้นี้ก็เหลียวไป
    ดูต้นทางเห็นแม่เดินลัดทุ่งมาด้วยความรีบร้อน จึงรีบลุกขึ้นวิ่งไปหาแม่อย่าง
    รวดเร็ว เพื่อไปรับอาหารจากแม่


    To be continue>>
     
  6. Calla said:

    Re: นิทานเรื่องผลแห่งความกตัญญู




    <ต่อค่ะ>ตอนที่ ๖
    ในขณะที่วิ่งไปนั้น หญิงชราผู้เป็นแม่เห็นลูกชายวิ่งมาฝุ่นตลบอย่าง
    ไม่คิดชีวิตอย่างนั้น ก็ตกใจกลัวตัวสั่น คิดว่าตายแน่แล้ว วันนี้ลูกคงตีเรา
    ตายแน่ ดูซิ ลูกวิ่งมาด้วยความโกรธลูกคงจะหิว นางจึงหยุดเดินคิดด้วย
    ความลังเลใจว่าจะทำอย่างไรดีจะไม่วิ่งหนีหรือ ลูกก็จะตีเอาด้วยแผ่นกระดานที่
    ถืออยู่เป็นประจำ เมื่อปล่อยให้ลูกตี ลูกก็จะบาปหนัก ความเจ็บปวดรวดร้าว
    นั้นนางพอทนได้เพราะความรักลูกสงสารลูกนางทนได้ทุกอย่าง
    นางคิดเช่นนั้นจึงตัดสินใจว่าวิ่งหนีดีกว่า แต่จะวิ่งเร็วก็ไม่ได้เกรงว่า
    อาหารจะหกลูกจะไม่ได้รับประทาน เมื่อเด็กหนุ่มเห็นแม่กลับหลังวิ่งหนี
    เพราะความเข้าใจผิดเช่นนั้นก็ตะโกนไปว่า “แม่อย่าหนี” แต่เสียงที่ตะโกนไป
    นั้นเหมือนกับไปยุให้แม่ต้องวิ่งเร็วยิ่งขึ้น ด้วยคิดว่าตายแน่แล้ววันนี้ ลูกคงจะหิว
    มากจึงโกรธแม่มากมายเพียงนี้ นางวิ่งไป น้ำตาก็ไหลรินออกมาด้วยความ
    ระทมทุกข์ คิดไปว่านางช่างมีกรรมเหลือเกิน มีลูกชายคนหนึ่งหวังจะพึ่งพา
    อาศัยด้วยความสุขเมื่อแก่เฒ่า ก็พึ่งพาอาศัยไม่ได้นางต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมาน
    ทุกวัน ก็พอดีเบื้องหน้าของนางนั้นมีสระใหญ่ขวางหน้าอยู่ นางจึงตัดสินใจว่า
    กระโดดน้ำตายดีกว่าอยู่ต่อไปก็เป็นทุกข์ ลูกจะต้องรับบาปกรรมมากขึ้น เพราะ
    นางเป็นแม่ ก็พอดีนางวิ่งไปถึงขอบสระจึงเอาหม้อใส่อาหารวางลง แล้วบอกลูก
    ว่าให้กินข้าวเสีย แม่ลาละ แล้วนางก็ทำท่าจะกระโดดลงน้ำ ลูกก็ตะโกนไปว่า
    แม่อย่ากระโดด แม่อย่ากระโดดแต่สายไปเสียแล้ว ร่างของนางผู้เป็นแม่ลอยลง
    สู่กลางสระใหญ่จมหายไปใต้น้ำ เด็กหนุ่มเมื่อมาถึงก็กระโดดตามลงไปหวังจะ
    ช่วยชีวิตแม่ แต่ก็สายไปเสียแล้ว ร่างของผู้เป็นแม่จมหายไปอย่างน่าอัศจรรย์
    งมเท่าไร ๆ ก็ไม่พบแม่ จึงขึ้นมานั่งร้องไห้ที่ขอบสระ จนกระทั่งดวงตะวันจะลับ
    ขอบฟ้า เด็กหนุ่มจึงเอา แผ่นกระดานที่เคยตีแม่อยู่เสมอ ๆ นั้นมาแกะเป็นรูป
    แม่และสถานที่ตาย เวลาตาย แล้วเอาไปบูชาที่บ้านด้วยความระลึกถึงคุณของ
    ผู้บังเกิดเกล้า
    เอียฮู จึงเกิดความคิดขึ้นมาว่า อันโบราณประเพณีนั้นเขาตั้งมั่นใน
    ความกตัญญูกตเวทีอย่างมั่นคง เขาจึงมีความสุขความเจริญ อย่ากระนั้นเลย
    เราควรจะไปหาซื้อคนชราที่อนาถาไร้ญาติขาดมิตรที่มีรูปร่างเหมือนแม่เอามา
    เป็นแม่ของเรา เราจะได้มีโอกาสปรนนิบัติแม่ได้อย่างเต็มที่ เราจะเลี้ยงให้
    เหมือนมารดาของเรา
    หาซื้อแม่เมื่อคิดดังนั้นแล้ว ก็กลับบ้านรวบรวมทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่
    ออกเดินทางตระเวณไปตามสถานที่ต่าง ๆ แล้วสอดส่องดูว่าใครมีรูปร่าง
    เหมือนแม่บ้าง เดินทางไปหลายหัวเมืองแต่ก็ไม่พบจนกระทั่งเงินทองที่นำ
    ติดตัวไปนั้นหมดก็ยังไม่พบผู้ที่มีรูปร่างเหมือนแม่ เขาเกิดความท้อแท้ใจ
    ครั้นจะเดินทางกลับบ้านเดิมเงินทองก็หมดเสียแล้ว ไม่มีเสบียงสำหรับเดินทาง
    เอียฮูจึงต้องลงทุนด้วยการขอทานเลี้ยงชีวิตในต่างเมือง แล้วก็เก็บหอมรอมริบ
    จนกระทั่งได้เงินทองพอเป็นค่าเดินทางเขาก็เดินทางกลับบ้านด้วยการ
    ขอทานมาต ามลำดับจนกระทั่งบรรลุถึงบ้านของตนเขาก็ไม่พบบุคคลที่มีรูปร่าง
    เหมือนแม่ เอียฮูอุตส่าห์เดินทางไปตามหัวเมืองต่าง ๆ หลายหัวเมือง
    เพื่อหาซื้อคนมาเป็นแม่ แต่ก็ไม่พบ เอียฮูเศร้าโศกคิดถึงแม่อยู่เสมอ
    จนร่างกายฝ่ายผอมซูบซีดไปมาก


