พุทธวัจน์...คำสอนจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า

กระทู้: พุทธวัจน์...คำสอนจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. lek said:

    พุทธวัจน์...คำสอนจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า

    ถ้ามัวรอให้รู้เรื่องที่ไม่เป็นเสียก่อน...ก็ตายเปล่า

    มาลุงกยะบุตร! เปรียบเหมือนบุรุษหนึ่ง
    ถูกลูกศรอันกำซาบด้วยยาพิษอย่างแรงกล้า,
    มิตร อมาตย์ ญาติสาโลหิตจัดการเรียกแพทย์ผ่าตัดผู้ชำนาญ
    บุรุษอย่างนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า...
    "ถ้าเรายังไม่รู้จักตัวบุรุษ
    ผู้ที่ยิงเราว่าเป็นกษัตริย์ พราหมณ์
    เวสส์ ศูทร ชื่อไร โคตรไหนฯลฯ,
    ธนูที่ใช้ยิงนั้นเป็นชนิดหน้าไม้หรือเกาทัณฑ์ฯลฯเสียก่อนแล้ว,
    เรายังไม่ต้องการจะถอนลูกศรอยู่เพียงนั้น"

    มาลุงกยะบุตร! เขาไม่อาจรู้ข้อความที่เขาอยากรู้นั้นได้เลย ต้องตายเป็นแน่แท้!

    อุปมานี้ฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้นเหมือนกัน,
    บุคคลผู้นั้น กล่าวว่า เราจักยังไม่ประพฤติพรหมจรรย์
    ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า จนกว่า...
    พระองค์จักแก้ปัญหาทิฐิ 10 แก่เราเสียก่อน,
    และตถาคตก็ไม่พยากรณ์ปัญหานั้นแก่เขา
    เขาก็ตายเปล่า...โดยแท้

    มาลุงกยะบุตร! ท่านจงซึมทราบสิ่งที่เราไม่พยากรณ์ไว้
    โดยความเป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์...
    ซึมทราบสิ่งที่เราพยากรณ์ไว้...
    โดยความเป็นสิ่งที่เราพยากรณ์...
    อะไรเล่าที่เราไม่พยากรณ์?
    คือความเห็น 10 ประการว่า
    โลกเที่ยง...โลกไม่เที่ยง
    โลกมีที่สิ้นสุด...โลกไม่มีที่สิ้นสุดฯลฯ(เป็นต้น),
    เป็นสิ่งที่เราไม่พยากรณ์

    มาลุงกยะบุตร! อะไรเล่าที่เราพยากรณ์?
    คือสัจจะว่า "นี้เป็นทุกข์, นี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์,
    นี้เป็นความดับไม่เหลือของทุกข์,
    และนี้เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์
    ดังนี้....นี้เป็นสิ่งที่เราพยากรณ์

    เหตุใดเราจึงพยากรณ์เล่า?
    เพราะสิ่งๆนี้ย่อมประกอบด้วยประโยชน์
    เป็นเงื่อต้นของพรหมจรรย์
    เป็นไปพร้อมเพื่อความหน่ายทุกข์
    ความคลายกำหนัด ความดับ ความระงับ
    ความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม และนิพพาน
     
  2. lek said:

    Re: พุทธวัจน์...คำสอนจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า

    ผู้ไม่เข้าไปหา...ย่อมหลุดพ้น

    ผู้เข้าไปหา เป็นผู้ไม่หลุดพ้น
    ผู้ไม่เข้าไปหา...เป็นผู้หลุดพ้น

    วิญญาณซึ่งเข้าถือเอารูปตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้,
    เป็นวิญญาณที่มีรูปเป็นอารมณ์ มีรูปเป็นที่ตั้งอาศัย,
    มีนันทิ(ความเพลิน)เป็นที่เข้าไปส้องเสพ
    ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ได้

    วิญญาณซึ่งเข้าถือเอาเวทนาตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้
    เป็นวิญญาณที่มีเวทนาเป็นอารมณ์
    มีเวทนาเป็นที่ตั้งอาศัย ...
    มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ
    ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ได้

    วิญญาณซึ่งเข้าถือเอาสัญญาตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้
    เป็นวิญญาณที่มีสัญญาเป็นอารมณ์
    มีสัญญาเป็นที่ตั้งอาศัย...
    มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ
    ก็ถึงความเจริญ งอกงาม และไพบูลย์ได้

    วิญญาณซึ่งเข้าถือเอาสังขารตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้
    เป็นวิญญาณที่มีสังขารเป็นอารมณ์
    มีสังขารเป็นที่ตั้งอาศัย...
    มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ
    ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ได้

