ชีวประวัติพระบวรปริยัติวิธาน (หลวงพ่อบุญเรือน) วัดพิชโสภาราม

กระทู้: ชีวประวัติพระบวรปริยัติวิธาน (หลวงพ่อบุญเรือน) วัดพิชโสภาราม

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. orchid said:

    ชีวประวัติพระบวรปริยัติวิธาน (หลวงพ่อบุญเรือน) วัดพิชโสภาราม

    ชีวประวัติพระบวรปริยัติวิธาน


    วิถีชีวิตของข้าพเจ้านับตั้งแต่เป็นเด็กมาจนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๔๐) เริ่มแต่เป็นเด็กรู้เดียงสามา ข้าพเจ้าไม่เคยสร้างศัตรูให้แก่ตัวเอง ถ้าหากว่าเพื่อนๆ ไม่พอใจในเรื่องอะไร ข้าพเจ้าจะรีบขอโทษทันที ข้าพเจ้าเคารพเพื่อน รักเพื่อนทั้งชายและหญิง เวลาเล่น ส่วนมากก็ชอบเล่นกับผู้หญิง จนเพื่อนๆ ล้อเลียนข้าพเจ้าว่าเป็นคนแม่ (นิสัยเหมือนผู้หญิง)

    ในบรรดาเพื่อนจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม พวกเขาจะรักข้าพเจ้ามาก มีอะไรก็แบ่งสรรปันส่วนเฉลี่ยเจือจานกัน ส่วนมากข้าพเจ้าจะทำงานผู้หญิง เช่น ตำข้าว เก็บฟืน หาอาหาร ปั่นฝ้าย ทอไหม เป็นต้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะแม่มีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ประกอบกับข้าพเจ้าเป็นบุตรคนโต จึงได้ทำงานช่วยแม่ นอกจากนี้สำหรับผู้เฒ่าผู้แก่ก็จะรักข้าพเจ้ามาก มีอะไรก็อยากจะให้ อยากจะสอน มีวิชาอาคมขลัง ก็อยากจะสอนให้ บางท่านก็สอนให้ และก็นำมาใช้ได้ตามที่ท่านสอน

    ข้าพเจ้าแม้จะตัวเล็ก แต่ก็มีความคิดคล้ายผู้ใหญ่ มีอะไรๆ เกิดขึ้นเพื่อนๆ ก็เลือกให้เป็นหัวหน้า ด้วยเหตุนี้ชีวิตของข้าพเจ้าจึงไม่ว้าเหว่ ไม่มีปมด้อย ได้รับความอบอุ่นจากเพื่อนๆ ตลอดถึงผู้เฒ่าผู้แก่เป็นอย่างดีเสมอมา

    เมื่ออายุครบเกณฑ์เข้าโรงเรียน ข้าพเจ้าก็ได้เข้าเรียนเหมือนเด็กชาวบ้านทั่วไป เมื่อเข้าโรงเรียนจะด้วยบารมีหรือเหตุปัจจัยอะไรก็แล้วแต่จะเดา นับแต่ชั้นมูลขึ้นไป คณะครูอาจารย์ภายในโรงเรียนตลอดนักเรียน ทั้งรุ่นน้องรุ่นพี่และรุ่นเดียวกัน ส่วนมากจะรักข้าพเจ้ามาก จนจบชั้นมูลแล้ว ก็ได้เลื่อนชั้นขึ้น ป.๑ และขึ้น ป.๒ ขณะเรียนอยู่ในชั้น ป.๒ นั้นคณะครูอาจารย์และนักเรียนได้ประชุมกันคัดเลือกนักเรียนผู้สมควรเป็นหัวหน้าในโรงเรียน ข้าพเจ้าได้ถูกคัดเลือกให้เป็นหัวหน้านักเรียน โดยไม่มีใครคัดค้านแม้แต่คนเดียว ข้าพเจ้าได้ทำหน้าที่หัวหน้านักเรียนในโรงเรียน ตั้งแต่วันนั้นมาจนเรียนจบ และออกจากโรงเรียน

    บัดนี้ ขอวกมาอีกฉากหนึ่ง ซึ่งเห็นว่าสมควรเขียนลงในประวัติ ถึงแม้ว่าไม่มีสาระน่ารู้ ก็อาจจะทำให้ผู้อ่านเบื่อเซ็งและหมั่นไส้ได้ เพราะเรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้ ไม่ใช่วิสัยของข้าพเจ้า ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าและข้าพเจ้าก็ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น

    แต่ถึงอย่างไรก็ขอร้องท่านผู้อ่านได้ทำใจให้เป็นกลางๆ อย่าเพิ่งเชื่อและอย่าเพิ่งปฏิเสธ ขอให้อุเบกขา อย่าให้อกุศลจิตหรือกุศลจิตเกิดขึ้น ขอได้กรุณาใช้วิจารณญาณตัดสินเอาเอง เพราะเรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้ เขียนตามคำขอร้องศิษยานุศิษย์ ที่ตกลงกันในที่ประชุมในต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งขณะนั้นข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ในที่ประชุม เพราะเดินทางไปเยี่ยมศิษยานุศิษย์ และญาติโยมทางปักษ์ใต้พร้อมด้วยคณะเป็นเวลา ๑๓ วัน เมื่อกลับมาได้อ่านดูมติที่ประชุม เกิดอึดอัดใจมากเพราะเป็นเรื่องที่ไม่อยากเขียน เหตุว่า เป็นดาบสองคม เป็นทั้งบุญและบาป เป็นเรื่องหมั่นไส้ บางท่านก็จะตัดสินเอาว่า ข้าพเจ้าอวดอุตตริมนุสธรรม

    แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงนี้แล้ว จะกลืนก็ไม่เข้า จะคลายก็ไม่ออก จำต้องทำตามมติที่ประชุม ที่ตกลงกันไว้แล้ว หากเรื่องอกุศลจิตหรือบาปกรรม อันจะพึงเกิดแก่ท่านผู้อ่านด้วยประการใดหรือประการหนึ่ง ข้าพเจ้าขอน้อมรับเอาด้วยตนเองทั้งหมด

    ก่อนอื่นก็ขอทำความเข้าใจว่า ชีวประวัตินี้ ไม่ได้มีเจตนาเขียนเพื่อที่จะอวด แต่เขียนไว้เพื่อท่านผู้อ่านทั้งหลายจะได้ศึกษา และจะเขียนตามความเป็นจริงที่สุด จำเป็นที่สุด สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้

    เพื่อให้ประวัติสมบูรณ์บ้างไม่มากก็น้อย ข้าพเจ้าขอย้อนกลับไปเมื่อสมัยเด็ก ข้าพเจ้าเกิดในตระกูลสัมมาทิฏฐิ (มารู้เอาเมื่อตอนบวชแล้ว) พ่อแม่และญาติต่างพอใจในการทำบุญทำทาน โยมพ่อ โยมลุงได้แนะนำให้ข้าพเจ้ายินดีในการให้ทาน เจริญเมตตา และสงสารผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น อย่าไปทะเลาะกับผู้อื่น ที่สอนนักสอนหนาก็คือ ไม่ให้กินเนื้อดิบ ไม่ให้กินปลาดิบ สอนไม่ให้ฆ่าสัตว์ ไม่ให้ลักขโมย สอนไม่ให้ล่วงเกินลูกสาวเขา สอนไม่ให้ตั๋ว (พูดเท็จ) สอนไม่ให้กินเหล้า (มารู้เมื่อบวชแล้ว) สอนให้เคารพอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ สอนให้ไหว้พระก่อนนอน สอนให้ขยันทำงาน คำสอนเหล่านี้ ข้าพเจ้าได้ถือปฏิบัติมาโดยตลอด เพราะถ้าโยมพ่อ โยมลุง รู้ว่าข้าพเจ้าไม่ปฏิบัติตาม ก็จะถูกเอ็ดเอาทันที (ถูกต่อว่า)

    ข้าพเจ้าจะเคารพและรักพระรักเณร มีใจผูกพันอยู่กับเณรมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เพราะกระท่อมนาเป็นทางผ่านของพระเณร รูปนั้นผ่านไป รูปนี้ผ่านมา บ้างก็ให้ขนม บ้างก็ให้ของกิน บ้างก็ลูบหัว เป็นต้น เพราะความเคารพ ความรัก ความคุ้นเคยและความผูกพัน จึงเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าอยากบวชตลอดเวลา อนึ่งโรงเรียนที่เรียนอยู่ในวัด เวลาหยุดพักก็ต้องกินข้าววัด ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวมา จึงทำให้ข้าพเจ้าอยากบวช พอออกโรงเรียนแล้วก็ขอพ่อแม่บวช แต่ท่านไม่อนุญาตเพราะเห็นว่ายังเด็กอยู่ โตกว่านี้ค่อยบวช

    ประกอบกับโชคไม่เข้าข้าง ช่วงนี้พ่อพร้อมกับลุงอีก ๒ คน รวมเป็น ๓ พากันออกบวช แล้วจำวัดอยู่ถ้ำพวง ปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์วิเชียร เพราะสมัยนั้น พระอาจารย์วิเชียร (อาจารย์หลง) ท่านมีชื่อเสียงมาก แสดงธรรมเก่ง คนเล่าลือกันว่าท่านเป็นพระอรหันต์ หลังจากคณะของพ่อบวชได้ ๓ เดือน อาจารย์เกิดวิปลาส ใช้มีดโกนเชือดคอตัวเองแล้วเอาประคตเอวรัดคอตัวเองตาย ในท่านั่งกระโหย่งประนมมือ (ทำอัตตวินิบาต) ถูกทางตำรวจสอบสวน พ้นคดี พ่อและลุงทั้งสองก็ลาสิกขาเพราะหมดที่พึ่ง

    เมื่อพ่อลาสิกขาออกมาประมาณ ๑ เดือน ท่านบอกและถามว่าจะให้บวชแล้วนะ จะบวชไหม ตอนนี้กลับไม่อยากบวชเสียแล้ว เพราะเกิดไปชอบผู้หญิง เหตุว่าวันๆ อยู่กับแต่ผู้หญิง ต้องเลี้ยงโค กระบือ เอาฟืน ตักน้ำ ตำข้าว หากิน เป็นต้น ตกกลางคืนก็ต้องตำข้าวกับเพื่อนผู้หญิง ๒ คนบ้าง ๓ คนบ้าง ๔ คนบ้าง กว่าจะแล้วเสร็จก็กินเวลา ๓ ทุ่มบ้าง ๔ ทุ่มบ้าง ค่อยกลับไปนอนกัน วันใหม่ก็ตำข้าวอีกเนื่องจากเป็นฤดูจะลงนา โรงสีก็ไม่มี ต้องตำข้าวตุนเอาไว้ อย่างน้อยคนละ ๑๐ กระสอบป่าน ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวนี้แล้วจึงไม่อยากบวช แต่จะทำอย่างไรได้ กลัวพ่อก็กลัว เคารพก็เคารพ เลยไม่กล้าขัดใจท่าน แต่ก็ขัดใจเรา แต่จะทำอย่างไร เพราะเรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว จำเป็นต้องตัดสินใจบอกพ่อว่าบวช

    ตื่นเช้าวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ พ่อพาไปบวชเป็นสามเณรที่วัดโพธิ์ศรีสว่าง บ้านตาแหลว ตำบลเจียด อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นบ้านเกิด โดยมีพระครูภัทรกิจโกศล เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชแล้วได้กลับมาสังกัดอยู่วัดโคกสว่าง บ้านอีเติ่ง ตำบลเจียด อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นเวลา ๑ เดือนเศษ บวชแล้วได้รับการอบรมพระธรรมวินัย ใจยิ่งเกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระธรรมยิ่งขึ้น ใกล้จะเข้าพรรษาได้ย้ายสังกัดไปอยู่วัดโพธิ์-ศรีสว่าง บ้านตาแหลว เพื่อศึกษาปริยัติธรรม เพราะในสมัยนั้นสำนักเรียนนักธรรมหายากมาก ตำบลหนึ่งก็จะมีเพียง ๑ สำนักเป็นอย่างมาก

    ผลของการศึกษาปริยัติธรรมในพรรษา ไม่ค่อยก้าวหน้าคือไม่เข้าใจเท่าที่ควร ผลการสอบสนามหลวงออกมาปรากฏว่า ไม่ผ่าน พ.ศ. ๒๔๙๒ จึงได้ย้ายสังกัดไปอยู่วัดยางกระเดา ตำบลท่าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี การอยู่อาศัยในวัดนี้ได้รับการศึกษาดีพอสมควร และสอบนักธรรมชั้นตรีได้ในปีนั้นเอง