    To be continue>>
     
  7. Calla said:

    Re: นิทานเรื่องผลแห่งความกตัญญู




    <ต่อค่ะ>ตอนที่ ๗
    อยู่มาวันหนึ่ง เอียฮู นั่งอยู่หน้าบ้านคอยเฝ้าดูผู้คนที่เดินทางไปมาว่า
    มีใครเหมือนกับแม่เราบ้าง ก็พอดีเหลียวไปเห็นหญิงชรามาขอทาน มีรูปร่าง
    เหมือนแม่เหลือเกินเอียฮูดีใจจึงรีบลุกขึ้นไปหา แล้วโค้งตามธรรมเนียมจีน
    แล้วร้องเรียกว่าแม่จ๋า ลูกเที่ยวหาแม่มาเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม ๆ แล้ว จนกระทั่ง
    ทรัพย์สินเงินทองที่ติดตัวไปหมด ครั้งนี้เป็นบุญของลูกที่แม่อุตส่าห์เดินทาง
    มาหาลูกถึงบ้าน ว่าแล้วก็ก้มลงกอดเท้าคนชรานั้นไว้แน่น เหมือนกับเกรงว่า
    นางจะเดินหนีไป
    หญิงชราผู้ขอทาน จึงทำหน้าฉงนด้วยความแปลกใจว่านี่อะไรกัน
    เรามิใช่เป็นมารดาของเจ้า จะมาเรียกเราเป็นแม่นั้นไม่ถูกธรรมเนียม
    เอียฮูจึงได้เล่าให้หญิงชราขอทานนั้นได้ทราบว่า ตนได้สูญเสียแม่ไป
    ตั้งแต่ต้น จนกระทั่งเที่ยวตามหาซื้อแม่มาเพื่อเป็นแม่ตั้งแต่ต้นจนจบ
    ลูกเที่ยวหาแม่มาเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว เอียฮูอ้อนวอนหญิงชราขอทานนั้นให้มา
    อยู่เป็นแม่ของตน
    หญิงชราบอกว่า เราอยู่คนเดียวเที่ยวขอทานก็พอกิน พอใช้ เราไม่
    อยากเป็นแม่ใคร เราอยู่คนเดียวอย่างนี้มีความสุขกว่า ทั้งเราก็เป็นคนมีโทสะ
    มาก เราอยู่กับใครไม่ได้ดอก
    เอียฮู ก็เฝ้าอ้อนวอนอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งหญิงชราใจอ่อน หญิงชรา
    จึงถามว่า เธอจะให้เราเป็นแม่ของเธอนั้น เธอจะต้องปฏิบัติตนต่อผู้ที่เป็นแม่
    ของเธออย่างไร จงเล่าให้เราฟังก่อน ถ้าเราพอใจก็จะอยู่เป็นแม่ของเธอ
    เอียฮูก็บอกว่า ถ้าคุณแม่ยินดีมาอยู่กับลูก ลูกจะมีความยินดีมาก
    ลูกจะปรนนิบัติคุณแม่ดุจดังมารดาผู้บังเกิดเกล้าของลูก
    การสิ่งใดก็จะมิให้คุณแม่ต้องร้อนใจ