    ผู้ใดจะพึงกล่างอย่างนี้ว่า....
    "เราจักบัญญัติซึ่งการมา การไป การจุติ การอุบัติ
    ความเจริญ ความงอกงาม และความไพบูลย์ของวิญญาณ
    โดยเว้นจากรูป เว้นจากเวทนา เว้นจากสัญญา และเว้นจากสังขาร"
    ดังนี้นั้น, นี่ไม่ใช่ฐานะที่จักมีได้เลย

    ถ้าราคะในรูปธาตุ ในเวทนาธาตุ ในสัญญาธาตุ
    ในสังขารธาตุ ในวิญญาณธาตุ เป็นสิ่งที่ท่านละได้แล้ว

    เพราะละราคะได้ อารมณ์สำหรับวิญญาณก็ขาดลง
    ที่ตั้งของวิญญาณก็ไม่มี...
    วิญญาณอันไม่มีที่ตั้งนั้นก็ไม่งอกงาม
    หลุดพ้นไปเพราะไม่ถูกปรุงแต่ง
    เพราะหลุดพ้นไปก็ตั้งมั่น
    เพราะตั้งมั่นก็ยินดีในตนเอง
    เพราะยินดีในตนเองก็ไม่หวั่นไหว
    เมื่อไม่หวั่นไหว ก็ปรินิพพานเฉพาะตน

    ย่อมรู้ชัดว่า "ชาตินี้สิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
    กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว ....
    กิยอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้...มิได้มีอีก..." ดังนี้
     
  3. lek said:

    Re: พุทธวัจน์...คำสอนจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า

    กัลยาณมิตรของพระองค์เอง

    อานนท์! ภิกษุผู้ชื่อว่า มีมิตรดี
    มีสหายดี มีเพื่อนดี ย่อมเจริญ
    ทำให้มากซึ่งอริยมรรค
    ประกอบด้วยองค์แปด
    โดยอาการอย่างไรเล่า?

    อานนท์! ภิกษุในศาสนานี้
    ย่อมเจริญทำให้มากซึ่ง...สัมมาทิฐิ,
    สัมมากัปปะ, สัมมาวาจา, สัมมากัมมันตะ,
    สัมมาอาชีวะ, สัมมาวายามะ, สัมมาสติ,
    สัมมาสมาธิ มันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ
    อาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อการสลัดลง

    อานนท์! ข้อนั้นเธอพึงทราบด้วยปริยายอันนี้เถิด
    คือว่า พรหมจรรย์ทั้งหมดนั้นเทียว ได้แก่
    ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี, ดังนี้

    อานนท์! จริงทีเดียว, สัตว์ทั้งหลายผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา
    ได้อาศัยกัลยาณมิตรของเราแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากการเกิด....

    ผู้มีความแก่ชรา, ความเจ็บป่วย, ความตาย, ความโศก,
    ความคร่ำครวญ, ความทุกข์กาย, ความทุกขใจ,
    ความแห้งผากใจเป็นธรรมดา ครั้นได้อาศัยกัลยาณมิตรของเราแล้ว
    ย่อมหลุดพ้นจากความแก่ชรา, ความเจ็บป่วย, ความตาย,
    ความโศก, ความคร่ำครวญ, ความทุกข์กาย, ความทุกข์ใจ,
    ความแห้งผากใจ...

    อานนท์! ข้อนั้นเธอพึงทราบด้วยปริยายอันนี้เถิด
    คือว่า พรหมจรรย์นี้ทั้งหมดนั้นเทียว ได้แก่
    ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี ดังนี้
     
  4. lek said:

    Re: พุทธวัจน์...คำสอนจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย!
    แม้ภิกษุจับชายสังฆาฏิ...
    เดินตามรอยเท้าเราไปข้างหลังๆ
    แต่ถ้าเธอนั้นมากไปด้วยอภิชฌา
    มีกามราคะกล้า...มีจิตพยาบาท
    มีความดำริแห่งใจ เป็นไปในทางประทุษร้าย
    มีสติหลงลืม ไม่มีสัมปชัญญะ...
    มีจิตไม่เป็นสมาธิ แกว่งไป แกว่งมา
    ไม่สำรวมอินทรีย์แล้วไซร้...

    ภิกษุนั้นชื่อว่า...อยู่ไกลจากเรา
    แม้เราก็อยู่ไกลจากภิกษุนั้นโดยแท้
    เพราะเหตุไรเล่า?....