    พ.ศ. ๒๔๙๓ เช้าวันหนึ่งข้าพเจ้าได้เข้าไปนั่งสมาธิอยู่ในอุโบสถวัดยางกระเดานั่นเอง ได้เกิดปัญญาญาณขึ้นในดวงใจของข้าพเจ้าว่า การท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏะสงสารของข้าพเจ้าชาตินี้ เป็นชาติสุดท้าย การเกิดครั้งนี้เป็นการเกิดครั้งสุดท้ายของข้าพเจ้า การบวชครั้งนี้เป็นการบวชครั้งสุดท้าย ข้าพเจ้าจะไม่ลาสิกขาเลย

    นับตั้งแต่วันนั้นมา ข้าพเจ้าได้พยายามปฏิบัติพระกรรมฐานตามแต่โอกาสและเวลาจะเอื้ออำนวย ในส่วนที่เป็นกายาคตาสติ จากตำหรับตำราที่ได้เล่าเรียนมา โดยเฉพาะได้พิจารณาร่างกายอันเป็นอสุภะโสโครก น่าเกลียด เต็มไปด้วยของไม่สะอาด ปฏิกูลน่าเกลียดทั้งร่างของตนเองและผู้อื่น จนมีความสามารถแยกร่างกายออกเป็นกองๆ เป็นส่วนๆ ในอาการ ๓๒ จนบางครั้งคิดว่าตัวเองไม่มีอะไรเลย ข้าพเจ้าชำนาญในกรรมฐานบทนี้เป็นพิเศษ จึงเอาชนะรูปนามของเพศตรงข้ามได้

    พ.ศ. ๒๔๙๓ ได้เข้าศึกษาเล่าเรียนในหลักสูตรนักธรรมชั้นโท ได้อ่านประวัติของพระพุทธเจ้าและประวัติของพระสาวกบ้าง ยิ่งทำให้เกิดปิติ เกิดปสาทะศรัทธาเพิ่มขึ้น เมื่อถึงคราวสอบ ข้าพเจ้าสามารถสอบผ่านได้นักธรรมชั้นโทในปีนั้น

    พ.ศ. ๒๔๙๓ ข้าพเจ้าได้สมาทาน เอกาสนิกังคะธุดงค์ คือฉันหนเดียวตลอดไตรมาสพรรษา ๓ เดือน

    พ.ศ. ๒๔๙๔ หลวงพ่อพระครูวัตตกิจอาทร เจ้าอาวาสวัดยางกระเดา และเจ้าคณะตำบลท่าเมือง ได้ถึงแก่มรณภาพ ก่อนท่านจะมรณภาพประมาณ ๑ เดือน ทางวัดและชาวบ้านยางกระเดา ได้จัดงานประเพณีบุญเดือน ๖ หลวงพ่อท่านได้ทำบั้งไฟไว้หลายบั้ง แต่บั้งที่ใหญ่หน่อยมีอยู่ ๒ บั้ง บั้งที่ ๑ หมดดินประสิว ๖ หมื่น บั้งที่ ๒ หมดดินประสิว ๑๐ กิโลกรัมแต่ไม่มีช่าง ข้าพเจ้าเลยรับเป็นช่างเอง ตอนเช้าถึงเวลาจุดบูชา ประชาชนมาพร้อมกัน ข้าพเจ้าเอาบั้งที่หนัก ๖ หมื่นขึ้นจุดบูชา ไม่มีปัญหาเพราะบั้งไฟขึ้นสมใจที่ตั้งไว้ แต่มีปัญหาบั้งสุดท้าย ที่หนัก ๑๐ กิโลกรัมนั้น ไม่มีใครกล้าจุด แม้แต่คนเดียว ตกลงข้าพเจ้าขึ้นจุดเอง สมัยนั้นบั้งไฟจุดหม่อม คือชะนวนจะอยู่ข้างบนตัวบั้งไฟ ข้าพเจ้าใช้กระใต้ (กระบอง) จุดไปที่ชะนวน แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ออกห่างไปจากบั้งไฟ ระยะห่างจากบั้งไฟกับตัวข้าพเจ้าห่างกันเพียงช่วงแขนเดียวเท่านั้น ทันใดนั้นบั้งไฟก็ระเบิดขึ้นทันที และระเบิดอยู่กับที่ ยังไม่ได้เคลื่อนออกไปจากฐานเลย ควันไฟคลุ้งตลบไปหมด ข้าพเจ้ามองลงมาข้างล่างก็ไม่เห็นผู้คน คนที่อยู่ข้างล่างก็มองขึ้นไปไม่เห็นข้าพเจ้า ได้ยินเสียงคนร้องระงมไปหมดว่าเณรเฮืองตายแล้ว เณรเฮืองตายแล้ว ในขณะที่จุดบั้งไฟอยู่นั้น ข้าพเจ้าไม่ได้ตกใจ ในขณะบั้งไฟระเบิด ข้าพเจ้าก็ไม่ตกใจ และในช่วงที่บั้งไฟระเบิดเป็นประกายไฟลุกท่วมตัวข้าพเจ้า แทนที่จะร้อน กลับรู้สึกเย็นเหมือนถูกพัดลมเป่า เมื่อสร่างควันแล้วจึงมองเห็นคนและบันได ข้าพเจ้าก็ลงบันได พอไปถึงพื้นเท่านั้นผู้คนก็กรูกันเข้ามาถามว่า เป็นอย่างไรๆ ข้าพเจ้าตอบเพียงคำเดียวว่า ”เย็น” เล่นเอาคนทั้งหลายตกตะลึง พอพากันหายจากการตกตะลึงต่างก็หลีกไปเล่นงานบุญตามปกติ

    สำหรับตัวของข้าพเจ้านั้น ดำปานตอตะโก ผ้าสบง ผ้าอังสะ ดำหมด ใช้ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนใหม่ แต่แปลกอยู่อย่างหนึ่ง ตลอดทั้งวันข้าพเจ้ารู้สึกเย็นทั้งใจ ทั้งกาย ตามร่างกายแต่ละจุดหาพุพองเท่าเมล็ดงาก็ไม่มี เส้นผม ขนคิ้ว ขนตาและขนตามร่างกาย แม้แต่ขนเดียวก็ไม่ไหม้ อันนี้ก็เป็นเรื่องแปลกอีกอย่างซึ่งเกิดกับข้าพเจ้าสมัยนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เป็นแต่คิดว่า เออ! อันนี้ก็เป็นอำนาจของเมตตาธรรมอย่างหนึ่งที่ข้าพเจ้าบำเพ็ญมา

    พ.ศ. ๒๔๙๔ หลังจากเสร็จงานฌาปนกิจศพหลวงพ่อเจ้าอาวาสแล้ว ข้าพเจ้าได้ย้ายสังกัดไปอยู่วัดท่าบ่อแบง ตำบลขามเปี้ย อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานีเพื่อเรียนบาลี โดยมีท่านพระอาจารย์ไฟ จนฺทสาโร เป็นเจ้าอาวาส ท่านได้มอบหมายให้ข้าพเจ้าเป็นครูสอนปริยัติธรรม ตลอดถึงงานก่อสร้างถาวรวัตถุภายในวัด

    พ.ศ. ๒๔๙๖ ข้าพเจ้ามีอายุครบบวชพระ โยมพ่อโยมแม่และญาติได้นำมาบวชพระที่บ้านเดิม และได้อุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๖ ณ อุโบสถวัดโพธิ์ศรี ตำบลขามป้อม อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีท่านพระครูภัทรกิจโกศล เจ้าคณะอำเภอเขมราฐ เป็นพระอุปัชฌาย์ เจ้าอธิการชา โชตโก เป็นกรรมวาจาจารย์ พระอธิการประดิษฐ์ เขมวีโร เป็นอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า วิสารโท เมื่ออุปสมบทแล้วก็ได้กลับไปอยู่วัดท่าบ่อแบงอีก

    พ.ศ. ๒๔๙๖ หลังจากบวชพระแล้ว ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญพรตอีก คือฉันวันละครั้งบ้าง ฉันครั้งละ ๗ คำบ้าง บำเพ็ญอยู่ ๕ เดือน จนร่างกายผ่ายผอม ความจำเสื่อม หมอได้ขอร้องให้เลิก ถ้าไม่เลิก จะเป็นอันตรายต่อชีวิต ข้าพเจ้าฝ่าฝืนคำหมอสั่งอยู่พักหนึ่ง อาการยิ่งทรุดลง จึงเลิกแล้วกลับมาฉันตามปกติ และในช่วง พ.ศ. ๒๔๙๖ นี้เอง จิตใจของข้าพเจ้าเริ่มหันเหหนักไปทางปฏิบัติ โดยมาคิดย้อนหลัง วันที่ไปทำสมาธิอยู่ที่อุโบสถวัดยางกระเดา ว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของข้าพเจ้า การบวชครั้งนี้ถือว่าเป็นการบวชครั้งสุดท้าย การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะสงสารของข้าพเจ้า จะจบลงในชาตินี้

    แต่มาคิดอีกแง่หนึ่งว่า ข้าพเจ้ามีราคะกล้ามาก จะทำอย่างไรจึงจะเอาชนะมันได้ ถ้าเอาชนะมันไม่ได้เราก็บวชอยู่ต่อไปไม่ได้ ตกลงตัดสินใจปฏิบัติกรรมฐาน แต่เกิดความลังเลใจว่า เราจะปฏิบัติกรรมฐานได้อย่างไร เพราะถ้าอยู่กับเพื่อนก็ไม่สะดวก จะอยู่ป่าก็กลัวผี ตกลงตัดสินใจเข้าป่าช้าฝึกตัวเอง เผื่อว่าความกลัวผีจะได้หมดไป โชคดีในวัดมีป่าช้าและเป็นป่าที่รกด้วย สะดวกต่อการฝึกด้วย

    วิธีฝึกวันแรก ๑๗.๐๐ น. เศษ ครองจีวรเสร็จแล้วเดินเข้าป่าช้า เดินจงกรม นั่งภาวนา จนดึกสงัด เห็นว่าความกลัวมันลดลงไปบ้าง แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล อธิษฐานจิต แล้วออกจากป่าช้า

    เมื่อฝึกอยู่หลายวันเป็นที่พอใจแล้ว วันต่อไปก็เป็น ๑๘.๐๐ น., ๑๙.๐๐ น., ๒๐.๐๐น., ๒๑.๐๐น. แต่ละครั้งทำอยู่หลายวันจนเป็นที่พอใจวันสุดท้าย เวลา ๒๒.๐๐ น. พระภิกษุสามเณรตีระฆังสัญญาณจำวัดกันแล้ว เตรียมตัวครองผ้าเข้าป่าช้า พอเข้าไปถึงริมป่าช้า ได้ยินเสียงควายวิ่งฝ่าป่าทึบออกมา เสียงดังมาก เลยหยุดยืนฟังเสียงพร้อมกับพิจารณาในใจว่า เอ! ควายทำไมมันวิ่งเสียงดังมาก หน้านาแท้ๆ ทำไมเจ้าของไม่ผูกปล่อยปละละเลย มันจะไม่ไปกินข้าวในนาเขาหรือ พอมันวิ่งพ้นป่าออกมา เห็นตัวเท่าสุนัขตัวโตๆ พร้อมกับคิดว่า เอ! ทำไมสุนัขตัวเล็กๆ มันวิ่งเสียงดังเกินตัว ขณะที่ยืนคิดอยู่ ขาทั้งสองไม่ชิดกัน มันวิ่งผ่านช่องขาทั้งสองเข้าไปในหมู่บ้าน เสียงดังเหมือนม้าวิ่งแข่งกัน และฉุกคิดขึ้นมาอีกว่า เอ! สุนัขตัวเล็กๆ ทำไมมันวิ่งเสียงดังเหมือนม้าวิ่ง ยืนฟังอยู่จนเงียบเสียงจึงคิดว่า เออ! มันไปแล้วก็ดีเราเข้าป่าช้าดีกว่า กำลังจะเดินเข้าป่าช้า ได้ยินเสียงมันวิ่งกลับมาอีก ตอนนี้ยืนเอาขาชิดกันไว้ เผื่อว่าจะไม่ให้มันวิ่งลอดขาอีก พอวิ่งมาถึง มันวิ่งเฉียดขาข้างขวา เข้าป่าช้าเสียงก็เงียบไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เลยคิดว่า เออ! มันไปก็ดีละ มันก็ไปทางของมัน เราก็ไปทางของเรา จึงได้เข้าไปถึงกลางป่าช้า เดินจงกรมแล้วก็นั่งภาวนา และก็ไม่มีอะไรมารบกวนอีกเลย