    หญิงชราจึงว่า การอย่างนี่เป็นธรรมเนียมอยู่แล้วที่ผู้เป็นลูกทุกคน
    จะต้องปฏิบัติเช่นนั้น
    เงื่อนไขของผู้ที่จะรับเป็นแม่
    แล้วหญิงชราก็ถามว่า “ตามธรรมดาคนแก่นั้น เมื่อถึงฤดูหนาวเธอจะ
    ปฏิบัติต่อคุณแม่ของเธออย่างไร
    เอียฮูจึงตอบว่า “เมื่อถึงฤดูหนาว ลูกก็จะหาผ้านวมมาให้คุณแม่
    ห่มให้อบอุ่น และก่อไฟให้คุณแม่ผิง เวลาคุณแม่จะนอนที่นอนนั้นเย็น
    ลูกก็จะขึ้นนอนก่อนเพื่อให้ที่นอนอบอุ่นแล้วจึงเชิญให้คุณแม่ขึ้นนอนต่อไป
    เสร็จแล้วก็จะห่มผ้าให้คุณแม่ ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด ไม่ให้ลมเข้า
    ได้คุณแม่จึงจะไม่หนาว

    หญิงชราพูดว่า “หน้าหนาวเธอก็ปฏิบัติดีแล้ว แต่ว่าเมื่อถึงฤดู
    ร้อน เธอจะปฏิบัติต่อคุณแม่ของเธออย่างไร”

    เอียฮูจึงตอบว่า “เมื่อถึงฤดูร้อน ลูกก็จะนั่งพัดลมให้มิให้คุณแม่
    ร้อน แล้วหาผ้าแพรมาให้คุณแม่นุ่งห่ม
    เมื่อวันหนึ่งก็เปลี่ยนใหม่ทีหนึ่ง
    แล้วลูกก็นำไปซักน้ำให้สะอาดตากแดดให้แห้ง พอถึงเวลาเย็น ลูกก็เอาน้ำมา
    ให้คุณแม่ชำระกาย แล้วเชิญคุณแม่ไปนั่งเล่นในที่เย็น ๆ ลมพัดผ่าน แล้วลูกก็
    เข้าไปในห้องนอนของคุณแม่ ปัดกวาดที่นอนให้เรียบร้อย แล้วก็ปูผ้านอน
    เสร็จแล้วลูกก็มาเชิญให้คุณแม่เข้านอน ในระหว่างที่คุณแม่เข้านอน ลูกก็จะ
    คอยพัดโบกมิให้คุณแม่ร้อนจนกว่าคุณแม่หลับ


    To be continue>>
     
  8. Calla said:

    Re: นิทานเรื่องผลแห่งความกตัญญู





    <ต่อค่ะ>ตอนที่ ๘
    หญิงชราพูดว่า “ การปฏิบัติต่อคุณแม่ของเธอเมื่อตอนตายก็ดีแล้ว
    และดีทุกอย่างตั้งแต่ต้นมาไม่บกพร่อง แต่การที่เธอจะมารับเรามาเป็น
    คุณแม่ ของเธอนั้น เธอจะต้องเชื่อฟังคุณแม่และตามใจคุณแม่ทุกอย่าง
    ทั้งต้องเชื่อถ้อย คำของคุณแม่ ถ้าเธอปฏิบัติได้เราจะอยู่กับเธอ
    ถ้าเธอไม่ปฏิบัติตามนี้ เราก็จะ ไม่อยู่เป็นแม่เธอต่อไป เธอจะรับได้หรือ
    ไม่ได้ ”

