สายเสียแล้ว


นิยายธรรมะของจีนอีกเรื่องหนึ่ง ที่เล่าสืบต่อกันมาหลายชั่วลูกชั่วหลาน ซึ่งเป็นเรื่องที่มีคติธรรมพอสมควรคือสอนให้คนเรารู้จักเคารพและกตัญญูต่อพ่อแม่ ซึ่งเป็นข้อประจักษ์ชัดว่า ไม่ว่ามนุษย์ชาติไหนก็ตาม พ่อแม่ย่อมเป็นของประเสริฐสุด ควรเคารพทั้งสิ้น ผู้ใดขาดความเคารพกตัญญู ผู้นั้นจะเจริญไปได้อย่างไร

เด็กหนุ่มลูกครอบครัวคนจีนคนหนึ่ง มีอาชีพเลี้ยงแกะ ดำเนินรอยตามตระกูลของเขามาช้านานแล้ว เช้าขึ้นก็ไล่ฝูงแกะไปกลางทุ่ง แล้วปล่อยให้แกะหาอาหารกินเองที่กลางทุ่ง พอเย็นลง ก็ต้อนฝูงแกะกลับบ้าน ทำเช่นนี้เป็นกิจวัตรทุกวัน

แต่เด็กหนุ่มผู้นี้มีความประพฤติไม่ดีอยู่อย่างหนึ่ง ในข้อที่ว่า ไม่เคารพเชื่อฟังในคำสั่งสอนของบิดามารดา จนได้ชื่อว่า เป็นลูกอกตัญญู โดยเหตุที่ขาดความเคารพยำเกรงในบิดามารดาของตนเอง เขาจึงกล้าขึ้นเสียงด่าว่า ผู้เป็นบิดามารดาได้เต็มปากเต็มคำ และร้ายยิ่งกว่านั้น ภายหลังที่บิดาเสียชีวิตลง เหลือแต่แม่ผู้ชราภาพคนเดียว เขาก็เพิ่มความโหดร้ายยิ่งขึ้น ถึงขนาดทุบตีแม่ตนบ่อย ๆ เมื่อเกิดโมโหว่า แม่ทำอะไรให้ไม่ถูกใจ เพราะเหตุที่เขามีภาระต้องนำฝูงแกะออกไปเลี้ยงกลางทุ่งตั้งแต่เช้าจนเย็น อยู่ทางนี้แม่ก็ทำหน้าที่หุงหาอาหาร และนำอาหารมื้อกลางวันไปส่งให้เขากินถึงกลางทุ่งเป็นประจำทุกวัน วันไหน แม่หุงข้าวช้า หรือนำไปส่งไม่ทันใจเพราะอาการหิว แม่ก็ต้องถูกเขาด่าว่า หรือถึงขนาดลงมือลงไม้ทุบตีเอาเลยก็มี ผู้เป็นแม่ก็ได้แต่หลั่งน้ำตาเสียใจในความโหดร้ายของลูก จะว่ากล่าวสอนลูกก็ไม่ได้ เพราะลูกใช้กำลังเหนือกว่า แต่ส่วนใจจริงของผู้เป็นแม่นั้น จะอาฆาตโกรธแค้นลูกที่ทำเช่นสักนิดหนึ่งหรือ ก็เปล่าเลย แม่เสียอีก กลับเป็นห่วงความลำบาก ห่วงความหิวของลูก ต้องรีบงก ๆ เงิ่น ๆ นำข้าวกลางวันไปส่งให้ถึงลูก ให้ลูกได้กินอาหารทันใจอยู่เสมอ เหตุที่ช้าไปบ้าง สายไปบ้าง ก็เนื่องจากว่า แม่นับวันกำลังวังชาก็ย่อมถอยลงไปทุกที ทำอะไรไม่ว่องไวเหมือนสมัยก่อน ๆ แต่ก็เพราะความรักเป็นห่วงลูก ประกอบด้วยความกลัวลูกนั้นเอง แม่จึงต้องทนมีชีวิตลำบากอยู่กับลูกตลอดเวลามา

มาวันหนึ่ง ในขณะที่เด็กหนุ่มผู้นี้ต้อนฝูงแกะของเขาไปเลี้ยงกลางทุ่งและปล่อยให้แกะหากินโดยลำพังเป็นหมู่ ๆ นั้น เขาก็หลบมานั่งพักร้อนอยู่ใต้ต้นไม้ มองดูฝูงแกะแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่งกำลังนอนให้ลูกดูดนมอยู่ ลูกแกะตัวนั้นกำลังคู้ขาหน้าก้มลงดูดนมแม่แกะด้วยความหิวโหย เอร็ดอร่อย แต่มีท่าว่าเคารพในแม่ของตนเองอยู่ด้วย