    นับแต่วันนั้น เป็นต้นมา ก็เริ่มเจริญกรรมฐานในส่วนที่เป็นกายาคตาสติกรรมฐาน จนเกิดสติ สมาธิ ปัญญา สามารถมองเห็นความเป็นจริงของร่างกายและจิตใจ ทำความเพียรอยู่ประมาณ ๑ เดือน เกิดอุปกิเลสจิตอย่างแรงกล้า สามารถอธิบายธรรมะได้พิสดารกว้างขวางโดยเฉพาะเรื่องโมหะ นึกจะอธิบายอยู่ถึง ๑๐ วันก็ยังไม่รู้จบ ชวนะมันเกิดขึ้นตลอดเวลา คล้ายแตกฉานในอรรถ ในธรรม ในปฏิภาณ จนคิดว่าทำไมหนอจึงเป็นเช่นนี้ เราจะไม่เป็นบ้าไปหรือนี่ ถ้าจะไปหาอาจารย์กรรมฐานแก้อารมณ์ ก็ไม่มีอาจารย์อยู่แถวนั้น ตกลงกัดฟันอดทนต่อสู้กับสภาวะ จนสามารถเอาชนะได้

    หลังจากอุปกิเลสสงบลง จิตเกิดพลัง หากว่ามีคนที่มีทิฏฐิมานะกล้าๆ มาสนทนา มาถามปัญหา เราอธิบายธรรมให้ฟังไม่ถึง ๕ นาที น้ำตาจะคลอเบ้าหรือร้องไห้ พร้อมกับพูดว่า เมื่อก่อนทำไมอาจารย์จึงไม่พูดให้ฟัง ผมหลงผิดไปมากแล้ว ต่อไปผมจะตั้งใจทำความดี

    สมัยนั้น คล้ายกับว่าได้บรรลุธรรมแล้ว จนนึกว่าหลังจากสอบธรรมสนามหลวงแล้ว เราจะขึ้นไปบ้านโปรดโยมพ่อโยมแม่ จะใช้เวลาเทศน์สัก ๑๕ นาที ท่านจะได้รู้แจ้งธรรมะ แต่โชคไม่เข้าข้าง เพราะท่านพระอาจาย์ที่วัดได้บังคับให้พระภิกษุสามเณรดูหนังสือ เนื่องจากใกล้จะถึงวันสอบธรรมสนามหลวงแล้ว เลยเพลาๆ จากการปฏิบัติ สภาวะที่เกิดขึ้นก็ลดลงไปสมาธิก็เริ่มอ่อนกำลังลงตามลำดับ

    พ.ศ. ๒๔๙๖ นั่นเอง ท่านพระอาจารย์ไพ จนฺทสาโร เจ้าอาวาสได้พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณร และญาติโยมชาวบ้านสร้างสิมน้ำ (อุทกกุกเขปสีมาหรือโบสถ์น้ำ) ขนาดกว้าง ๔ เมตร ยาว ๖ เมตร สูง ๑๒ เมตร สร้างด้วยไม้โดยเอาเสาต่อกันขึ้นไป

    วันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าตอกไม้คอสอง ด้านกว้างอยู่ บังเอิญไม้ที่พาดอยู่ตอนนั้น เกิดพลัดตกลง ข้าพเจ้าก็พลอยตกลงไปด้วย โดยเอาศีรษะลงก่อน มือขวาถือเหล็กชะแลง มือซ้ายถือขวาน ขณะตกลงได้ยินเสียงครูอาจารย์พระสงฆ์สามเณรและญาติโยมที่อยู่ข้างล่าง ได้อุทานออกมาพร้อมกันว่า “ฮึ” แล้วก็เงียบเสียงทั้งหมด เหมือนถูกมนต์สะกด แต่ในเสี้ยววินาทีแห่งความตายนั้น ข้าพเจ้ามีใจปกติธรรมดา ไม่สะทกสะท้าน ไม่หวั่นใจ ไม่ตกใจ พร้อมกันนั้น ประโยคแรกที่จิตคิดได้ว่า เราตกลงไปนี้ ศีรษะของเราก็จะไปชนกับตอไม้ตะเคียนไฟไหม้ ไม้ที่นั่งอยู่ข้างบนนั้น ก็จะลอยตกตามลงไปกระทุ้ง ประโยคที่สองคิดว่า โอ้ เราเกิดมาชาตินี้ ตายไม่ได้สั่งพ่อสั่งแม่หนอ ประโยคที่สาม คิดถึงภาพยนตร์ ท่าเขากระโดดน้ำ ซึ่งหน่วยสอบธรรมสนามหลวงวัดมงคลใน บ้านเหล่าเสือโก๊ก ฉายให้ชมวันสุดท้ายของการสอบ พอนึกได้ข้าพเจ้าเอาแขนทั้งสองกวักอย่างแรง ทำให้ศีรษะหมุนกลับขึ้นข้างบน เท้าทั้งสองหมุนกลับลงข้างล่าง ตอนนี้รู้สึกตัวเบา ทำให้เพลินเหมือนลอยอยู่กลางอากาศ พอตัวหมุนตรงได้ที่ เท้าทั้งสองก็ถึงพื้นพอดี พร้อมกับวิ่งออกจากตรงนั้น เพราะนึกได้ว่าไม้ตัวที่พาดอยู่ข้างบนจะตกลงมากระทุ้ง จริงอย่างนั้น พอข้าพเจ้าวิ่งออกมา ไม้ที่ตกจากข้างบนก็ตกลงมาแทนที่พอดี แต่โชคดีที่ร่างกายไม่เคล็ดขัดยอก ไม่ช้ำไม่บวม เนื่องจากตอนตกลงจะถึงพื้นนั้น มันรู้สึกนุ่มเหมือนสำลีตกลงมาจากอากาศ คณะครูอาจารย์พระสงฆ์ สามเณรและญาติโยมที่อยู่ข้างล่าง คงเห็นภาพประทับใจจนบอกไม่ถูก เห็นข้าพเจ้าไม่เป็นไร ต่างคนต่างได้เครื่องไม้เครื่องมือกลับวัด ส่วนพระอาจารย์เจ้าอาวาส เอาผ้าคลุมศีรษะกลับวัด ตามศิษย์และญาติโยม แต่แปลกคนทั้งหมดไม่มีใครพูดกัน แม้แต่ข้าพเจ้า ซึ่งตกลงจากที่สูงก็ไม่มีใครวิ่งมาหา และก็ไม่มีใครถาม คงคิดว่าข้าพเจ้าเป็นตัวกาลี ที่ทำให้งานนี้ต้องเสียขวัญ นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงบัดนี้ ไม่มีใครพูด ไม่มีใครถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เลย (งานหยุดชะงักไปอาทิตย์เศษ จึงได้มาทำต่อ)

    หลังจากสร้างสิมน้ำ (เป็นภาษาอีสาน) เสร็จแล้ว พระที่อยู่ด้วยกันชื่อบุญชู มาชักชวนลาสิกขาไปทำงานเหมืองแร่ที่ปักษ์ใต้ เพื่อนบอกว่า ขายได้กิโลละ ๖๐ บาท วันหนึ่งได้ตั้งหลายกิโล ข้าพเจ้ามีใจคล้อยตามเพื่อน จะลาสิกขาไปด้วยกัน ตัดชุดเตรียมเครื่องนุ่งห่มพร้อม คิดว่าการลาสิกขาครั้งนี้ จะไม่บอกให้โยมพ่อโยมแม่รู้ กลัวท่านจะไม่ให้ลาสิกขาและไม่ให้ไป พอใกล้ถึงวันจะไปจริงๆ ดูท่าทีของเพื่อนไม่อยากให้ไปด้วย เพราะมีโยมพี่ชายของท่าน มาบอกว่าไม่อยากให้ไปหลายคน ข้าพเจ้าฉุกคิดขึ้นมาในใจว่า ทำไมหนอ เพื่อนถึงเป็นอย่างนี้ ไม่ทันไรจะทิ้งกันแล้ว หากว่าไปด้วยกันจริงๆ จะเป็นอย่างไร เขาจะไม่ทิ้งเราหรือ

    เกิดบุพนิมิต
    กลางคืนของวันนั้นเอง เวลาดึกสงัด ข้าพเจ้าปฏิบัตินั่งสมาธิอยู่ “เห็นท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม” นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ท่านถือบัญชีเดินเข้ามาทางประตูทิศใต้ของวัด เพื่อสำรวจผู้มีบุญวาสนาบารมีจะได้บวชอยู่ในพระพุทธศาสนาตลอดไป พอมาถึงกลางวัด ท่านนั่งลงบนเก้าอี้ วางบัญชีไว้บนโต๊ะ ข้าพเจ้าเดินจากทิศตะวันออก เข้าไปหาท่านนายก แล้วถามว่า ฯพณฯ ท่านนายก มาที่นี่ด้วยธุระอะไร ท่านตอบว่ามาสำรวจหาผู้ที่มีบุญวาสนาบารมี ที่จะได้บวชอยู่ในพระพุทธศาสนาได้นานๆ ข้าพเจ้าเลยขอร้องท่านว่า ถ้าอย่างนั้น ขอท่านได้มีเมตตากรุณาตรวจดูชื่อของอาตมาหน่อยซิ มีชื่ออยู่ในบัญชีกับเขาบ้างหรือไม่ เมื่อท่านเปิดดูปรากฎว่ามีชื่อของข้าพเจ้ามีอยู่ในบัญชีด้วยแล้ว ฯพณฯ ท่านจอมพล ป. ได้พูดกับข้าพเจ้าว่า เออ! ดีละ พระคุณเจ้าเป็นผู้มีบุญวาสนาบารมีที่จะบวชอยู่ในพระพุทธศาสนาได้นานๆ ขอนิมนต์อยู่ต่อไปเถอะ อย่าพึ่งลาสิกขาเลย ทั้งนี้เพื่อจะได้บำเพ็ญบารมีและสั่งสอนญาติโยม ให้รู้แจ้งต่อไป เท่านั้นละเลิกกัน เมื่อท่านพูดจบ ข้าพเจ้ารู้สึกตัวออกจากสมาธิ ความคิดที่จะลาสิกขาหายไปหมดเหมือนปลิดทิ้งไปกับนิมิตนั้น เหลืออยู่แต่ปีติ ความเอิบอิ่มใจและความสุขใจ เครื่องแต่งตัวหรือชุดที่เตรียมไว้ทั้งหมดเพื่อลาสิกขา ได้บริจาคให้คนอื่นหมดทั้งสิ้น

    ในปีนั้นเอง ข้าพเจ้าได้ตั้งสัจจะปฏิญญาต่อหน้าพระประธานโดยมีท่านพระอาจารย์อ่อน เป็นสักขีพยานว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเป็นเวลา ๑๕ ปี ข้าพเจ้าจะไม่ลาสิกขาเลย

    เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๗ สภาวะแวดล้อมทางครอบครัวบีบบังคับ ข้าพเจ้าคิดจะละสัจจะที่ตั้งไว้แล้ว จะลาสิกขา ตกลงได้ตัดชุดเครื่องแต่งตัวไว้เรียบร้อยว่าจะสึกแน่นอนในปีนี้

