อุเบกขาสันตีรณวิปากจิต

กระทู้: อุเบกขาสันตีรณวิปากจิต

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:
    .
    ก่อนตายของชาติที่แล้ว
    เราทุกคนจะมีกรรมนำเกิด (ชนกกรรม)
    มาปรากฏเป็นอารมณ์ตอนใกล้จะตาย
    ตรงนี้ คือ กรรมอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์ หรือ คตินิมิตอารมณ์ จะปรากฏเป็นอารมณื คือกรรมนำเกิด
    แล้วจิตดับจากชาติที่แล้ว ซื่งจุติจิต จะทำหน้าที่จุติกิจ
    ใช่ครับ
    ในวิถีจิตสุดท้ายตอนจะตาย
    เมื่อกรรมนำเกิดมาปรากฏ
    เป็นอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งก่อนที่จุติจิตจะเกิด
    คือมาปรากฏเป็น กรรมอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์ หรือคตินิมิตอารมณ์
    หลังจากนั้นแล้ว จุติจิตซึ่งเป็นจิตสุดท้ายของชาติที่แล้วก็ดับลง
    ก็เคลื่อนจากภพชาตินั้นทันที




    ปฏิสนธิจิตนี้เป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรม
    ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ก็เกิดในสุคติภูมิ
    เช่น มนุษย์ เทวดา พรหม ฯลฯ
    สำหรับคนทั่วๆ ไป ก็จะปฏิสนธิ
    ด้วยมหาวิบากจิตดวงใดดวงหนึ่งใน 8 ดวง
    ส่วนผู้ที่เกิดด้วยผลของกุศลซึ่งมีกำลังอ่อน
    ก็จะปฏิสนธิด้วยอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากจิต
    เป็นผู้ที่พิการแต่กำเนิด
    เมื่อจุติจิตดับ ปฏิสนธิจิตจะเกิดต่อ ทำหน้าที่ปฏิสนธิกิจ ตามอารมณ์ที่ปรากฏเป็นอารมณ์สุดท้าย ของกุศลกรมมและอกุศลกรรม
    ใช่ครับ
    ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อในภพชาติใหม่ทันที
    โดยมีกรรมนำเกิดที่ปรากฏเป็นอารมณ์ก่อนตายของชาติที่แล้วนั้นเองเป็นปัจจัย
    หากเป็นผลของกุศลกรรม ก็เกิดในสุคติภูมิ
    ปฏิสนธิด้วยมหาวิบากจิตดวงใดดวงหนึ่งใน 8 ดวง
    หรือถ้าเป็นผลของกุศลกรรมที่มีกำลังอ่อน
    ก็ปฏิสนธิด้วยอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากจิต
    เป็นผู้ที่พิการแต่กำเนิด
    แต่หากเป็นผลของอกุศลกรรม ก็เกิดในทุคติภูมิ
    ปฏิสนธิด้วยอุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากจิต




    ผู้ใดเกิดด้วยจิตประเภทใด
    จิตประเภทนั้นก็จะรักษาภพชาตินั้นไว้
    จนกว่าจะตายก็ทำหน้าที่เคลื่อนจากภพชาติ
    ภวังคจิต ทำหน้า้ที่ภวังคกิจ รักษาภพชาตินั้นไว้จนกว่าจะเคลื่อนจากชาตินั้นคือจุติจิตอีกครั้ง
    ถูกต้องครับ




    ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต จุติจิต ที่เกิดขึ้นนี้
    ยังไม่ใช่วิถีจิตที่จะไปรับรู้อารมณ์ใดๆ ของภพชาตินั้น
    ไม่ได้อาศัยทวารใดเป็นทางรับรู้อารมณ์ของภพชาตินั้นเลย
    ยังไม่มีการเห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส ไม่รู้สัมผัส
    ไม่มีการนึกคิดเป็นเรื่องราวใดๆ เลย
    ตรงนี้กล่าวถึงที่อยู่ในท้องใช่ป่ะค่ะ
    ถ้าเป็นผู้ที่กำเนิดในครรภ์
    ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นก็แน่นอนว่ายังอยู่ในครรภ์
    หลังจากที่ปฏิสนธิจิตดับลง
    จิตดวงต่อไปที่เกิดต่อก็เป็นภวังคจิต
    แล้วก็เป็นภวังคจิตเกิดสืบต่อกันไปเรื่อยๆ
    (จนกว่าจะมีวิถีจิตเกิดขึ้น แต่จะยังไม่เกล่าวถึง)
    ช่วงระยะนี้ก็ยังอยู่ในครรภ์