    เอียฮูดีใจรับปฏิบัติตามทุกอย่าง แล้วก็รับเอาหญิงชราขอทานนั้นมา
    เลี้ยงเป็นแม่ของตน เอียฮูปฏิบัติตามคำพูดที่ให้ไว้แก่หญิงชราทุกอย่าง โดยไม่
    บกพร่อง เหมือนกับมารดาบังเกิดเกล้าของตน ก่อนที่เขาจะทำอะไร เอียฮูจะ
    ต้องมาปรึกษากับคุณแม่ทุกครั้ง ไม่ทำไปโดยพลการ
    อยู่ต่อมาถึงฤดูทำนา เอียฮูก็ไปปรึกษากับคุณแม่ว่า “ แม่จ๋า ถึงฤดู
    ทำนา แล้วนะชาวบ้านเขาลงมือทำนากันแล้วเพราะฝนก็ตกลงมา
    แผ่นดินนอง ไปด้วยน้ำฝน สะดวกแก่การเพาะปลุกเราควรจะลง
    มือทำนาหรือยัง ”

    หญิงชราผู้เป็นมารดาก็ห้ามลุกว่า “ อย่าเพิ่งลงมือทำนาในเดือนนี้
    เลยลูก เราไปลงมือทำเอาเดือนเจ็ดเถอะ ใครเขาจะทำก็ให้เขาทำไป
    ก่อน ”

    เอียฮูก็ปฏิบัติตามคำของแม่ทุกประการ ปรากฏว่าชาวนาที่ลงมือทำที่
    เดือนหกนั้น พอข้าวกล้าในนางอกฝนก็แล้งทำให้ต้นข้าวเหี่ยวแห้งตายไปหมด
    พอถึงเดือนเจ็ดฝนตก เอียฮูก็ลงมือทำ เมื่อหว่านข้าวลงไปแล้ว ฝนก็ตกมาอยู
    ่เสมอ ข้าวกล้าในนาก็เกิดผลเต็มที่มากกว่าปีก่อน ๆ ทั้งปีนั้นข้าวในนาของ
    เอียฮูยังออกรวงแปลกอีกด้วยคือ ต้นหนึ่งมีสองรวง
    สมัยนั้น เป็นสมัยที่พระเจ้าซ่งเจ็งได้ขึ้นเสวยราชย์ใหม่ ๆ พระองค์จึง
    ตรึกตรองในพระหฤทัย ประสงค์จะทอดพระเนตรชมของที่แปลกประหลาด
    ที่มีอยู่ในพระราชอาณาจักรว่าถ้าบ้านใดมีของแปลกประหลาด ขอให้ทูลเกล้า
    ถวายทอดพระเนตร มารดาของเอียฮูจึงเรียกเอียฮูมาบอกว่า “ บ้านเราปีนี้
    ปลูกข้าวออกต้นละสองรวง ไปทูลเกล้าถวายให้พระเจ้าซ่งเจ็งทอด
    พระเนตรเถิด”

    เอียฮูก็เชื่อแม่ นำข้าวสองรวงขึ้นทูลเกล้าถวายพระเจ้าซ่งเจ็งเมื่อ
    พระองค์ได้ทอดพระเนตรแล้ว ก็เห็นเป็นอัศจรรย์และมีความพอพระทัยมาก
    จึงตรัสถามขุนนางทั้งหลายว่า “ ข้าวสองรวงนี้จะดีหรือไม่ ” ขุนนางทั้งหลาย
    จึงกราบทูลว่า “อันต้นข้าวที่ออกเป็นสองรวงนี้ เป็นชัยมงคลมาก
    บ้านเมืองและไพร่ฟ้าประชาราษฎร์จะอยู่เย็นเป็นสุข ”

    เมื่อขุนนางทั้งหลายกราบทูลเช่นนั้น พระเจ้าซ่งเจ็งก็หันพระพักตร์
    ไปถามเอียฮูผู้เป็นเจ้าของว่า “ เธอได้ประพฤติธรรมอันประเสริฐอย่างไร
    หรือ ข้าวในนาจึงได้สมบูรณ์ออกเป็นสองรวงเป็นของแปลกประหลาด
    อย่างนี้ ”