เด็กหนุ่มนั่งพิจารณาดูภาพลูกแกะกับแม่แกะคู่นั้น ด้วยความสนใจโดยไม่ละสายตา และเมื่อเพ่งพินิจภาพนานไปก็บังเกิดความคิดเรื่อยเปื่อยไปว่า ลูกแกะที่ยังเล็กอยู่นี้ต้องอาศัยนมมารดาเป็นอาหารและต่อชีวิตตนเองให้ยืนนานไป

ฉะนั้น ท่าทางที่มันกำลังดูดอาหารจากนมแม่ของมันนั้นคงจะเต็มไปด้วยจิตสำนึกถึงบุญคุณของแม่ในข้อนี้ จึงมีความเคารพและออดอ้อน ส่วนแม่ก็เอาลิ้นเลียขนของลูกมันด้วยความรักและเอ็นดู สายตามีอาการเชื้อเชิญให้ลูกดูดดื่มน้ำนมจากอกของมันอย่างเต็มใจทุกประการ

เด็กหนุ่มก็นึกลำดับย้อนมาถึงชีวิตของตนเองบ้างว่าเรานี้เมื่อตอนเป็นทารกอยู่ ก็คงจะได้ดื่มน้ำนมจากอกของมารดาในสภาพเช่นนี้เหมือนกัน แม่ก็คงจะรักเราไม่ผิดอะไรกับแม่แกะที่มีต่อลูกแกะ แต่ครั้นบัดนี้เราเติบโตขึ้น เราก็ยังจะอาศัยแรงแม่ให้ช่วยหุงหาอาหารให้เรากินอยู่อีก เราจึงดูไม่ผิดกับทารกที่ยังอาศัยน้ำนมมารดาผิดกันแต่ว่าเป็นข้าวปลาอาหารที่แม่ต้องจัดให้เราเป็นประจำทุกวัน

คิดลำดับถึงตอนนี้ ก็หวนระลึกได้ว่าแม่เป็นผู้หุงหาอาหารให้เรากิน เลี้ยงเรามาตั้งแต่ยังเป็นทารกจนกระทั่งเติบใหญ่ เรานี้ไม่เคยเป็นฝ่ายหุงหาให้แม่เลย มิหนำซ้ำวันใดแม่หาอาหารมาส่งเราช้าไป หรือรสอาหารไม่ถูกปากเราเพียงนิดเดียว เราก็ตำหนิติเตียนแม่ ถึงใช้คำหยาบ ๆ กับแม่ ตบตีแม่ อนิจจา ! นี่เราเป็นสัตว์หรือเป็นคนกันแน่ ? เหตุไฉนจึงต้องกระทำกิริยาเช่นนี้ตอบแทนแก่แม่บังเกิดเกล้าของเราเอง แม้แต่สัตว์เดรัจฉานแท้ ๆ มันยังรู้จักเคารพรักแม่ เรานี้เป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ รู้สารพัดกว่าสัตว์ แต่กระทำตนเองให้เลวเสียยิ่งกว่าสัตว์

ด้วยจิตสำนึกเช่นนี้ เด็กหนุ่มก็บังเกิดสำนึกถึงความผิดของตนเองได้ เกิดความสงสารแม่ผู้งก ๆ เงิ่น ๆ ต้องลำบากตรากตรำในการหิ้วอาหารมาส่งลูกขึ้นมาฉับพลันน้ำตาก็ไหลเอ่อออกมา แทบจะลุกโลดกลับไปหาแม่ เพื่อสารภาพถึงความผิดที่แล้ว ๆ มากับแม่ ให้แม่ได้ชื่นใจทันทีทันใด

ก็ขณะนั้นเป็นจังหวะที่หญิงชราผู้เป็นแม่ กำลังหิ้วตะกร้าอาหารจะนำมาส่งตามเวลาเป็นกิจวัตร เด็กหนุ่มมองเห็นร่างของแม่แต่ไกลก็จำได้ รีบลุกขึ้นด้วยความตั้งใจว่าจะรีบเข้าไปรับถึงมือแม่เสียก่อน ที่จะปล่อยให้แม่ต้องนำมาให้ถึงที่ ขณะนั้น แม่ยังอยู่อีกไกลพอสมควร ดังนั้น เขาจึงรีบวิ่งตรงจะไปหาแม่ทันที