    และดังที่เรียนให้ทราบว่า
    ภวังคจิตนี้ทำหน้าที่รักษาภพชาติให้ดำรงไว้...ให้ยังไม่ตาย
    ดังนั้น ภวังคจิตนี้ก็จะต้องเกิดดับสืบต่อกันไปเรื่อยๆ อยู่เสมอ
    ตั้งแต่ในครรภ์ จนกระทั่งคลอดออกมา
    จนกระทั่งโต จนกระทั่งก่อนจุติจิตจะเกิดน่ะครับ

    แต่...ชีวิตนี้ไม่ได้มีแค่ภวังคจิตที่รักษาภพชาติ
    แต่ยังมีวิถีจิตเกิดขึ้นรับรู้อารมณ์ต่างๆ ด้วย
    จึงมีการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส และนึกคิดต่างๆ นาๆ
    เกิดขึ้นสลับกันไปด้วยอย่างมากมายน่ะครับ

    ขณะใดที่เราพอจะรู้ว่านี้คือภวังคจิต
    ก็คือขณะที่กำลังหลับสนิทนั่นเองคับ
    ขณะที่กำลังหลับสนิทนั่นแหละ
    คือภวังคจิตที่เกิดดับสืบต่อไปเรื่อยๆ นั่นเองครับ




    แต่กระนั้น ชื่อว่าจิตแล้วก็ต้องมีอารมณ์ของจิตเสมอ
    ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต จุติจิต ในภพชาติเดียวกันนั้นจะมีอารมณ์เดียวกัน
    คืออารมณ์ใกล้ตายของชาติที่แล้ว
    ซึ่งก็ได้แก่ กรรมอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์ หรือ คตินิมิตอารมณ์
    อย่างใดอย่างหนึ่งนั่นเอง ซึ่งก็คือกรรมนำเกิด
    ที่ปรากฏเป็นอารมณ์สุดท้ายก่อนตายของชาติที่แล้วนั่นเองครับ
    คืออารมณ์เดียวกัน นี้คือขณะที่อยู่ในท้องหรือค่ะ
    ตั้งแต่อยู่ในท้องจนกระทั่งคลอด
    กระทั่งโต กระทั่งจะตายอีกรอบนึงเลยครับ
    ถ้าอ่านหัวข้อก่อนหน้านี้ ก็จะเข้าใจครับ


    อนุโมทนาอย่างยิ่งเลยครับ
    เริ่มค่อยๆ เข้าใจเป็นลำดับขึ้นแล้ว
    สาธุครับ




    เดฟ

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  2. รูปส่วนตัว oubasika

    oubasika said:
    คืออารมณ์เดียวกัน นี้คือขณะที่อยู่ในท้องหรือค่ะ
    ตั้งแต่อยู่ในท้องจนกระทั่งคลอด
    กระทั่งโต กระทั่งจะตายอีกรอบนึงเลยครับ
    ถ้าอ่านหัวข้อก่อนหน้านี้ ก็จะเข้าใจครับ
    อารมณ์เดียวกันตามที่อุบาสิกาเข้าใจนะค่ะ ผิดถูกก็ตามปัญญานะค่ะแต่เพราะสะสมความไม่รู้มาเยอะกว่าค่ะ^^
    คือ เมื่อมีอารมณ์มาปรากฏเป็นอารมณ์สุดท้ายก่อนจุติ ซึ่งเป็นกรรมนำเกิด

    >>เมื่อ...จุติจิตด้วยอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง
    >>แล้วปฏิสนธิด้วยจิตดวงใดดวงหนึ่ง คือมหาวิบากจิตดวงใดดวงหนึ่งใน 8 ดวง , อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก จิต , อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากจิต ซึ่งเป็นผลมาจากอารมณ์นั้น
    >>
    แล้วภวังคจิตก็เกิดต่อ เพื่อรักษาภพชาติจนกว่าจะตาย ซึ่งเป็นผลมาจากอารมณ์นั้นเช่นกัน .