    เอียฮูจึงกราบทูลเล่าเรื่องแห่งความจริง ที่ตนปฏิบัติอยู่ว่าตนเองเป็นผู้
    ตั้งมั่นในกตัญญูต่อพ่อแม่ ครั้นต่อมาแม่ตายลงตนก็ไปหาซื้อคนมาเป็นแม่
    ให้ทรงทราบทุกประการ


    To be continue>>
     
  9. Calla said:

    Re: นิทานเรื่องผลแห่งความกตัญญู




    <ต่อค่ะ>ตอนที่ ๙
    พระเจ้าซ่งเจ็งมีพระทัยยินดีมาก จึงตรัสว่า
    คนที่มีความกตัญญูนี้ ถ้าแต่งตั้งให้เป็นขุนนางคงจะซื่อสัตย์สุจริต
    ยุติธรรมพระเจ้าซ่งเจ็งจึงทรงแต่งตั้งให้เอียฮูเป็นขุนนางชั้น “ฮั่นหลิม คือ
    ขุนนางฝ่ายพลเรือน แล้วประทานข้าวของเงินทองเป็นจำนวนมาก เมื่อเอียฮูได้
    รับพระราชทานเรียบร้อยแล้ว ก็ทูลลาเดินทางกลับบ้านด้วยความดีใจ และจะ
    นำข่าวดีนี้ไปบอกให้แม่ทราบด้วย
    แต่อนิจจา.....เมื่อเอียฮูเดินทางมาถึงบ้าน เปิดประตูเข้าบ้านไปแล้วร้อง
    เรียกหาแม่ แต่ก็ไม่มีเสียงขานรับ เอียฮูก็เที่ยวค้นหาแม่จนทั่วบ้าน แต่ก็ไม่พบ
    แม้แต่เงา ครั้นไปถามคนข้างเคียงว่า มีใครเห็นแม่บ้าง คนข้างบ้านก็ปฏิเสธว่า
    ไม่เห็น เอียฮูเมื่อค้นหาแม่ไม่พบก็เสียใจร้องไห้โศกเศร้าถึงมารดา และนึกเสียใจ
    ว่า เราคงจะกระทำผิดให้คุณแม่ต้องเสียใจแล้วหนีเราไป แม่ไปแห่งหนตำบลใด
    เราก็ไม่ทราบ อย่ากระนั้นเลย เราจะต้องออกเดินทางตามหาแม่ให้พบจงได้
    เอียฮูก็เก็บข้าวของเงินทองใส่ถุงเรียบร้อยแล้วก็เดินทางออกจากบ้าน
    แต่พอโผล่ออกจากประตูก็พบพระเถระองค์หนึ่ง มีรูปร่างสง่างาม ผิวพรรณ
    ผุดผ่อง ยืนขวางประตู
    พระเถระรูปนั้นถามเอียฮูว่า “เธอจะเดินทางไปทางไหน”
    เอียฮูก็ตอบว่า “กระผมจะเดินทางไปตามหามารดาของกระผมที่หาย
    ออกไปจากบ้าน”
    พระเถระรูปนั้นจึงถามเอียฮูว่า “เธอจำฉันได้ไหม รู้จักฉันไหม ?”
    เอียฮูจึงพิจารณาดูรูปร่างของพระเถระ ซึ่งงดงามมากจึงตอบไปว่า
    ไม่รู้จักท่าน จำท่านไม่ได้
    พระเถระรูปนั้นจึงตอบว่า เรามิใช่ใครอื่นไกลที่ไหนดอกเรา คือ
    บ่อจี้ไต้ซือแห่งเมืองเสฉวนนั่นเอง แต่ก่อน เธอได้ทอดทิ้งมารดาของเธอ
    แล้วเดินทางเพื่อจะไปศึกษาวิชาอายุวัฒนะกับท่านบ่อจี้ไต้ซือที่เมืองเสฉวน
    เราเห็นว่าเธอประพฤติผิดต่อมารดาของเธอ โดยทอดทิ้งให้มารดา
    อยู่บ้านคนเดียว
    เราจึงได้แปลงร่างเป็นพระเถระมาคอยเธอระหว่างทาง
    เทศนาให้เธอกลับบ้าน รู้จักกตัญญูกตเวทีต่อมารดาของเธอ เมื่อเธอเดิน
    ทางกลับมาได้ไม่นาน มารดาของเธอก็ถึงแก่กรรมลงเธอมีความเศร้าโศกมาก
    ต้องเที่ยวเดินทางหาคนมาแทนเป็นแม่ แต่ก็ไม่ได้จนเงินทองหมดเนื้อหมดตัว
    จนต้องเดินทางกลับบ้าน ครั้นถึงบ้านแล้วเธอก็มีความเศร้าโศกมากจนร่างกาย
    ซูบผอมล้มเจ็บลงเ ราสงสารเธอจึงได้แปลงกายมาเป็นคนแก่มีรูปร่างเหมือนกับ
    มารดาของเธอ แล้วมาขอทานจนกระทั่งเธอพบหญิงชราที่ฉันแปลงกายมา
    และรับซื้อเป็นแม่ เราจึงมาอยู่กับเธอด้วย เธอก็มีความกตัญญูรู้คุณ
    ซื่อสัตย์สุจริตต่อเรา เราจึงช่วยให้เธอสร้างความดีจนกระทั่งได้รับความ
    เจริญมากแล้วด้วยการแต่งตั้งเป็นขุนนางในราชสำนัก