    บุพนิมิตครั้งที่ ๓
    ก่อนหน้าจะเข้าลาเจ้าอาวาส คืนหนึ่งเวลาประมาณ ๒๑ นาฬิกาเศษๆ ข้าพเจ้าได้นั่งสมาธิ เมื่อจิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว ได้เกิดนิมิตขึ้น เห็นปะรำอันกว้างใหญ่สวยงามมากมีเครื่องประดับประดาตกแต่งมากมาย สวยงามมาก พร้อมทั้งมีสิ่งของต่างๆ ครบทุกอย่างอยู่ในปะรำนั้น ต้องการอะไรพร้อมหมด มีพระราชบัลลังก์ประดิษฐานอยู่กลางปะรำ และมีในหลวงรัชกาลที่ ๔ ทรงประทับอยู่ ณ ที่นั้นด้วย โดยพระองค์ทรงประทับผินพระพักตร์ไปทางทิศใต้ ข้าพเจ้าเดินเข้าไปทางทิศเหนือของปะรำ เมื่อเข้าไปถึงพระราชบัลลังก์ ข้าพเจ้ายืนทางทิศใต้ของบัลลังก์ แล้วมองหน้าขึ้นดูในหลวง พร้อมกันนั้นในหลวงได้ทรงตรัสว่า เออ! ดีละ พระคุณเจ้ามาถึงแล้ว พระคุณเจ้าต้องการสิ่งใดในปะรำนี้ ก็เลือกเอาตามใจชอบเถิด ข้าพเจ้าได้หาเลือกเอาของทั่วปะรำ แต่หาของที่ชอบใจไม่มี ผลสุดท้ายข้าพเจ้าได้เดินไปทางทิศใต้ของปะรำ ไปพบหมากเกลี้ยงสุกผลหนึ่งมีสีเหลืองงาม เกิดชอบใจขึ้นมาทันที เลยยื่นมือขวาไปหยิบเอา แล้วเดินมาหน้าพระราชบัลลังก์ ที่ในหลวงทรงประทับอยู่ พระองค์ทรงตรัสกับข้าพเจ้าว่า ท่านเคยขับขี่เครื่องบินแล้วหรือยัง ข้าพเจ้าตอบว่า ยังไม่เคยขับขี่เลย พระองค์ทรงตรัสกับข้าพเจ้าว่า ถ้าอย่างนั้น ขอนิมนต์ท่านไปขับขี่เอา เครื่องบินจอดอยู่ทางทิศตะวันตกของปะรำโน้น ข้าพเจ้าตอบพระองค์ท่านว่า ขับขี่ไม่เป็น เอ้า ถ้าอย่างนั้นจะพาไปขับขี่ พระองค์ท่านพาขับขี่เครื่องบินรอบปะรำ ๔ รอบ แล้วนำเครื่องลงจอด เสด็จกลับขึ้นไปประทับบนบัลลังก์ตามเดิม แล้วตรัสว่าพระคุณเจ้า เป็นผู้มีบุญวาสนาบารมีที่จะบวชอยู่ในพระพุทธศาสนาตลอดไป นิมนต์ท่านอย่าพึ่งลาสิกขา ให้บำเพ็ญบารมี สั่งสอนญาติโยมต่อไป เท่านั้นละเลิกกัน พอตรัสจบท่านเตรียมจะเสด็จลงจากบัลลังก์ ข้าพเจ้าก็เตรียมจะเดินออกจากปะรำ ก็พอดีคลายออกจากสมาธิ รู้สึกตัวขึ้นมา ความอยากลาสิกขาหายไปหมดสิ้น มีแต่ความอิ่มเอิบ ชุ่มฉ่ำและมีความสุขใจ เครื่องแต่งตัวที่เตรียมไว้ว่าจะลาสิกขา ก็ได้บริจาค แม้แต่สตางค์ที่มีอยู่ก็ได้บริจาคหมด ไม่เหลือไว้ในบ่ายของวันต่อมานั้นเอง

    ข้าพเจ้ามีความต้องการที่จะศึกษาธรรมะให้รู้ถ่องแท้ ทั้งด้านปริยัติธรรมและด้านปฏิบัติล้วนๆ โดยเฉพาะด้านปฏิบัติ ในสมัยนั้นหาครูอาจารย์ที่จะแนะนำสั่งสอนมีน้อยมาก ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติกรรมฐานตามที่ได้เล่าเรียนมา ในสูตรของนักธรรมชั้นเอก ด้วยตนเองเป็นส่วนมาก โดยไม่มีครูอาจารย์ช่วยแนะนำได้ปฏิบัติโดยลำพัง แต่การปฏิบัติได้ผลเกินคาด เพราะยิ่งปฏิบัติไปเท่าไร จิตใจยิ่งมีความละเอียดอ่อนซาบซึ้งในรสพระธรรมมากขึ้นเท่านั้น ทำให้ข้าพเจ้าอยากจะศึกษาด้านวิปัสสนาธุระมากขึ้น

    เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ได้เข้าอบรมวิปัสสนากรรมฐานที่วัดมหาวนาราม อำเภอเมือง อุบลราชธานี เป็นการเปิดอบรมปีแรก มีหลวงพ่ออาสภะเถระ เป็นประธานอำนวยการ ได้อบรมอยู่เป็นเวลา ๒ เดือน ผลของการอบรมวิปัสสนา ไม่เป็นที่พอใจ จึงได้ลาออกจากสำนัก พร้อมด้วยคณะครูอาจารย์จำนวน ๔ รูป กับข้าพเจ้า ได้เข้าพักอยู่ที่อ่างฮัง ซึ่งอยู่ระหว่างภูจันทร์กับภูเขาขาม นานเป็นเดือนๆ ต้องประสบกับอุปสรรคนานาประการ ทั้งพวกสัตว์ร้าย พวกเทวดาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ พวกอมนุษย์รบกวนอยู่ตลอดเวลา

    อ่านหน้าต่อไปค่ะ *************************
     
  2. orchid said:

    Re: ชีวประวัติพระบวรปริยัติวิธาน (หลวงพ่อบุญเรือน) วัดพิชโสภาราม

    ข้าพเจ้าได้ประพฤติปฏิบัติในบทของพระกรรมฐานอย่างเคร่งครัด มีการสำรวมระวังจิตให้ตื่นอยู่ตลอดเวลา ไม่กล้าฝ่าฝืนแม้แต่สิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ จึงสามารถเอาชนะข้าศึกทั้งปวงได้ แต่อนิจจา… เพื่อนทั้ง ๓ ที่อยู่ด้วยกันได้ถึงแก่กรรมด้วยอำนาจของไข้มาเลเรีย เนื่องจากบริเวณป่าแห่งนั้น มีเชื้อมาเลเรียชุกชุมมาก ยาที่จะรักษาก็หายาก ต้องใช้ยาสมุนไพร ผลสุดท้ายต้องเสียเพื่อนร่วมปฏิบัติธรรมไป แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่เกิดขึ้น ได้ฝึกจิตใจให้พร้อมในการที่จะเผชิญกับสิ่งต่างๆ ได้มอบกาย มอบใจ พร้อมทั้งชีวิต ต่อพระพุทธเจ้า ต่อพระธรรม ต่อพระสงฆ์ แม้ว่าจะตายในชั่วโมงนี้ นาทีนี้ และวินาทีนี้ก็ยอมตาย แต่จะไม่เลิกละการปฏิบัติเป็นเด็ดขาด

    เมื่อข้าพเจ้าได้ปลงภาระแล้ว อุปสรรคทุกสิ่งทุกอย่างก็หมดปัญหา สามารถเอาชนะตัวเองและอุปสรรคที่เกิดขึ้นได้ แต่มีปัญหาอยู่ที่ว่า สถานที่อยู่ไกลจากหมู่บ้าน การบิณฑบาตไม่สะดวก จึงตัดจากการบิณฑบาต อาศัยฉันหัวเผือกหัวมัน ที่โยมมาถวายไว้ และอาศัยการฉันใบไม้ตามป่า เป็นภัตตาหารวันละมื้อ จนทำให้ร่างกายซูบผอม จะเดินไปไหนมาไหนก็ลำบาก เดินไปประมาณ ๑๐ เมตร ต้องหยุดพักเอาแรง

    เช้าวันหนึ่ง หลังฉันภัตตาหารเสร็จ ข้าพเจ้าฉุกคิดขึ้นมาว่า ตายเร็วแต่ไม่ได้บรรลุคุณวิเศษเป็นที่พอใจ กับตายช้าแต่ว่าได้บรรลุคุณวิเศษและได้ทำกิจพระศาสนา อะไรจะดีกว่ากัน ตกลงตัดสินใจเอาอย่างหลัง ตั้งแต่วันนั้นมาก็ตั้งใจปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมาเรื่อยๆ

    ค่ำวันหนึ่ง ประมาณ ๑๘ นาฬิกาเศษ ข้าพเจ้าได้ทำสมาธิจนสามารถถอดจิตออกจากร่างไปเมืองนรก เมื่อไปถึงสถานที่มีบริเวณกว้างขวาง มองสุดลูกหูลูกตา เขาบอกว่าเป็นสถานที่พิพากษาคนทำบุญทำบาป ในขณะนั้น ข้าพเจ้ามองไปดูสถานที่นั้น เห็นผู้คนรอพิพากษาโทษเต็มไปหมด แต่สิ่งที่ข้าพเจ้ามองดูแล้ว สลดหดหู่ใจมากที่สุด คือข้าพเจ้ามองไปด้านทิศตะวันตกของศาลาพันห้อง เห็นสบง จีวร สังฆาฏิ ของพระภิกษุ สามเณร กองพะเนินกันขึ้น สูงเพียงปลายพร้าวปลายตาล กองผ้าเหมือนกับภูเขา ขณะนั้นข้าพเจ้าคิดว่า โอ้! อนิจจา บวชเป็นพระเป็นเจ้าแล้ว ก็ยังตกนรกอยู่หนอ ยังไม่พ้นนรกหนอ ทำอย่างไรหนอ เราจะพ้นจากนรก

    ในสถานที่นี้มีเรื่องอัศจรรย์ใจอยู่ว่า พระที่จะเข้ารับการพิพากษาโทษที่นี้ พอไปถึงสถานที่ สบง จีวร สังฆาฏิ จะเลื่อนลอยออกจากร่างกายแล้วเลื่อนลอยขึ้นไปซ้อนกับจีวร ที่มีอยู่ก่อน และพร้อมกันนั้น ก็จะมีผ้าขาวลอยมาสวมกายแทน แล้วจึงจะได้รับการพิพากษา หากว่าไม่มีโทษที่จะไปสู่อบาย ก็จะกลับไปสู่สุคติภพ เช่น เป็นพระอายุยังไม่ถึงฆาต ก็จะกลับมาเมืองมนุษย์อีก ผ้าสบง จีวร สังฆาฏิ ก็จะเลื่อนลอยมาสวมกาย พร้อมกันนั้น ผ้าขาวที่สวมกายอยู่ก่อนก็หายไป พระรูปนั้นก็จะถูกส่งกลับเมืองมนุษย์อีก เพราะอายุยังไม่ถึงฆาต

    ข้าพเจ้าดูเหตุการณ์ในสถานที่แห่งนี้จนเป็นที่พอใจ ทั้งเปิดดูประวัติของตัวเองที่ถูกบันทึกไว้ในบัญชี ว่าเราพ้นจากนรกแล้ว หรือว่าจุติแล้วจะมาตกนรกอยู่อีก เมื่อเปิดดูการทำบุญทำบาปแล้ว ก็มาบวกลบคูณหารกันว่า เออ เรานี้ได้ทำบุญมากกว่าทำบาป คงจะไม่ตกนรกแน่ อยู่ในสถานที่นี้จนเป็นที่พอใจจึงหันหลังกลับ ก็ถึงที่แล้ว ใช้เวลาในการกลับมา ประมาณลัดนิ้วมือเดียว คือเร็วเหมือนความคิด รู้สึกตัวคลายออกจากสมาธิ ตรวจดูนาฬิกาเป็นเวลา ๑๓ ชั่วโมงพอดี

    การอยู่ป่าของข้าพเจ้า ผ่านมาเป็นเวลานานพอสมควร แต่ไข้มาเลเรียยังไม่หาย จึงกลับไปพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านโยมพ่อโยมแม่ เมื่ออาการไข้หายเป็นปกติแล้ว ชาวบ้านอีเติ่งได้นิมนต์ให้อยู่จำพรรษา ที่วัดโคกสว่าง บ้านอีเติ่ง ตำบลเจียด อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี ข้าพเจ้ารับนิมนต์

    วันหนึ่งชาวคณะวัดและบ้านนาชุมใต้ ได้จัดงานบุญประจำปี (บุญมหาชาติ) ได้นิมนต์ข้าพเจ้าไปเป็นช่างทำหอตักบาตรสวรรค์ให้ ข้าพเจ้ารับนิมนต์ หอสวรรค์นั้นสูง ๑๒ เมตร ขณะที่ตอกตะปูอยู่บังเอิญบันไดขั้นสุดท้ายหลุด ข้าพเจ้านั่งอยู่ในท่านั่งห้อยขา แต่ว่าเวลาตกลงมา ข้าพเจ้านั่งท่าพับเพียบเหมือนนั่งรับแขก มือขวาถือขวาน สำหรับตอกตะปูวางอยู่เข่าขวา มือซ้ายถือตะปูวางอยู่เข่าซ้าย ตอนนั้นข้าพเจ้ามีใจเป็นปกติไม่ตกใจ ไม่กลัวตายอะไรทั้งนั้น เวลาตกลงมามันเพลินเบาเหมือนปุยฝ้าย หรือสำลีลอยลงมา แต่ชวนะจิตมันเร็วมาก นึกได้ว่าเราตกลงไปนี้จะไปถูกกับตอกุงที่อยู่ข้างล่าง พอนึกขึ้นได้ จึงเอี้ยวตัวไปข้างซ้าย ร่างกายก็เลื่อนตามไปพร้อมกับตกถึงพื้นพอดี