    จึงเรียกว่ามีอารมณ์เดียวกันคือผลมาจากอารมณ์เดียวกันนั้นเอง ถูกต้องมั้ยค่ะ



    แต่...ชีวิตนี้ไม่ได้มีแค่ภวังคจิตที่รักษาภพชาติ
    แต่ยังมีวิถีจิตเกิดขึ้นรับรู้อารมณ์ต่างๆ ด้วย
    จึงมีการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส และนึกคิดต่างๆ นาๆ
    เกิดขึ้นสลับกันไปด้วยอย่างมากมายน่ะครับ
    จิตที่เกิดขึ้นรับรู้ทางทวารต่างๆ ตรงนี้คือวิบากจิตที่ส่งผลในปวัตติกาลใช่มั้ยค่ะ



    ต้องขออภัยด้วยนะค่ะ ถ้าคำถามซ้ำๆไป ซ้ำๆมา เพื่อความเข้าใจจริงๆค่ะ ขอบพระคุณค่ะพี่เดฟ

    อุบาสิกา


    *กิจโฉ มนุสสปฏิลาโภ การเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นแสนยากส์
    *


     
  3. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:
    .
    ลองดูภาพนี้ประกอบคำอธิบาย
    จะช่วยให้ชัดเจนขึ้นครับ




    จากในภาพ
    ก่อนตายจากชาติที่แล้ว
    ในมรณาสันนวิถีมีอารมณ์ที่นึกถึงใส่บาตร
    อารมณ์นี้เป็นกรรมนำเกิดในชาติต่อไป
    แล้วจุติจิตของชาติที่แล้วเกิดขึ้นดับไป (ตาย)

    จะสังเกตได้ว่า จุติจิตในชาติที่แล้ว
    ไม่ได้มีอารมณ์เดียวกับตอนที่กำลังจะตายในขณะนั้น
    แต่ว่าจะเป็นอารมณ์เดียวกับก่อนตายของชาติก่อนหน้านั้น
    (ตามตัวอย่างสมมติให้เป็นเห็นพระ)

    จากนั้น ปฏิสนธิจิตก็เกิดสืบต่อในชาติปัจจุบัน
    มีอารมณ์เดียวกันกับก่อนตายของชาติที่แล้วคือใส่บาตร
    เมื่อปฏิสนธิจิตดับลง ภวังคจิตก็เกิดสืบต่อเพื่อรักษาภพชาติ
    ภวังคจิตนี้ก็มีอารมณ์เดียวกันกับปฏิสนธิจิต
    และเป็นอารมณ์เดียวกันกับก่อนตายของชาติที่แล้วคือใส่บาตร

    จากนั้น ตอนจะตายของชาติปัจจุบัน
    ในมรณาสันนวิถีนึกถึงตกปลาเป็นอารมณ์ นี้เป็นกรรมนำเกิด
    พอจุติจิตเกิดขึ้นดับไป
    (มีอารมณ์เดียวกันกับภวังคจิตและปฏิสนธิจิตของชาติเดียวกัน)
    ปฏิสนธิจิตก็เกิดขึ้นสืบต่อในชาติถัดไปทันที (มีอารมณ์ตกปลา)

    สรุปคือ
    ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต จุติจิต ในชาติเดียวกัน จะมีอารมณ์เดียวกัน
    เป็นอารมณ์ก่อนจุติจิตของชาติก่อน ซึ่งอารมณ์นี้เป็นกรรมนำเกิด
    แต่ถ้าปฏิสนธิจิต ภวังคจิต จุติจิต คนละชาติกัน ก็คนละอารมณ์กันน่ะครับ


