ผมขอเพิ่มเติมนะครับ หากเมื่อมีสติ ศีล พรหมวิหาร๔ ทาน แล้วยังอัดอั้น อึดอัดใจอยู่ ลองพิจารณาดังนี้ครบั
1. ผมเองก็กลับมาถือศีลได้ซักพักระยะหนึ่งโดยที่คำสอนของท่านโนอาร์กล่าวว่าหลสงปู่ชาสอนว่าให้มี "เจตนาที่จะมีศีล" ซึ่งทำให้ผมเกิดเป็นความหนักแน่นที่เราตั้งใจจะทำ
2. หากทำด้วยเจตนาไปแล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันยังมีกระตุ้นใจให้ทำผิดอยู่อีก ผมก็จะย้อนระลึกในแนวทางที่ผมเห้นมาจากกัมมัฏฐานคือ รู้ข้อดี-ข้อเสียของการมีศีลและไม่มีศีล รู้โทษของสิ่งที่เราละเมิดหรือทำอยู่นั้น เช่น กินเหล้าก็รู้โทษของเหล้า พิจารณาข้อเสียของเหล้ากินแล้วเราเสพย์สุขอย่างไร แต่ต้องสูญเสียอะไรแลกกันบ้าง การไม่ดิ่มเหล้าเราเสียอะไรไปบ้างแล้วได้อะไรกลับมาบ้างเป็นต้น ใช้สติหวนระลึกพิจารณาเพื่อให้ใจรู้ถึงโทษของมันจนรู้เบื่อหน่าย รู้จักพอในสิ่งนั้น
- พิจารณาในข้อที่ 1-2 กลับไปกลับมาเรื่อยๆจะเกิดการคลายอาการที่จะละเมิดศีลนั้นลง
3. หากเมื่อกระทำในข้อที่ 1-2 แล้ว แต่สภาพความรู้สึกที่ อัดอั้นใจ กรีดทะยานใจ อึดอัดใจ สั่นหวีดใจ อัดทะยานต้องการ นั้นยังทรงตัวอยู่ ให้หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆคุมสติและสมาธิจิตก่อน แล้วระลึกถึงความสงบ อบอุ่นผ่องใส เบาบาง ไม่นักอึ้ง ไม่ขุ่นมัวใจ ในสภาพจิตที่เรามีศีลนั้นมัน สะอาด สงบ ผ่องใน เบาบางขนาดไหน ไม่ต้องไปคิดเกรงกลัวว่าจะพลั้งพลาดสิ่งใด ไม่ต้องไปวาดระแวงใดๆ รู้แค่ว่ามันสดใน สงบ มีอารมณ์สุขกว่าที่เราพลั้งเผลอหรือตั้งใจที่จะกระทำสิ่งที่ผิดต่อตนเองและคนอื่น ทรงอารมณ์กุศลจิตจากการมีศีลนี้ให้ได้ จิตใจจะคลายสภาพที่ อัดอั้นใจ กรีดทะยานใจ อึดอัดใจ สั่นหวีดใจ อัดทะยานต้องการ นั้นได้
4. ธรรมดาของคนปกติก็มีพลั้งพลาดผิดพลาดในศีล ศีลบริสุทธิ์จริงทำได้ยาก เป็นเพียงแต่พระโสดาบันขึ้นไปจึงคงอยู่ได้ด้วยความไม่ติดขัดใจ ท่านโนอาร์ก็สอนผมมาอย่างนี้เช่นกันครับ
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