    เช้าวันนั้น ผู้คนมาทำพิธีเปิดงาน มาถวายภัตตาหารเช้าเกือบร้อย ต่างเฮโลวิ่งมาหา ต่างคนก็ต่างวิ่ง พร้อมกับถามว่าเป็นอย่างไรๆ ขณะนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเคยนับถือกัน รักกันสมัยเข้าโรงเรียน วิ่งเข้ามาหาจนลืมตัว ยื่นแขนทั้งสองเข้ามาจะโจมรักแร้สั่น พร้อมถามว่า เป็นอย่างไร ข้าพเจ้าตอบว่า ไม่เป็นไรดอก พร้อมนั้นข้าพเจ้าก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปห้องน้ำเพื่อจะเบา คนทั้งหลายที่กุลีกุจอวิ่งเข้ามาหา เมื่อเห็นข้าพเจ้ายืนขึ้นและไม่เป็นอะไร ต่างตะลึงเหมือนถูกมนต์สะกด โดยเข้าใจว่าข้าพเจ้ามีฤทธิ์เหาะได้

    หลังจากช่วยงานวัดนาชุมใต้แล้ว ข้าพเจ้ากลับวัดเริ่มทำความเพียรต่อ จนเป็นที่พอใจในทางสมถะ เมื่อเห็นว่าได้บำเพ็ญเพียรมาสมควรแล้ว ก็คิดอยากทดลองดูว่า จิตนี้มีอำนาจ มีพลัง มีอานุภาพเหมือนตำรากล่าวไว้จริงไหมหนอ ใคร่ครวญกลับไปกลับมาว่า เราจะทดลองวิธีไหนก่อนหนอ ฉุกคิดขึ้นมาว่า ขณะนี้เราทำบุญบวชนาคอยู่ ๒ นาค แต่เงินยังไม่มี เอ เราทดลองเรื่องนี้ก่อนดีกว่า บาปก็คงไม่บาปมากดอก เพราะเราเอามาทำบุญ

    วันหนึ่งมีโยมมาสนทนาธรรม ข้าพเจ้าก็เริ่มทดลองโดยเอาวัตถุมงคลมาให้โยม แล้วบอกว่าให้เป็นของขวัญโยม เรื่องสะตุ้งสตางค์ไม่ว่ากระไรดอก (ปากพูด) แต่ขณะนั้นนึกแล้วว่า วัตถุมงคลนี้อาตมาขอโยม ๖๐๐ บาท เพื่อจะเอาไปซื้อบริขารบวชนาค ขอให้โยมบอกมาเดี๋ยวนี้ว่า จะถวาย ๖๐๐ บาท เรานึกในใจพร้อมกับทำใจให้สงบเป็นปกติ ไม่กี่นาทีโยมก็พูดขึ้นมาพร้อมกับยื่นปัจจัยถวาย ๖๐๐ บาท ถ้าคนไหนมีเงินมาก เราก็เอา ๑,๐๐๐ บาท ทดลองกลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้ ไม่นานก็ได้เงินซื้อเครื่องบริขารบวชนาค พร้อมถวายพระ ค่าอาหาร ค่ามหรสพและอื่นๆ

    ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ เรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำอีก และไม่คิดจะทำ แต่หันไปทดลองอย่างใหม่ บางครั้งโยมมาหาเรา เรานึกให้เขาร้องไห้ เขาก็จะร้องไห้ และขณะที่เขาร้องไห้อยู่นั้น เรานึกให้เขาหัวเราะ เขาก็จะหัวเราะ เรานึกให้ร้องไห้และหัวเราะเขาก็จะร้องไห้และหัวเราะสลับกันไป

    บางครั้งเราเอายาขี้ผึ้งบริบูรณ์ทาที่ตาของเรา แต่เรานึกให้คนนี้แสบตา ร้องทุรนทุราย เขาก็จะเป็นตามที่เรานึก บางครั้งเราเอานวด (สีผึ้ง) สีที่ริมฝีปากของเรา พร้อมนึกในใจ ให้คนโน้นคนนี้เหนียวริมฝีปากร้องทุรนทุราย เขาก็มีอาการตามเรานึก บางที พระเณรมันซน เราสั่งให้ยืนตากแดดอยู่ ๓ ชั่วโมง อย่ากระดุกกระดิก ก็ยืนอยู่ที่นั้นตามสั่ง

    บางครั้งสามเณรนอนตื่นสาย เราสั่งให้นอนต่อ ๓ ชั่วโมง ใครมาปลุกก็อย่าพูด อย่าลุกขึ้นมา ก็จะเป็นตามสั่ง บางครั้งเวลาทำงาน พระภิกษุ สามเณรไม่มาช่วยกัน รูปไหนไม่มา เราก็สั่งให้นั่งลืมตาอยู่นั้น ๕ ชั่วโมง ใครมาถามก็อย่าพูด เขาก็จะเป็นไปตามนั้น

    สรุปแล้วว่า เรานึกอย่างไร สั่งอย่างไร ก็จะเป็นไปตามนั้นทุกอย่าง จนพระภิกษุ สามเณรกลัว ชาวบ้านบางคนก็พูดว่า ข้าพเจ้าเป็นพระยาปากเข็ด (พูดศักดิ์สิทธิ์ หรือมีวาจาศักดิ์สิทธิ์) บางคนก็พูดว่าข้าพเจ้าสามารถเหยียบแผ่นดินเดื่อง (แผ่นดินเอียง)

    เรื่องการทดลองพลังจิตนี้ ข้าพเจ้าให้เวลาทดลองอย่างนั้น อย่างนี้อยู่ราว ๖ เดือน เมื่อรู้ว่าจิตมีพลัง มีอำนาจ มีอานุภาพ ตามที่ท่านกล่าวไว้ในเรื่องกสิณจริง นับแต่นั้นมาจนถึงวันนี้ (๙ กันยายน ๒๕๔๐) ก็ไม่ได้ทดลองอีก และไม่คิดที่จะทดลองตลอดชีวิตฯ

    พิเศษ ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ กึ่งพุทธกาลนี้ นอกจากการปฏิบัติพระกรรมฐานแล้ว ข้าพเจ้าจะต้องทำความดีอย่างใดอย่างหนึ่งไว้เป็นอนุสรณ์ และแล้วความคิดเกิดเป็นจริงขึ้นมา คือข้าพเจ้าสอบนักธรรมชั้นเอกได้และท่องพระปาฏิโมกข์ เพียง ๑๒ วันก็จบ แล้วได้ขึ้นแสดงด้วย

    พ.ศ. ๒๕๐๑ หลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอเขมราฐ ส่งให้ไปปฏิบัติกิจพระศาสนา เป็นครูสอนพระปริยัติธรรม ที่วัดสว่างโพธิ์ศรี บ้านหัวนา ตำบลหัวนา อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี

    ปีนี้นอกจากเป็นครูสอนนักธรรมแล้ว ยังได้ปฏิบัติกรรมฐานอย่างเคร่งครัดและติดต่อกัน นั่งอยู่ก็ต้องกำหนดภาวนา ยืน เดิน นอน สรงน้ำ ดำน้ำ ถ่ายหนัก ถ่ายเบา พูดคุย ฉัน ดื่ม ก็ต้องกำหนดภาวนา ทำความรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้ทำเช่นนั้น

    มีเรื่องอยู่ว่า พระภิกษุ ๒ รูปคือ เจ้าอาวาส กับรองเจ้าอาวาส วันหนึ่งคณะญาติโยมวัดใกล้เคียงกัน ไปนิมนต์พระมาจำพรรษาที่วัด ทางเจ้าอาวาสรับไว้ วันหลังมาได้สั่งให้รองเจ้าอาวาสไปอยู่ที่วัดซึ่งโยมนิมนต์ รองเจ้าอาวาสไม่ไป ตกลงเจ้าอาวาสไปเอง ผลที่ตามมาเจ้าอาวาสเจ็บใจไม่พอใจ และผูกพยาบาท อาฆาต จองล้างจองผลาญ ก่อกรรมก่อเวรรองเจ้าอาวาส โดยไปว่าจ้างหมอฝั่งลาวมาใส่ของ รองเจ้าอาวาสได้มาพึ่งข้าพเจ้าให้ข้าพเจ้าช่วยป้องกันให้

    ครั้งแรกเขาปล่อยกระดูกไก่ซึ่งทำเป็นหุ่น เคียน (พัน) ด้วยฝ้ายเหลือง ฝ้ายแดง ทำเป็นปีกด้วยเทียนผึ้งสด ๒ เล่ม ส่วนปลายของกระดูกไก่ข้างหนึ่ง ตัดให้เพียง (เสมอ) กันเป็นธรรมดา อีกข้างหนึ่งฝนเป็นคมปากปลาฉลาม มีว่านกระจายติดตรงกลาง สำหรับเป็นพาหะนำไป ปล่อยมาครั้งแรกไม่ถูก กระทบกับแป้นกระดานตกลงพื้น ยังไม่สิ้นฤทธิ์ ยังหมุนอยู่ ได้เก็บใส่ขวดโหลไว้

    หลังจากนั้นก็ปล่อยว่านหัวบ่วมมา แต่ไม่ถูก (ไม่โดน) ได้เก็บไว้เหมือนเดิม หลังจากนั้นมาไม่กี่วัน ได้ปล่อยก้นขวดแม่โขง โดยฝนเป็นสามเหลี่ยม เคียนด้วยฝ้ายเหลือง ฝ้ายแดง ทำเป็นปีกด้วยเทียนผึ้งสดสองเล่ม มีว่านกระจายติดไว้ตรงกลาง เพื่อเป็นตัวพาหะพาไป

    ครั้งนี้ปล่อยมาในขณะขี่ม้าอยู่ หุ่นได้เวียนรอบม้าจนม้าวิ่งไปไม่ได้ ในเสี้ยวนาทีวิกฤตนั้นเอง หุ่นได้วิ่งชนอานม้าด้านหลัง ทะลุไม้โครงอานม้าติดอยู่กับโครงเหล็ก จึงหมดฤทธิ์ได้เก็บใส่ขวดโหลไว้

    อีกไม่กี่วัน ได้ปล่อยหุ่นที่เป็นสปริงท้ายอานรถจักรยาน (สปริงเบาะ) แขวนด้วยว่านหัวบ่วม ติดด้วยว่านกระจาย ปล่อยมาเวลาเที่ยงแต่บังเอิญหุ่นจะหมดฤทธิ์ ได้แปรสภาพเป็นค้างคาวตัวโตๆ บินปรี่เข้ามาใส่ จึงเอาผ้าอาบปัดป้องกันตัว ค้างคาวตกถึงพื้น กลายเป็นสปริงอานท้ายรถจักรยาน ได้เก็บไว้ในที่ปลอดภัย บางครั้งก็เสกรากไม้ เสกยาเป็นงูพิษไว้ เพื่อให้มาฉกมากัด พอเห็นแล้วคิดว่าเป็นงูจริงๆ แต่เมื่อเสื่อมฤทธิ์ ก็กลายเป็นรากยา (รากไม้มีพิษ)

    เขาได้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ตลอดพรรษา แต่ด้วยพลังจิตที่ได้อบรมปฏิบัติมา ทำให้ข้าพเจ้ารู้ทันเหตุการณ์ทุกอย่าง และป้องกันได้ทุกครั้ง หมอเขาทำอะไรไม่ได้ ได้มาท้าข้าพเจ้าถึงกุฏิที่พักอยู่ว่า พระน้อยองค์นี้มันจะแน่ขนาดไหน เดี๋ยวจะจัดการขั้นเด็ดขาดมันเลย หลังจากนั้นมาไม่นาน เขาก็ประกอบพิธีบังฟัน เพื่อจัดการขั้นเด็ดขาดและครั้งสุดท้ายด้วย แต่อาศัยพลังจิตทำให้ข้าพเจ้ารู้ทันเหตุการณ์ จึงให้คณะญาติของรองเจ้าอาวาสและคนเคารพ ไปทำลายพิธีเขา จนเขากลัวลุกเดินออกจากพิธีไป ทั้งเจ้าอาวาสและโยมที่ว่าจ้างมา ได้ใช้ความพยายามทุกวิถีทาง แต่ทำอะไรไม่ได้ หลังจากออกพรรษาแล้ว ต่างคนก็ต่างไป จนบัดนี้ยังไม่ทราบว่าเขาไปไหน และอยู่ที่ใด