    -----------------------------------------------


    จิตที่เกิดขึ้นรับรู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย
    ได้แก่ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ
    เหล่านี้เป็นวิบากจิตที่เกิดขึ้นรับรู้อารมณ์ต่างๆ ในปวัตติกาลน่ะครับ

    แต่ก็ยังมีรายละเอียดอีกมาก
    เพราะเวลาที่จิตเกิดขึ้นรับรู้อารมณ์หนึ่งๆ นั้น ไม่ได้มีแค่ดวงเดียว
    แต่จะเกิดสืบต่อกันไปหลายดวงที่เรียกว่า วิถีจิต
    ในวิถีจิตหนึ่งๆ นั้นก็มีทั้งที่เป็นวิบากจิต กิริยาจิต และกุศลจิตหรืออกุศลจิต
    ซึ่งจะยังไม่กล่าวถึงตอนนี้น่ะคับ เพราะจะทำให้งงแน่ๆ

    ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต จุติจิต เหล่านี้ก็เป็นวิบากจิต
    แต่ว่าไม่ใช่วิถีจิตที่เกิดขึ้นรับรู้อารมณ์ต่างๆ ของโลกนี้

    ส่วนคำว่า ปวัตติกาล ซึ่งหมายถึงขณะดำรงชีวิตอยู่นั้น
    ไม่ได้หมายความว่าต้องหลังคลอดออกมาแล้วมีชีวิตดำรงอยู่
    แต่ ปวัตติกาล นั้นนับตั้งแต่ฐีติขณะของปฏิสนธิจิตเลยทีเดียว

    จิต 1 ดวงที่เกิดขึ้นดับไปนั้น
    แบ่งเป็นอนุขณะย่อยได้ 3 ขณะ
    คือ อุปาทขณะ (ขณะเกิดขึ้น)....ฐีติขณะ (ขณะตั้งอยู่)....ภังคขณะ (ขณะดับไป)
    จิตทุกดวงที่เกิดขึ้นก็จะต้องมี 3 อนุขณะอย่างนี้

    ปฏิสนธิจิตที่เกิดขึ้นก็เช่นกันน่ะครับ จะมี 3 อนุขณะอย่างนั้น
    ที่เรียกว่าปฏิสนธิกาล คือ อุปาทขณะของปฏิสนธิจิต เพียง 1 ขณะเดียวเท่านั้น
    หลังจากนั้นนับตั้งแต่ฐีติขณะไปแล้ว
    ถือเป็นปวัตติกาลทั้งสิ้นเลยทีเดียวครับ




    เดฟ

    ปล. (มีอธิบายเนื้อหาของภาพไว้ในกระทู้เก่า ความเห็นที่ 6)
    http://www.watkoh.com/board/showthre...รรภ์
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดย D E V : 05-04-2013 เมื่อ 08:56 PM

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  4. รูปส่วนตัว oubasika

    oubasika said:
    อืมมมม เข้าใจแล้วค่ะ ตามที่อุบาสิกาเ้ข้าใจตอนแรก คือเอาจุติจิตจากชาติที่แล้วแต่เอามารวมเป็นอารมณ์เดียวกันกับชาตินี้ จากการได้ดูผังที่แนบมาแล้วมันคนละภพชาติกัน

    ซึ่งจริงๆต้องเป็น แบบนี้
    (ชาติที่แล้ว) เมื่อมี กรรมอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์ คติอารมณ์ มาปรากฏ คือเห็นว่าเรากำลังทำบุญเลี้ยงพระ (คือตรงนี้เป็นกรรมนำเกิดในชาติใหม่) เมื่อวิถีจิตสุดท้ายดับลงในชาติที่แล้ว
    จุติจิต ในชาติที่แล้วเกิดขึ้น ก็ไม่ได้เกี่ยวกับการเห็นว่าเรากำลังทำบุญเลี้ยงพระ (แต่จะจุติจิตด้วยอารมณ์ของชาติก่อนโน้น เห็นว่าเรากำลังเตะหมาทารุณสัตว์ สมมุติเอานะค่ะ)