ฝ่ายหญิงชราผู้เป็นแม่นั้น ครั้นเหลือบมองเห็นลูกชายวิ่งพรวดพราดจะมาหาแต่ไกล และใกล้จะถึงนั้น ก็เกิดความเข้าใจผิด คิดว่า เห็นทีลูกคงจะโมโหจัดเต็มที่ในความเชื่องช้าของเราในวันนี้ก็ได้ วันนี้เราเห็นจะไม่พ้นถูกลูกทุบตีเอาอีกเป็นแน่ ด้วยความคิดเช่นนี้ นางก็หยุดชะงัก ตกใจ กลัวจนตัวสั่น และลังเลใจว่า จะหนีหรือจะให้ลูกเฆี่ยนตีดีแน่ แต่ถ้าปล่อยให้ลุกตี นอกจากเราจะเจ็บตัวแล้ว ก็จะพลอยเป็นบาปแก่ลูกด้วย ความเจ็บปวดนั้นพอทนได้แต่ไม่อยากจะให้ลูกมีบาปติดตัวไปมากกว่า นางจึงตัดสินใจหันหลังออกกลับวิ่งหนีทั้ง ๆ ที่ใจยังเป็นห่วง กลัวว่าอาหารที่อยู่ในตะกร้าจะหกออกหรือเสียหาย ก็พยายามประคองอาหารในตะกร้าไว้ วิ่งไม่ได้เร็วดังใจหมาย แต่ก็ต้องหนีไว้ก่อน

ข้างเด็กหนุ่มครั้นเห็นมารดาหันหลังกลับด้วยสำคัญผิดคิดว่าตนจะไปทำร้าย ก็ร้องตะโกนออกไปว่า “ แม่อย่าหนี “ แต่เสียงที่ตะโกนนั้น กลับไปทำให้แม่ยิ่งเข้าใจผิดหนักเข้าไปอีก ด้วยคิดว่าลูกขู่ ก็เลยเร่งฝีเท้าออกวิ่งเร็วขึ้น และคิดเอาอีกว่า วันนี้ลูกคงจะโมโหหิวจัดจึงโกรธแม่ถึงขนาดมากมายเอาเช่นนี้

และขณะที่วิ่งหนีมานั้น นางก็อดน้ำตาไหลพรากไม่ได้ ด้วยคิดว่า ชาตินี้ตนช่างมีกรรมหนัก มีลูกชายคนหนึ่งก็หวังพึ่งในเวลาแก่เฒ่า แต่ก็ต้องกลับเป็นขี้ข้าให้แก่ลูกมิหนำซ้ำยังต้องถูกคุกคามจากลูกให้ได้รับความทรมานใจอย่างแสนสาหัสอีกด้วย

ครั้นวิ่งมาถึงทางข้างหน้า ซึ่งเป็นบ่อน้ำกว้างใหญ่ขวางอยู่ ซึ่งจะหลีกไปก็คงพ้น แต่กลับทำให้นางต้องตัดสินใจทันใดว่า จะมีชีวิดอยู่ทำไม ควรจะกระโดดน้ำตายเสียดีกว่า เพราะอยู่ต่อไปตนเองจะต้องทุกข์แล้ว ลูกก็จะต้องมีบาปมหันต์เพิ่มขึ้นไปอีก เพราะนางเป็นแม่

ด้วยคิดเช่นนี้ นางจึงหยุดที่ปากบ่อ แล้วค่อย ๆ วางอาหารลงข้าง ๆ หันกลับมามองลูกซึ่งใกล้เข้ามาเต็มที นางยังอุตส่าห์ตะโกนบอกลูกว่า “ ข้าวในตะกร้านี้ที่แม่เอามา กินเสียน่าลูก แม่ขอลาก่อน ” แล้วทันใดนั้นนางก็ตัดสินใจหันกลับเข้ามาที่ปากบ่อ เตรียมจะกระโดด ลุกชายก็ร้องตะโกนไปว่า “ แม่ นั่นจะทำอะไร เดี๋ยวก่อน แม่….แม่อย่าโดด!”

แต่สายไปเสียแล้ว ร่างของแม่กระโจนลงไปในบ่อนั้น กว่าลูกจะวิ่งมาถึง ร่างแม่ก็จมหายลงไปใต้น้ำนั้นแล้ว ถึงหากจะลงไปงมเอาขึ้นมาได้ แม่ก็คงจะสำลักน้ำขาดใจตายเสียก่อน ด้วยว่า น้ำในบ่อนั้นลึกเหลือขนาดที่จะดำลงไปค้นหาได้ง่ายนัก จะมีประโยชน์อะไร ถ้าคนเรามาระลึกถึงความผิดของตนเองได้ ก็ต่อเมื่อทุกสิ่งสายไปเสียแล้ว ทำไมจึงไม่คิดเสีย แต่แรกว่า



รักใดเล่ารักแน่เท่าแม่รัก ผูกสมัครรักมั่นมิหวั่นไหว
ห่วงใดเล่าเล่าห่วงดังดวงใจ ที่แม่ให้กับลูกอยู่ทุกครา
ยามลูกขื่นแม่ขมตรมหลายเท่า ยามลูกเศร้าแม่โศกวิโยคกว่า
ยามลูกหายแม่ห่วงคอยดวงตา ยามลูกมาแม่หมดลดห่วงใย


ขอขอบคุณที่มาคะ http://www.geocities.com/watprempracha/nitan/ni-say.htm