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย!
    เพราะว่าภิกษุนั้น ไม่เห็นธรรม
    เมื่อไม่เห็นธรรม ก็ชื่อว่าไม่เห็นเรา
     
  5. lek said:

    Re: พุทธวัจน์...คำสอนจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า

    มนุษย์เป็นอันมาก...
    ได้ยึดถือเอาที่พึ่งผิดๆ

    มนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมาก...
    ถูกความกลัวคุกคามเอาแล้ว
    ย่อมยึดถือเอาภูเขาบ้าง...
    ป่าไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์บ้าง...
    สวนศักดิ์สิทธิ์บ้าง...
    รุกขเจดีย์บ้าง...ว่าเป็นที่พึ่งของตนๆ

    นั้นไม่ใช่ที่พึ่งอันทำความเกษมให้ได้เลย,
    นั่นไม่ใช่ที่พึ่งอันสูงนสุด
    ผู้ใดถือเอาสิ่งนั้นๆเป็นที่พึ่งแล้ว
    ย่อมไม่หลุดพ้นไปจากทุกข์ทั้งปวงได้

    ส่วนผู้ใด ที่ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง
    แล้วเห็นอริยสัจทั้ง 4 ด้วยปัญญาอันถูกต้อง...
    คือ เห็นทุกข์, เห็นเหตุ เป็นเครื่องให้เกิดขึ้นของทุกข์,
    เห็นความก้าวหน้าล่วงเสียได้ซึ่งทุกข์,
    และเห็นมรรคประกอบด้วยองค์ 8 อันประเสริฐ
    ซึ่งเป็นเครื่องให้ถึงความเข้าไปสงบรำงับแห่งทุกข์

    นั่นแหละ คือ ที่พึ่งอันเกษม,
    นั่นคือ ที่พึ่งอันสูงสุด
    ผู้ใดถือเอาที่พึ่งนั้นแล้ว
    ย่อมหลุดพ้นไปจากทุกข์ทั้งปวง ได้แท้
     
  6. lek said:

    Re: พุทธวัจน์...คำสอนจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า

    ภิกษุ ท. ! กิจอันใด
    ที่ศาสดาผู้เอ็นดูแสวงหาประโยชน์
    เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแล้ว
    จะพึงแก่สาวกทั้งหลาย,
    กิจอันนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย

    ภิกษุ ท. ! นั่น
    โคนไม้ทั้งหลาย,
    นั่น เรือนว่างทั้งหลาย

    ภิกษุ ท. ! พวกเธอทั้งหลาย
    จงเพียรเผากิเลส,
    อย่าได้ประมาท

    พวกเธอทั้งหลาย
    อย่าได้เป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย

    นี่แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนพวกเธอทั้งหลายของเรา

     
  7. lek said:

    Re: พุทธวัจน์...คำสอนจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า

    นันทิ คือ ความเพลิน

    สัมมาปัสสัง นิพพินทะติ
    เมื่อเห็นอยู่โดยถูกต้อง ย่อมเบื่อหน่าย

    นันทิกขะยา ราคักขะโย
    เพราะความสิ้นไปแห่งนันทิ จึงมีความสิ้นไปแห่งราคะ

    ราคักขะยา นันทิกขะโย
    เพราะความสิ้นไปแห่งราคะ จึงมีความสิ้นไปแห่งนันทิ

    นันทิราคักขะยา จิตตัง สุวิมุตตันติ วุจจะติ
    เพราะความสิ้นไปแห่งนันทิและราคะ

    กล่าวได้ว่าจิตหลุดพ้นด้วยดี
     
  8. lek said:

    Re: พุทธวัจน์...คำสอนจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า

    ภิกษูทั้งหลาย!
    บัดนี้...เราจักเตือนพวกเธอทั้งหลาย

    สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
    พวกเธอทั้งหลาย
    จงให้ถึงพร้อมด้วยไม่ประมาทเถิด

    นี่เป็นวาจามีในครั้งสุดท้าย ของตถาคต
     
  9. lek said:

    Re: พุทธวัจน์...คำสอนจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า

    พระธรรม คือ พระพุทธ

    ความคิดอาจมีแก่พวกเธอ อย่างนี้ว่า
    ธรรมวินัยของพวกเรามีพระศาสดาล่วงลับไปแล้ว
    พวกเราไม่มีพระศาสดาดังนี้

    พวกเธออย่าคิดดังนั้น
    ธรรมก็ดี วินัยก็ดี
    ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว
    แก่พวกเธอทั้งหลาย

    ธรรมวินัยนั้น
    จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย
    โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
     
  10. lek said:

    Re: พุทธวัจน์...คำสอนจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า

    "สิ่งนั้น" หาพบในกายนี้
    "แน่ะเธอ! ที่สุดโลกแห่งใดอันสัตว์
    ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ
    เราไม่กล่าวว่า ใครๆอาจรู้ อาจเห็น
    อาจถึงที่สุดแห่งโลกนั้น ด้วยการไป

    "แน่ะเธอ! ในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี้
    ที่ยังประกอบด้วยสัญญา(ความจำ)และใจนี่เอง
    เราได้บัญญัติโลก, เหตุให้เกิดโลก,
    ความดับสนิทไม่เหลือของโลก,
    และทางดำเนินให้ถึงความดับสนิทไม่เหลือของโลกไว้" ดังนี้แล