    (ในชาตินี้) เมื่อจุติจิตในชาติที่แล้วดับลง แล้วปฏิสนธิในชาตินี้เกิดด้วยอารมณ์ของการทำบุญเลี้ยงพระ
    แล้วภวังคจิตก็เกิดขึ้นรักษาภพชาติที่มีอารมณ์ของการทำบุญเลี้ยงพระนั้นแหล่ะ ในชาตินี้
    แล้วจะจุติอีกครั้งในชาตินี้ คือจะตายในชาตินี้ ก่อนตายมีภาพของการแย่งสมบัติมาปรากฏเป็นอารมณ์สุดท้าย แต่จุติจิตในชาตินี้ก็จุติจิตด้วยอารมณ์ของการทำบุญเลี้ยงพระ
    (จึงเรียกว่ามีอารมณ์เดียวกันในภพชาติเดียวกัน)

    (ในชาติหน้า)แต่ปฏิสนธิจิตในชาติต่อไปด้วยอารมณ์ของการแย่งสมบัติ ถูกต้องมั้ยค่ะ555 อันนี้ไม่งงแล้วค่ะ ค่อนข้างเห็นภาพค่ะ(แต่เพิ่มเติมได้นะค่ะถ้ายังคลาดเคลื่อนอยู่)


    สงสัยอีกว่า...
    แล้วสมมุตินะค่ะว่า ถ้าเราไกล้ตายมีอารมณ์ของอกุศลฆ่าหมูปรากฏ
    แต่จุติจิตด้วยอารมณ์ก่อนโน้นสมมุติว่าเป็นอารมณ์กุศลเห็นการทำบุญสร้างโบสถ์
    แล้วจุติจิตการสร้างโบสถ์อันนี้ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลยหรอค่ะ

    อนุโมทนาสาธุค่ะพี่เดฟ.


    อุบาสิกา


    *กิจโฉ มนุสสปฏิลาโภ การเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นแสนยากส์
    *


     
  5. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:
    .
    อนุโมทนาครับ
    เข้าใจได้ชัดเจนขึ้นแล้วครับ

    ส่วนที่ถามตอนท้ายว่า
    หากมีอารมณ์ที่ไม่ดีมาปรากฎก่อนตาย...คือก่อนที่จุติจิตจะเกิด
    แล้วสมมุติว่าจุติจิตที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอารมณ์ที่ดี
    เพราะกรรมนำเกิดจากชาติที่แล้วเป็นกรรมดี
    จะไม่มีผลอะไรเลยหรือ

    ถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ ให้พิจารณา
    ทุกๆ คืนในขณะที่หลับสนิท
    เป็นภวังคจิตที่เกิดดับสืบต่อกันไป
    ขณะนั้นไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้นเลย...ใช่ไหมครับ

    แต่..ภวังคจิตก็มีอารมณ์เดียวกับก่อนตายของชาติที่แล้ว
    เพราะปฏิสนธิจิต ภวังคจิต จุติจิต เป็นวิบากจิตประเภทเดียวกัน
    และในชาติเดียวกันนั้นก็จะมีอารมณ์เดียวกัน
    คืออารมณ์ก่อนตายของชาติที่แล้ว

    ในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด
    ไม่มีใครรู้เลยว่าอารมณ์ก่อนตายของชาติที่แล้วนั้นเป็นอะไร

    ในขณะที่ภวังคจิตเกิด (เวลาที่หลับสนิทและเวลาที่คั่นแต่ละวิถีจิต)
    ก็ไม่มีใครรู้เลยว่าก่อนตายของชาติที่แล้วมีอารมณ์อะไร
    หลับสนิทไม่รู้สึกตัวใดๆ ทั้งสิ้น

    และเมื่อจิตดวงสุดท้ายของภพชาตินี้เกิดขึ้น คือจุติจิต
    ก็ไม่มีใครรู้อีกนั่นแหละ
    ว่าจุติจิตนี้ซึ่งมีอารมณ์เดียวกับก่อนตายของชาติที่แล้ว มีอารมณ์อะไร