    พอออกพรรษาได้ไม่กี่วัน นายจันทร์ ซึ่งอยู่บ้านใกล้เคียงกับข้าพเจ้าพำนักจำพรรษาอยู่จะมาฆ่า โดยเขาเข้าใจผิดว่า ข้าพเจ้าไปชอบภรรยาเขา เขาเลยเอาผ้าอาบน้ำพันมีดโต้ปลายแหลม มานั่งรออยู่ที่หน้าห้องของข้าพเจ้า เพราะตอนนั้นข้าพเจ้าไม่อยู่ไปธุระ พอข้าพเจ้าเข้าห้องมาก็รู้ทันทีว่า นายจันทร์จะมาฆ่า จึงพูดขึ้นว่า พ่อจันทร์เอ้ย เจ้าอย่าคิดฆ่าอาตมาเถิด อาตมาไม่ได้คิดเป็นชู้ เป็นแฟนกับภรรยาของเจ้าดอก แต่ภรรยาเจ้ามาถวายภัตตาหารเช้า ภัตตาหารเพลแล้วไม่รีบกลับ ไปคุยกับพระนั้นเณรนี้ จนทำให้ทางบ้านเข้าใจผิด เขาได้ยกมือท่วมหัวว่า สาธุ..หากครูบาอาจารย์ไม่พูดความจริงให้รู้วันนี้ผมฆ่าท่านแน่ นี้ดูซิผมเตรียมมีดมาพร้อมแล้ว เขาคลี่ผ้าอาบน้ำที่พันมีดไว้ออกมาให้ดู ข้าพเจ้าฉุกคิดขึ้นมาว่า ที่ข้าพเจ้าไม่ถูกฆ่าวันนี้เพราะอำนาจพลังจิตที่ประกอบด้วยเมตตาธรรม และพูดความจริงแท้ๆ โอ้..อนิจจาโลกนี่ช่างสับสนวุ่นวายเชียวหนอ ..

    พ.ศ. ๒๕๐๒ ได้ย้ายมาอยู่วัดพิชโสภาราม ตำบลเแก้งเหนือ อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นวัดอยู่ประจำถึงปัจจุบันนี้ ในพรรษาแรกแทบจะเอาตัวไม่รอด ถูกพวกคันถะ (เป็นชื่อที่พวกเขาเรียกกันเอง) ที่เป็นภูมิ ซึ่งพากันอยู่ในเขตวัดกับเขตรั้วของชาวบ้านต่อกันมารบกวน มารังควานอยู่เสมอ บางครั้งแปลงเป็นสุนัขจะมากัดมาทำร้าย บางครั้งก็ปิดประตูทัน บางครั้งปิดประตูไม่ทัน มันกรูเข้าไปในกุฏิจะทำร้าย ต้องใช้ไม้เรียวเฆี่ยนมันจึงวิ่งหนี บางทีแปลงเป็นหญิงสาวจะมาคร่อม มานอนทับตัวข้าพเจ้า บางครั้งปิดประตูทัน บางครั้งปิดประตูไม่ทัน มันก็ผ่านประตูเข้าไป ข้าพเจ้าต้องเอาหวายเฆี่ยนมันกลัว วิ่งหนี บางทีข้าพเจ้าต้องตามไปถึงหน้าโบสถ์ ภาพของพวกคันถะซึ่งมาในรูปของผู้หญิงก็หายไป เป็นอยู่อย่างนี้ซ้ำๆ ซากๆ นานเกือบเป็นเดือน

    บางครั้งแปลงเป็นนกแสก (ภาคอีสานเรียก นกผีพาย) มาจับอยู่ที่โคมไฟเพดานกุฏิ ซึ่งเป็นเวลากลางวันแสกๆ ข้าพเจ้านอนหงายมองดูพร้อมคิดว่า นกตัวนี้ มันเข้ามาได้อย่างไร ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังคิดอยู่นั้น มันก็บินถลาลงจากโคมไฟเข้าไปในทรวงอกของข้าพเจ้า ทำให้เจ็บปวด จิตใจอ่อน คล้ายจะเป็นบ้า พอข้าพเจ้ากำหนดภาวนาว่า รู้หนอๆๆ มันก็กระโดดออกจากร่างของข้าพเจ้าไป บางวันข้าพเจ้าลงฉันที่ศาลาการเปรียญ มองเข้าไปใต้โต๊ะหมู่บูชา เห็นพังพอนมันวิ่งไปวิ่งมา วอกแวกๆ อยู่ ก็คิดขึ้นมาว่า เอ๋ พังพอนตัวนี้ มันมาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร ข้าพเจ้ากำลังจ้องดูอยู่นั้นแหละ มันกระโดดเข้าไปในทรวงอกของข้าพเจ้า ทำให้เจ็บทำให้ปวด ทำให้หัวใจอ่อนเป็นบ้า พร้อมกันนั้นก็ได้กำหนดภาวนาว่า รู้หนอๆ มันจะดิ้นตึงตังๆ ออกจากร่างข้าพเจ้าไป บางครั้งข้าพเจ้าทำวัตรสวดมนต์เจริญภาวนาอยู่ มันจะเอาฉากหรือท่อนไม้โตๆ มากระทุ้งแป้น กระดานฝาแอ้มกุฏิ ตรงโต๊ะหมู่บูชาอย่างแรง ทำเอากุฏิสั่นสะเทือนไปทั้งหลัง

    พวกคันถะมันรบกวนอยู่อย่างนี้ตลอดพรรษา จนทำให้คิดว่าคงอยู่ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ออกพรรษาแล้วคงจะได้ย้ายออกจากวัดนี้ไปอยู่ที่อื่น คงอยู่ต่อไปไม่ได้แน่ แต่ก็คิดพิจารณาทบทวนย้อนหลังอีกทีว่า เราเคยเจออุปสรรคมามากมายหลายต่อหลายครั้งแล้ว ร้อยเอ็ดเจ็ดหัวเมืองขึ้นเขาลงห้วย เราเคยเอาชนะมาหมดแล้ว ทำไมจะมายอมแพ้เอาง่ายๆ

    คิดไปคิดมาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เอ! เรายังไม่ได้เอาพุทธาวุธ (กรณียเมตตสูตร) ออกมาใช้หลังจากวันนั้นมา ก่อนทำวัตรค่ำ ข้าพเจ้าได้เดินสวดกรณียเมตตาสูตรรอบวัด วันละ ๓ รอบบ้าง ๒ รอบบ้าง รอบเดียวบ้าง ท้ายทำวัตรหรือก่อนนอนก็สวดทุกวัน หลังจากนำพุทธาวุธออกมาใช้ ทำให้เอาชนะพวกคันถะๆ ยอมแพ้ พร้อมกันมามอบตัวรับใช้นับแต่วันนั้นมาเราจะนึกใช้พวกคันถะไปทำอะไรก็ได้ตามใจนึก บางทีพระสงฆ์สามเณร หรือชาวบ้าน ไปทำอะไรที่ไม่ดีมา มันก็มารายงานว่าพระรูปนั้นทำอย่างนี้ สามเณรรูปนี้ทำอย่างนั้น เป็นต้น จนโยมชาวบ้านวิพากวิจารณ์กันว่า ข้าพเจ้ามีตาทิพย์

    สรุปแล้วว่า เราจะใช้พวกคันถะทำอะไร เรื่องไหน ได้ทุกอย่าง ที่เล่ามาไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน ไม่ใช่เรื่องแต่งขึ้นเอง เป็นเรื่องที่ประสบมา และไม่ใช่เรื่องนั่งสมาธิเข้าฌานดู แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น และรู้กันในขณะที่เราอยู่อย่างธรรมดาๆ นี้เอง เหมือนกับเรานั่งพูดนั่งคุยกันอยู่ตามปกติ แต่ว่าไม่มีคนอื่นรู้เห็นด้วย เมื่อก่อนที่จะมาอยู่ที่วัดนี้ พวกคันถะนี้จะดุร้ายมาก ในสมัยนั้นมีพวกพ่อค้าเดินทางมาขายของ เช่น ขายฆ้อง หรือขายสิ่งนั้นสิ่งนี้ ถ้าพักแรมค้างคืนที่วัด มักจะนอนไหลตายกันบ่อยๆ และตายกันไปหลายศพด้วย จนพวกพ่อค้าทั้งหลาย ไม่กล้ามานอนพักแรมค้างคืนที่วัดโดยถือกันว่าเป็นวัดที่มีผีดุมาก เนื่องเพราะว่า ตอนข้าพเจ้ามาอยู่แรกๆ มีพวกพ่อค้าเมืองเรณูนคร มาขายผ้า ก็เคยมาพักและนอนไหลตายที่วัดด้วย แต่ต่อมาได้ซื้อที่และขยายเขตวัดออกไป พวกคันถะอยู่ไม่ได้ จึงพากันลาหนีไปอยู่ที่อื่น

    อยู่ต่อมา พวกเขาได้วกกลับมาเยี่ยม เมื่อมาครั้งแรกทำให้สามเณรวารี ช็อคไปเกือบไม่ฟื้นขึ้นมา มาเยี่ยมครั้งที่ ๒ ทำให้แม่ชีเขี่ยมเป็นบ้า ครั้งที่ ๓ ตรงกับช่วงที่ข้าพเจ้าเข้าไปปฏิบัติธรรมในห้องกรรมฐานเป็นเวลา ๙ วัน ก่อนไปได้สั่งพระภิกษุสามเณรไว้ว่า ๙ วันนี้ จะไม่ยุ่งกับโลกภายนอก หากว่าโยมพ่อโยมแม่ตาย ก็อย่าไปบอก มีอะไรจะต้องจัดต้องทำ ให้พากันทำไปเลย หลวงพ่อออกจากห้องกรรมฐานมา จึงจะจัดการทีหลัง เจ้าคันถะได้โอกาส มาทำให้แม่ชีเขี่ยมเป็นบ้าอีก พระภิกษุสามเณรที่อยู่ข้างนอกโดยมีท่านหลวงปู่อ้วนเป็นประธาน พากันช่วยรักษาไม่หาย เพราะมันไม่กลัว หลวงปู่อ้วนเอายาระงับประสาทให้กินครั้งละ ๘–๑๐ เม็ด ก็ยังไม่ยอมนอน ไม่หาย พอถึงวันที่ ๘ ก่อนออกจากห้องกรรมฐานหนึ่งวัน แม่ชีเขี่ยมมีอาการหนักมาก ท่านหลวงปู่อ้วนได้ไปขอร้องให้ข้าพเจ้าออกมา ข้าพเจ้าไม่ออกมาและได้บอกหลวงปู่ว่า ผมได้ตั้งสัจจะไว้แล้ว อย่าให้ผมต้องเสียสัจจะเลย ผมรู้มันหมดแล้วละปู่ออกไปผมจะไปเหยียบมันเปๆ เลย ท่านหลวงปู่ผิดหวังกลับออกมา

    ค่ำวันนั้น หลังจากทำวัตรแล้ว นั่งสมาธิ พวกคันถะมันพากันกรูเข้าไปจะทำร้ายข้าพเจ้า ตนหนึ่งแปลงร่างเป็นเสือ ตนหนึ่งแปลงร่างเป็นสุนัขตัวโตๆ ดุร้ายมาก กรูเข้ามาจะทำร้าย ข้าพเจ้านึกในใจว่าพวกมึง เข้ามาเลย กูไม่หนีมึงแม้แต่ก้าวเดียว เหมือนถูกมนต์สะกด คันถะทั้งสองยืนตกตะลึงตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ พอได้สติขึ้นมา พวกมันพากันวิ่งกระโดด ข้ามกำแพงไป ส่วนแม่ชีเขี่ยมก็หาย ในขณะที่ข้าพเจ้ายังไม่ได้ออกจากห้องกรรมฐานเลย พอตกถึงตอนเช้าจึงได้ออกมา

    หมายเหตุ พวกอมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นพวกเทพ พวกเทวดา พวกปีศาจ พวกเปรต พวกอสุรกาย เป็นต้น เราไม่จำเป็นที่จะต้องพูดด้วยปาก เพราะเรานึกในใจ เขาก็รู้ เขานึกเราก็รู้ แต่จิตของเราต้องมีอำนาจ ตั้งมั่นอยู่ในระดับเดียวกัน หรือสูงกว่าเขา จึงจะรู้กันได้