    เอียฮูเมื่อได้ทราบดังนั้นก็ดีใจ ก้มลงกราบพระอาจารย์ด้วยความซาบซึ้ง
    ในพระคุณของท่านอาจารย์ ที่ช่วยเหลือตน ให้ตั้งมั่นอยู่ในคุณความดี
    มีความสุขความเจริญ



    To be continue>>
     
  10. Calla said:

    Re: นิทานเรื่องผลแห่งความกตัญญู




    <ต่อค่ะ>ตอนที่ ๑o จบ
    พระเถระจึงสอนเอียฮูว่า เธอควรแสวงหาตัวของเธอเองดีกว่า
    อย่าไปแสวงหาสิ่งอื่นเลย เมื่อพบตัวเธอแล้วเธอย่อมจะกระทำที่สุดแห่ง
    ทุกข์ได้ในไม่ช้า แล้วพระเถระก็สอนกรรมฐานแก่เอียฮู ให้เอียฮูปฏิบัติ
    เพื่อทำลายอาสวะกิเลสอันเป็นเหตุแห่งทุกข์ให้หมดไป เมื่อบอกมนต์
    คาถาพอสมควรแล้ว ก็หายวับไป

    ต่อแต่นั้น เอียฮูก็มุ่งหน้าปฏิบัติธรรมตามที่พระอาจารย์สั่งสอนทุก
    ประการ ด้วยการเข้าฌานภาวนาจนกระทั่งอายุถึงแปดสิบปี ก็นั่งทำสมาธิ
    และตายลง พอตายแล้วปรากฏว่าศพไม่เน่า พระเจ้าซ่งเจ็งทรงทราบเรื่อง จึงมี
    พระราชดำรัสสั่งให้เอารูปของเอียฮูมาปิดทองสร้างศาลาบรรจุไว้ แล้วจารึก
    อักษรไว้เป็น
    “ถ้ามาตรแม้นผู้ใด ไม่มีความกตัญญูกตเวทีต่อมารดาบิดาและผู้ที่มี
    พระคุณทั้งหลายแล้ว ถึงจะประพฤติการสิ่งใด ก็จะไม่ได้สมดังความปรารถนา”
    นี่เป็นนิทานจีนที่เล่าสอนศีลธรรมอันดีงามเป็นเวลาช้านนาน เราจึง
    สังเกตได้ว่า ชาวจีนนั้นมักถือความกตัญญูเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเขาถือ ว่าถ้า
    เราขาดคุณธรรมทั้งสองข้อนี้แล้วเราทำมาหากินไม่เจริญรุ่งเรืองได้ คนจีนจึงมี
    ประเพณีเซ่นสรวงไหว้บรรพบุรุษเป็นประจำ นี้เป็นยุคที่คนในประเทศจีนยังมี
    พระพุทธศาสนาเป็นหลักแห่งใจอยู่ แต่ต่อมาในยุคนี้ลัทธิคอมมิวนิสต์เกิดขึ้น
    ทราบว่าลัทธินี้ สอนให้คนไม่เคารพพ่อแม่ และผู้มีอุปการคุณคุณธรรมทั้งสอง
    นี้จึงเสื่อมไปตามลำดับ

    จบบริบูรณ์ค่ะ