    จะเห็นได้ว่า
    แม้ว่าปฏิสนธิจิต ภวังคจิต จุติจิต จะมีอารมณ์เดียวกับก่อนตายของชาติที่แล้ว
    แต่อารมณ์นั้นก็ไม่ปรากฏให้รู้ในชาติปัจจุบันนี้เลย
    เพราะ ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต จุติจิต ไม่ใช่วิถีจิตที่เกิดขึ้นรับรู้อารมณ์ทางทวารต่างๆ
    แต่ว่าเป็นทวารวิมุตติ คือไม่ได้อาศัยทวารเป็นทางรู้อารมณ์
    อารมณ์นั้นจึงไม่ปรากฏให้รู้ได้เลยครับ

    ส่วนในมรณาสันนวิถี
    มีอารมณ์ก่อนตายปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นชนกกรรม
    ขณะนั้นเป็นวิถีจิตนะครับ
    ในมรณาสันนวิถีจึงสามารถรับรู้อารมณ์นั้นได้
    แต่แล้วก็ดับไป หมดไป ทันทีที่จุติจิตเกิดน่ะครับ

    ดังนี้แล้ว
    กรรมนำเกิดที่ปรากฏเป็นอารมณ์สุดท้ายก่อนตาย กับจุติจิตที่เกิดต่อกันนั้น
    จึงเป็นคนละอารมณ์กัน กรรมที่เป็นปัจจัยก็คนละกรรมกัน ไม่มีผลอะไรต่อกันน่ะครับ




    เดฟ

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดย D E V : 05-05-2013 เมื่อ 08:12 PM

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  6. รูปส่วนตัว oubasika

    oubasika said:
    ค่ะสรุปว่า ไม่มีผลอะไรเลยจากจุติจิตที่เกิดขึ้นจากชาติที่แล้ว เพียงแต่เกิดขึ้นทำหน้าที่จุติกิจในอารมณ์เดียวกันกับภพชาติเดียวกันเท่านั้นเอง มีแต่มรณาสันนวีถีจากชาติที่แล้วเท่านั้นเป็นอารมณ์เป็นกรรมนำเกิด ที่มีผลในการปฏิสนธิจิตในชาตินี้..


    จิตที่เกิดขึ้นรับรู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย
    ได้แก่ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ
    เหล่านี้เป็นวิบากจิตที่เกิดขึ้นรับรู้อารมณ์ต่างๆ ในปวัตติกาลน่ะครับ
    ส่วน เรื่องวิบากในปวัิติกาล เข้าใจแล้วค่ะ แต่ส่วนเรื่องรายละเอียดเรื่องวีถีจิต ขอพักไว้ก่อนแค่นี้ค่ะ เดียวถามไปคนตอบก็จะมึนไปด้วย^^
    แล้วก็ยังไม่มีปัจจัยในการตั้งคำถามด้วยค่ะ (เดียวหาตั้งกระทู้ใหม่
    อิอิ)

    จริงตอนแรกอุบาสิกาเข้าใจ คำว่าปวัติกาล ตั้งแต่คลอดนั้นแหล่ะค่ะ
    แต่ถึงบางอ้อแล้วค่ะ ว่าตั้งแต่ปฏิสนธิจิตขณะที่2เลย ที่นับเป็นปวัติกาล

    ขอขอบพระคุณอย่างยิ่งค่ะ ในคำอธิบายเพิ่มปัญญาให้ความเข้าใจค่ะ..สาธุๆๆค่ะ



    อุบาสิกา
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดย oubasika : 05-06-2013 เมื่อ 11:32 PM


    *กิจโฉ มนุสสปฏิลาโภ การเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นแสนยากส์
    *


     
  7. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:
    .
    อนุโมทนาในความเพียร
    ที่สนใจใคร่ศึกษาในพระธรรมคำสอน
    และนำไปประพฤติปฏิบัติตามครับ




    เดฟ

    สรณะคือพระรัตนตรัย