    กรณีพิเศษ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ นั้น ได้เป็นประธานพาพระภิกษุสามเณรและญาติโยม สร้างอุโบสถที่อดีตเจ้าอาวาสสร้างไว้ยังไม่เสร็จ ได้ตัดหลังปั้นกระเบื้อง มุงหลังคา ค่ำวันหนึ่งหลังจากเลิกงาน สรงน้ำเสร็จแล้ว นั่งสมาธิจิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิขาดความรู้สึกไป พอรู้สึกตัวขึ้นมา ข้าพเจ้าอยู่เทวโลกชั้นดาวดึงส์แล้ว ได้เห็นวิมานของเทวดาทั้งหลาย แต่วิมานหลังหนึ่งสวยสดงดงามมาก ประดับประดาด้วยเพชรนิลจินดา มีประกายระยิบระยับสวยงามมาก หาที่ติไม่ได้ มีเทวดาองค์หนึ่งรักษาอยู่ ข้าพเจ้าถามว่าวิมานใหญ่โตรโหฐานสวยงามถึงขนาดนี้ ทำไมไม่มีเจ้าของ เทวดาตอบว่า ข้าพเจ้าเฝ้ารักษาไว้ให้เจ้าของเขา เจ้าของเขายังไม่มา ยังสร้างโบสถ์อยู่ ข้าพเจ้ามองลงมาเมืองมนุษย์ เห็นพระภิกษุสามเณร กำลังพากันทำงานสร้างโบสถ์อยู่ บ้างก็ปั้นกระเบื้อง บ้างก็ผสมปูน บ้างเก็บกระเบื้อง เป็นต้น ข้าพเจ้านึกในใจว่า โอ้…การสร้างอุโบสถนี้ได้บุญได้อานิสงส์ถึงปานนี้เชียวหรือ ข้าพเจ้าอยู่ในเทวโลกชั้นนั้นพอสมควรแล้ว ก็คิดจะกลับ พอหันหน้ากลับก็รู้สึกตัวคลายออกจากสมาธิมองดูนาฬิกาได้ ๑๒ ชั่วโมงพอดี

    พ.ศ. ๒๕๑๓–๒๕๑๔ ข้าพเจ้าได้ประพฤติปฏิบัติกรรมฐานทั้งสมถะและวิปัสสนา อย่างเคร่งครัด มีจิตสำรวมระวังมากขึ้นกว่าเดิม พยายามทำจิตให้สงบตั้งมั่นแน่วแน่อยู่เสมอ ผลที่ได้ไม่เป็นที่พอใจ เป็นแต่แตกฉานในเรื่องนิมิต เรื่องความฝันต่างๆ และแตกฉานรู้เรื่องพลังของต้นไม้ ซึ่งในสมัยนั้น ถ้ามีใครมาเล่าเรื่องนิมิต เรื่องความฝันให้ฟัง ข้าพเจ้าจะรู้ทันทีว่า มันเป็นอย่างไร เป็นเพราะอะไร มีอะไรเป็นเหตุให้เกิดนิมิตฝันเช่นนี้ เหมือนกับเห็นมาแล้ว

    ในเรื่องพลังของต้นไม้นี้ก็เหมือนกัน มันจะเห็นต้นไม้และพลังของต้นไม้ เป็นตัวเป็นตนเหมือนคน เหมือนกับเราเห็นร่างกายและจิตใจ หรือเหมือนกับเราเห็นคนและเงาของคน ข้าพเจ้าได้ฉุกคิดขึ้นมาว่าก็เรื่องอย่างนี้นี่เอง ในครั้งพุทธกาลนั้น มีบุคคลบางจำพวก เห็นว่าต้นไม้มีวิญญาณ ถ้ามีคนไปตัดไปทำลายมันๆ ก็จะรู้จักเจ็บปวดเหมือนกัน แต่ว่ามันพูดไม่ได้ พูดไม่เป็น ซึ่งในการรู้พลังของต้นไม้นี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะทำให้เกิดความรู้ ความฉลาด หมดความเคลือบแคลงสงสัย ได้เกร็ดความรู้เป็นกรณีพิเศษ

    พ.ศ. ๒๕๑๕ ข้าพเจ้ามีปณิธานจิตแน่วแน่ในอันที่จะสอนธรรมะภาคปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานให้ได้ แต่ก็ยังมีความกังวลใจอยู่ เพราะการปฏิบัติของตัวเองยังไม่เป็นที่พอใจเท่าที่ควร ในพรรษานั้นเองข้าพเจ้าได้ปลดปล่อย ได้ปลงภาระทุกสิ่งทุกอย่างเข้าปฏิบัติ ในการปฏิบัติครั้งนี้ ได้เอาชีวิตเป็นเดิมพัน โดยตั้งปณิธานจิตอย่างแน่วแน่ อธิษฐานจิตนึกเอาแผ่นดินทั้งแผ่นให้แข็งเหมือนเพชร เมื่อใดแผ่นดินซึ่งแข็งเหมือนเพชรไม่ละลายเป็นน้ำไป หากว่าธรรมะชั้นสูงที่ยังไม่เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าเป็นที่พอใจ ข้าพเจ้าจะไม่ยอมเลิกการปฏิบัติเป็นเด็ดขาด แม้ชีวิตจะตายไปในวันนี้ ชั่วโมงนี้ นาทีนี้ และในวินาทีนี้ ก็ยอมตาย แต่จะไม่เลิกละการปฏิบัติเป็นเด็ดขาด

    ด้วยปณิธานจิตอันแน่วแน่ที่ได้ตั้งไว้ จึงเป็นพละวะปัจจัยให้การปฏิบัติ การบำเพ็ญเพียรของข้าพเจ้าได้สำเร็จผลเป็นที่พอใจ คือ

    ครั้งที่ ๑ ปฏิบัติอยู่ ๕ วัน การปฏิบัติก็ผ่านไปได้

    ครั้งที่ ๒ ปฏิบัติอยู่ ๗ วัน การปฏิบัติก็ผ่านไปได้

    ครั้งที่ ๓ ปฏิบัติอยู่ ๑๙ วัน การปฏิบัติก็ผ่านไปได้

    ครั้งที่ ๔ ปฏิบัติอยู่ ๘๒ วัน การปฏิบัติก็ผ่านไปได้

    หลังจากการปฏิบัติไปดีแล้ว ข้าพเจ้าเกิดความอ่อนใจ ท้อใจในการที่จะสอนวิปัสสนากรรมฐาน โดยคิดว่า ธรรมะภาคปฏิบัตินี้ละเอียดมาก ยากที่คนจะปฏิบัติตามได้ และเกรงว่าเมื่อผู้ปฏิบัติเป็นอะไรไปจะแก้ไขไม่ได้

    แต่ด้วยความรักงานประเภทนี้ จึงตัดสินใจในอันที่จะสอนให้ผู้อื่นรู้ตาม แล้วตกลงสอน พร้อมกับบันทึกการสอนประจำวันไว้ด้วย เมื่อลงมือสอนก็เกิดความมั่นใจยิ่งขึ้น เพราะบางคนมาปฏิบัติ ๓ วันก็ได้ผล บางคน ๕ วัน บางคน ๗ วัน บางคน ๑๕ วัน บางคน ๓๐ วันก็ได้ผล แล้วแต่บุญวาสนาบารมีของแต่ละบุคคล

    อ่านหน้าต่อไปค่ะ ******************************
     
  3. orchid said:

    Re: ชีวประวัติพระบวรปริยัติวิธาน (หลวงพ่อบุญเรือน) วัดพิชโสภาราม

    บุพนิมิตที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะลงมือสอนธรรมะภาคปฏิบัติในขณะที่อยู่ในสมาธิ มักจะเกิดนิมิตขึ้นมาบ่อยๆ ว่า มีพระมาบอกให้ไปรับพัดที่กรุงเทพมหานคร แต่ข้าพเจ้าตอบว่า ไม่ไป ผลสุดท้ายมีพระมหาเถระผู้ใหญ่ทางกรุงเทพมหานคร นำพัดมามอบให้ที่วัด ข้าพเจ้าดูแล้วเป็นพัดวิปัสสนา พอคลายออกจากสมาธิ ก็นึกได้ว่า เราเคยได้บำเพ็ญบารมีทางวิปัสสนามาแล้ว การสอนวิปัสสนาของเราคงจะได้ผล จึงได้ตัดสินใจสอนวิปัสสนาเรื่อยมา

    แต่มาคิดอีกแง่หนึ่งว่า ผลของการปฏิบัติวิปัสสนา ปฏิบัติจะได้ผลมากน้อยแค่ไหนเพียงไร คนอื่นไม่รู้ไม่เห็นด้วย รู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น จึงมาดำริในการที่สอนสมถกรรมฐานควบกันไปด้วย หลังจากนั้นมาเวลาอยู่ในสมาธิ จะเกิดนิมิตขึ้นบ่อยๆ ว่า มีพระมาบอกให้ไปรับพัดที่กรุงเทพมหานคร ข้าพเจ้าได้บอกพระว่า จะไปรับพัดอย่างไร เพราะพึ่งรับพัดมาไม่นานนี้เอง ไม่ไปดอก แต่ผลสุดท้ายก็มีพระมหาเถระทางกรุงเทพมหานครนำพัดมามอบให้ที่วัด ข้าพเจ้ารับแล้วอ่านดูเป็นพัดสมถะ พอรู้สึกตัวคลายออกจากสมาธิ ก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่า เรานี้ได้บำเพ็ญบารมีมาทั้งในด้านวิปัสสนา ทั้งในด้านสมถะ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป การสอนวิปัสสนาและสมถะจะได้ผล แล้วข้าพเจ้าก็ได้เริ่มทำการสอนกรรมฐานทั้งสองอย่างควบคู่กันไป ส่วนผู้มาปฏิบัติ จะได้รับผลอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่ที่บุญวาสนาบารมีของแต่ละบุคคล และกาลเวลาที่เอื้ออำนวยให้ประกอบกันด้วย สำหรับผลการสอนกรรมฐานทั้งสมถะและวิปัสสนาจัดว่าอยู่ในขั้นเป็นที่พอใจ

    เปรียบเทียบบุพนิมิต
    บุพนิมิตที่เห็น ฯพณฯ ท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม มาสำรวจหาผู้มีบารมีที่จะได้บวชอยู่ในพระพุทธศาสนา ในวันที่ข้าพเจ้าจะลาสิกขาครั้งแรก แล้วท่านบอกว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้มีบุญบารมี จะได้บวชอยู่ในพระพุทธศาสนาได้นานๆ แล้วท่านนิมนต์ข้าพเจ้าไว้ไม่ให้ลาสิกขา หมายถึงบารมีที่เราได้เคยบำเพ็ญมาแล้ว มาเป็นแรงกระตุ้นไว้ ห้ามไว้ ไม่ให้ลาสิกขา

    สำหรับบุพนิมิตเห็นปะรำอันกว้างใหญ่สวยงามมาก มีเครื่องตกแต่งประดับประดามากมาย มีสิ่งของต่างๆ ครบทุกอย่างอยู่ในปะรำนั้น ไม่ว่าจะต้องการสิ่งใด อะไร มีพร้อมหมด และมีพระราชบัลลังก์ประดิษฐานอยู่ตรงกลางของปะรำ มีในหลวงรัชกาลที่ ๔ ทรงประทับอยู่บนบัลลังก์นั้นด้วย โดยพระองค์ทรงผินพระพักตร์ไปทางทิศใต้ ข้าพเจ้าเดินเข้าไปทางทิศเหนือของปะรำ เมื่อไปถึงพระราชบัลลังก์ ข้าพเจ้ายืนทางทิศใต้แล้วมองขึ้นดูในหลวงท่าน พร้อมกันนั้นในหลวงท่าน ตรัสว่าเออ..ดีละ พระคุณเจ้ามาถึงแล้ว พระคุณเจ้าต้องการสิ่งใดในปะรำ นิมนต์เลือกหาเอาตามใจชอบเถิด ข้าพเจ้าเดินหาของที่ชอบใจทั่วปะรำ หาสิ่งที่ชอบใจไม่มี ผลสุดท้ายได้เดินไปทางทิศใต้ของปะรำ ไปพบหมากเกลี้ยงสุกผลหนึ่ง มีสีเหลืองคล้ายสีจีวร ชอบใจถือเอาไว้ แล้วเดินมาที่พระราชบัลลังก์ ซึ่งในหลวงทรงประทับอยู่ พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า พระคุณเจ้าเคยขี่เครื่องบินแล้วหรือยัง ข้าพเจ้าถวายพระพรตอบว่า ยังไม่เคยขับขี่ พระองค์ตรัสอีกว่า ถ้าอย่างนั้น นิมนต์ท่านไปขับขี่เอาเครื่องบินที่จอดอยู่ทางทิศตะวันตกของปะรำนั้น ข้าพเจ้าถวายพระพรตอบว่า ขับขี่ไม่เป็น ในหลวงจึงนำข้าพเจ้าขึ้นเครื่องพาบินวนรอบปะรำ ๔ รอบ แล้วจึงลงจอด พระองค์ท่านเสด็จขึ้นประทับบนบัลลังก์อีก ได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ให้อยู่บำเพ็ญบารมีอบรมสั่งสอนศิษย์และญาติโยมต่อไป

    นิมิตทั้งหมดที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น ยังไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องอะไร เมื่อได้ประพฤติปฏิบัติธรรมเจริญวิปัสสนากรรมฐานผ่านไปดีแล้ว จึงชะเง้อมองกลับมาพิจารณาย้อนหลัง จึงทราบได้ทะลุปรุโปร่งว่า ของที่มีอยู่ในปะรำทั้งหมด หมายถึงบุญบารมีที่เราได้บำเพ็ญมาเต็มสมบูรณ์แล้ว พระราชบัลลังก์นั้น หมายถึง ศีล สมาธิ ในหลวงรัชกาลที่ ๔ อริยมรรค ๔ อริยผล ๔ หมากเกลี้ยงสุก มีสีเหลืองสวยสดงดงาม หมายถึงความบริสุทธิ์ ความหมดจดของจิตใจ เครื่องบินที่ขึ้นขี่รอบปะรำ ๔ รอบ หมายถึง วิปัสสนาญาณ ๑๖ ซึ่งต้องเกิดขึ้นครบ ๔ รอบ จึงจะประหารอาสวะกิเลส เครื่องเศร้าหมองให้หมดจดลงได้โดยสิ้นเชิง

    หลักการสอน
    เมื่อผลของการศึกษาและการปฏิบัติของข้าพเจ้า เป็นที่น่าพอใจแล้ว ก็ได้แนะนำสั่งสอนศิษย์ ที่เป็นพระภิกษุสามเณร ตลอดถึงญาติโยมชาวบ้าน ให้มีโอกาสเวลาได้ประพฤติปฏิบัติธรรมะ ทั้งสมถะกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน โดยได้สอนควบคู่กันไป ถ้าชั่วโมงปฏิบัติมีน้อย ก็จะสอนสมถะกรรมฐานก่อน แล้วค่อยสอนวิปัสสนาต่อภายหลัง แต่ถ้าชั่วโมงปฏิบัติมีมาก จะสอนวิปัสสนาก่อนแล้วค่อยสอนสมถะกรรมฐานต่อภายหลัง

    ในด้านสมถะกรรมฐาน ก็จะสอน จะฝึกให้ชำนาญ ในวสีทั้ง ๕ สามารถเข้าสมาธิได้ ๑ ชั่วโมง ๒, ๓, ๖, ๑๒, ๒๔ และ ๓๐ ชั่วโมง ส่วนจะเข้าได้มากหรือได้น้อยนั้น ขึ้นอยู่ที่บุญบารมีของผู้ปฏิบัติ

    ในด้านอภิญญาจิต ก็ได้สอนทิพพโสตอภิญญา ทิพพจักขุอภิญญา ปรจิตตอภิญญา ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ และจุตูปปาตญาณ เป็นต้น เฉพาะเรื่องอภิญญานี้ได้พิจารณาเลือกสอนเป็นรายๆ ไป คือไม่ได้สอนทั่วไปทั้งหมด เพราะต้องพิจารณาดูเสียก่อนว่า ผู้นี้ได้เคยบำเพ็ญบารมีมา สามารถยังอภิญญาจิตให้เกิดขึ้นได้ไหม ถ้าได้จะสอนให้

    เมื่อสอนเรื่องอภิญญาจิตแล้ว ก็พิจารณาดูอีกว่า เรื่องอภิญญาจิตนี้เป็นเรื่องลี้ลับ เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก บุคคลธรรมดาทั่วไปไม่สามารถรู้ได้ หากเอามาสาธิตให้คนอื่นได้ดูได้ชม ก็ไม่สามารถหรือยากที่จะรู้ตามเห็นตามได้ แต่กลับจะไม่มีคนเขาเชื่อถือ ซ้ำจะหาว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน หลอกลวงชาวโลก เป็นเรื่องโกหกไร้สาระ อวดอุตตริมนุสธรรม ข้าพเจ้าจึงหันมาฝึกวิธีที่ง่าย คือ ให้คนหนึ่งนั่งหลับตา เอาผ้าขาวม้าพับ ๕-๖ ชั้นเพื่อปิดตา แล้วนั่ง

    สมาธิอ่านหนังสือให้ดู ให้ชม หรือให้ผู้ใดผู้หนึ่งมานั่งข้างหน้าหรือหาสิ่งของเช่น แจกัน เป็นต้น มาวางไว้ข้างหน้าของผู้ที่เอาผ้าปิดตานั้น ในระยะห่างพอสมควร คือห่างประมาณ ๒-๓ เมตร แล้วให้เขาเพ่งดู เขาก็จะเห็นและบอกได้ถูกต้อง ทุกๆ อย่างที่เอามาวางไว้ข้างหน้านั้น

    การฝึกวิธีนี้ ก็ไม่ยากจนเกินไป หากผู้ใดได้เคยบำเพ็ญบารมีมาก็ฝึกได้เร็ว แต่ถ้าหากไม่เคยได้บำเพ็ญบารมีมา แม้จะฝึกเป็นปีๆ ก็ไม่สำเร็จ เหตุนั้น ก่อนฝึกเราต้องพิจารณาดูก่อนว่า เขาจะฝึกได้หรือไม่ได้ การที่ฝึกและมีการสาธิตเช่นนี้ ก็เพื่อปลูกศรัทธาของผู้ปฏิบัติ หรือผู้อยากปฏิบัติ ทั้งเป็นการทรมานคนที่มีทิฏฐิมานะ เป็นกุศโลบายของการสอนอีกแผนกหนึ่ง

    ครั้นต่อมาได้สังเกตและพิจารณาดู ผู้ที่ได้รับการฝึกอภิญญาจิตที่ยังไม่ผ่านมรรคญาณ ผลญาณ จะทำให้เกิดทิฏฐิมานะ เอาไปใช้ในทางที่ผิดต่อคำสอน ผิดต่อพระธรรมวินัย เป็นต้น เหตุนั้น นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จึงไม่รับฝึกรับสอนให้จนกระทั่งทุกวันนี้ (๑๒ กันยายน ๒๕๔๐)

    อนึ่ง พ.ศ. ๒๕๑๕ นั้นเอง ข้าพเจ้าได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ข้าพเจ้าได้กล่าวคำสัจจปฏิญญาณตนท่ามกลางครูบาอาจารย์ พระภิกษุสามเณรและญาติโยม ที่มาแสดงมุทิตาจิตเป็นจำนวนมาก โดยมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระครูเขมราฐเมธี เจ้าคณะอำเภอเขมราฐในขณะนั้นเป็นประธาน

    ข้าพเจ้าได้กล่าวคำปฏิญาณตนว่า นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตอยู่ในเพศพรหมจรรย์ จะไม่ลาสิกขาตลอดชีวิตด้วยเหตุ ๔ ประการคือ

    ๑. เพื่อช่วยสืบอายุพระพุทธศาสนา เท่าที่ความสามารถจะทำได้

    ๒. เพื่อบำเพ็ญบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

    ๓. เพื่อตอบสนองอุปการคุณของบิดา มารดาและญาติโยม ที่ให้ความอุปการะ

    ๔. เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระธุระของครูอุปัชฌาย์อาจารย์ในการบริหารงานพระศาสนาเต็มความสามารถ ตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเท่าที่สามารถจะทำได้

    ช่วงสุดท้ายของประวัติ
    ข้าพเจ้าได้เขียนประวัติมาเพื่อสนองเจตนารมณ์ ในที่ประชุมของคณะศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย โดยสังเขปกถา คิดว่าพอเป็นทิฏฐานุคติเครื่องเตือนใจไม่มากก็น้อย ก่อนจบก็ขอฝากข้อคิดไว้บางสิ่งบางประการว่า เราเกิดมา และได้มีศรัทธา มีโอกาสมาบวชในพระพุทธศาสนา ขออย่าได้ประมาท ให้เอาใจใส่ในการฝึกการฝน การอบการรม ตนเองให้ดีให้คล่องแคล่ว ชำนิชำนาญ เพื่อจะได้มีกำลังใจต่อต้านกับอารมณ์ดี อารมณ์ชั่ว อันจะเกิดขึ้นกับการดำเนินวิถีชีวิต

    การฝึกนั้นมี ๒ อย่าง คือ

    ๑. ฝึกด้วยบุพพภาคมรรค ได้แก่ การลงมือปฏิบัติ ทั้งในส่วนที่เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นภาวนา ทั้งสมถและวิปัสสนา และข้อปฏิบัติอันสมควรอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการดำเนินวิถีชีวิต

    ๒. ฝึกด้วยอำนาจอริยมรรค ได้แก่ การเจริญวิปัสสนากรรมฐานจนได้บรรลุมรรคผลนิพพาน

    การฝึกช้างฝึกม้า ก็เผื่อว่าจะให้มันชำนิชำนาญแล้วนำมาใช้งานได้ เช่น ใช้ลากซุงใช้เป็นม้าแข่ง ใช้ในราชการสงคราม ฉันใด เราฝึกตัวของเราด้วยการให้ทาน รักษาศีล ไหว้พระสวดมนต์ เจริญพระกรรมฐาน เป็นต้น ให้ชำนิชำนาญ ก็เพื่อให้บรรลุสุขอันไพบูลย์ตามความประสงค์ ฉันนั้น

    เราฝนมีดฝนพร้า ฝนขวาน ก็เพื่อต้องการให้มันหมดสนิม ให้มันคมดี เมื่อใดขวานพร้า หรือมีด มันหมดสนิมมันคมดีแล้ว เราก็สามารถเอาไปตัดนั่นฟันนี่ได้ตามประสงค์ ฉันใด เราฝนตา ฝนหู ฝนจมูก ฝนลิ้น ฝนกาย ฝนใจ ด้วยสติปัญญา ก็เผื่อว่า จะให้มันหมดสนิมให้มันคมดี เมื่อใด มันหมดสนิมมันคมดีแล้ว เราก็สามารถใช้ตัดกิเลสตัณหา ตามที่ตนปรารถนา ก็ฉันนั้นเหมือนกัน

    เราอบผ้า เพื่อให้กลิ่นหอมจับ ฉันใด เราอบกาย วาจา ใจด้วยวิปัสสนากรรมฐาน ก็เพื่อให้กลิ่นศีล กลิ่นสมาธิ กลิ่นปัญญาจับ ฉันนั้น

    เรารมตัวเราด้วยควันไฟ หรือความร้อนของไฟ ก็เพื่อให้ควันไฟหรือไออุ่นไอร้อน เป็นต้น เกลือกกลั้วหรือติดอยู่ ฉันใด เรามีกายมีใจ ก็จะต้องฝึกกายฝึกใจ ให้ดีเสียก่อน จึงจะได้ประโยชน์จากการมีกายมีใจ คนเราตั้งแต่เท้าถึงศีรษะ ตั้งแต่ศีรษะถึงเท้า มีกายกับใจเท่านั้น ถ้าเราตั้งใจไว้ผิด การคิด การทำ การพูดก็ผิด เมื่อคิดผิด ทำผิด พูดคิด เราเองก็เดือดร้อน คนอื่นก็เดือดร้อน แต่ถ้าเราตั้งใจไว้ถูก การคิด การทำการพูดก็ถูก เมื่อคิดถูก ทำถูก พูดถูก ผลที่ได้รับ เราเองก็มีความสุข คนอื่นก็มีความสุข

    อนึ่ง เกิดเป็นคน ขอให้ทำตนเหมือนแผ่นดิน ถึงจะอยู่เป็นสุขไม่เดือดร้อน

    ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ท่านผู้อ่าน และท่านผู้มีส่วนร่วมในการพิมพ์หนังสือประวัติครั้งนี้ ด้วยกันจงทุกท่าน เทอญ...ฯ

    พระบวรปริยัติวิธาน
    เจ้าของประวัติ


    นำมาจาก http://watpit.org/index.php?option=c...202&Itemid=106