ารมี10ทัศของมหาโพธิสัตว์
ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา ขันติ วิริยะ สัจจะ อธิฐาน เมตตา อุเบกขา บารมี 10 อย่างของพระมหาโพธิสัตว์ก่อนบรรลุโพธิธรรมเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นของประเสริฐที่นักปฏิบัติทั้งหลายพึงกระทำตามให้ได้ ถ้าเราสามารถปฏิบัติหรือว่ารู้ตามสิ่งที่พระมหาโพธิสัตว์ได้กระทำมาด้วยความเพียร ด้วยความอดทน ด้วยสัจจะที่ตั้งมั่น ด้วยปัญญาบารมีอันล้นพ้น จึงประสบผลสำเร็จในที่สุด เพราะฉะนั้นเราเป็นนักปฏิบัติที่เข้ามาปฏิบัติเพื่อจะได้บำเพ็ญสร้างความเพียร เพื่อให้บรรลุรู้ตามในสิ่งที่พระมหาโพธิสัตว์ในทศชาติได้บรรลุรู้ได้อย่างถ่องแท้ ได้ถึงแก่น ได้ถึงราก เข้าสู่จิตที่เป็นมหากุศลอย่างยิ่งใหญ่ จนกระทั่งการเกิดของภพชาตินั้นน้อยลงและสุดท้ายแล้วก็สำเร็จโพธิญาณได้ในที่สุด
ฉะนั้นสิ่งต่างๆ ที่เราได้รับฟังมา หรืออาจจะเรียนรู้มาหรือจากการอ่านมาก็แล้วแต่ สิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็เป็นคุณความดี เป็นของประเสริฐที่มีอยู่คู่โลก คู่กาย คู่จิตและคู่ใจของเรา เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญเพียรเพื่อที่เรานั้นจะได้ถึงการสิ้นสุดของการเกิดของภพชาติในอนาคต ฉะนั้นการปฏิบัติของเรานั้นจะไม่เหมือนในสถานที่ที่มีการฝึกอบรมในทุกๆ แห่ง ของเราไม่ปฏิบัติเพียงแค่เปลือก แต่เราจะปฏิบัติให้ถึงแก่นของธรรมคำสอนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพระมหาโพธิสัตว์หรือพระผู้มีพระภาค
การปฏิบัติถ้าเราปฏิบัติแค่ภาวนา ปฏิบัติเพื่อให้ผ่านพ้นไปในวันหนึ่งๆ ปฏิบัติเพื่อให้รู้แค่คำว่าภาวนา ความคิดเหล่านั้นผิดพลาดอย่างมหันต์ การปฏิบัติแค่ภาวนาไปวันหนึ่งๆ นั้นเพื่อให้รู้ว่าเราภาวนา แต่มันหาประโยชน์อะไรไม่ได้ ภาวนาจิตไม่เป็นภาวนา ภาวนาจิตไม่ถึงซึ่งความละเอียด ภาวนาจิตไม่ถึงความรู้พร้อม การภาวนาต่างๆ นั้นก็หาคุณค่ามิได้ เพราะเราไม่สามารถปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ที่หล่อหลอมเรามา ไม่สามารถปรับเปลี่ยนกิริยา วาจา การกระทำหรือว่าความนึกคิดต่างๆ ได้ ฉะนั้นของทุกอย่างของนักปฏิบัติที่ดีแล้ว ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ปฏิบัติเพื่อให้ได้แก่นธรรม มิใช่ปฏิบัติเพื่อหาความสงบถึงแม้ว่าความสงบนั้นจะมีความสำคัญอย่างยิ่งก็ตาม แต่เราจะต้องล่วงเลยจากความสงบนั้นไปให้ได้ เราไม่หวังเพียงแค่ความสงบ แต่เราหวังให้ได้ภูมิรู้เพื่อจะเป็นแนวทางที่จะนำพาจิตและวิญญาณของเรานั้นไม่ต้องมาเกิดอีก ทุกข์สุขมีอยู่แล้วในโลกเป็นของคู่กายคู่จิตใจของเรามาตลอด ตั้งแต่เราแรกเกิดจนกระทั่งถึงวันที่เราแตกดับ ทุกข์และสุขไม่เคยหนีห่างไกลจากตัวเรา ถ้าเรายังคงภาวนาแค่เปลือกแค่กระพี้ของภาวนานั้น เราก็จะอยู่คู่กับทุกข์และสุขไปตลอดไม่มีวันที่จะพรากจากกันไปได้
ทุกข์สุขในโลกล้วนเป็นของปลอม เป็นอวิชาที่จะนำพาจิตที่เกิดมาแล้วในหลายๆ ภพชาตินั้นก็ยังหลงวนเวียนงมงายอยู่ในโลกสงสารโดยตลอด ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นจากการเกิดไปได้ ฉะนั้นการเข้าถึงแก่นของธรรมขั้นสูงของนักปฏิบัติ ต้องอาศัยความเพียรเป็นหลัก ความอดทน ความขยัน ความตั้งมั่น ถ้าเรามีในหลายสิ่งนี้เราย่อมมีความสำเร็จในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกไม่มีสิ่งใดที่จะยากเกินกว่าความเพียรพยายามของเรา วันนี้เราหายใจอาจจะหยาบภาวนาอาจจะหยาบก็ไม่เป็นไร เพราะทุกสิ่งในโลกต้องอาศัยเวลา ไม่มีผู้ใดที่เกิดมาแล้วรู้พร้อมทั้งหมด ไม่มีผู้ใดเป็นผู้ฉลาดตั้งแต่เกิด ทุกสิ่งทุกอย่างต้องอาศัยวันเวลาเป็นเครื่องหล่อหลอมฉะนั้นการภาวนาเราจึงอย่าท้อถอยอย่าท้อแท้ ไม่ใช่วันนี้เราทำไม่ได้เราก็เกิดความเบื่อหน่าย เพราะว่าสิ่งต่างๆนั้นของที่มีคุณค่าอันประเสริฐที่สุดนี้มิใช่ได้มาโดยง่าย บางครั้งบางคนภูมิเดิมอาจจะไม่มีหรือมีบ้างบางคนก็จะมีภูมิเดิมมาจากดั้งเดิม ฉะนั้นความยากง่ายของผู้ที่ภาวนานั้นก็อาศัยรากฐานจากของเก่ามาบ้าง แต่เราก็ไม่ต้องท้อถอยของทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเราสามารถเริ่มต้นนับหนึ่งได้ สามารถที่จะเริ่มต้นเพื่อค้นหาความเป็นจริงของคำว่าภาวนา ของทุกสิ่งทุกอย่างในโลกไม่เกินความสามารถของคน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะยากเย็นแสนเข็ญขนาดไหน ทุกอย่างเราก็สามารถไขว่คว้านำมาเป็นของเราได้ ถ้าเรามีความเพียร ถ้าตัวเรานั้นมีสัจจะ มีแรงจิตที่เข้มแข็ง มีความตั้งมั่นสูง ไม่มีสิ่งใดที่เราทำไม่ได้ ฉะนั้นการภาวนาต้องวางรากฐานความเข้มข้นของการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงแก่นแห่งธรรมที่แท้จริง เราอย่าเป็นนักภาวนาแค่ดับทุกข์เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นเมื่อความทุกข์คลายก็กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมๆอีก
สถานที่นี้ต้องการฝึกคนให้เป็นอริยบุคคล ให้เข้าถึงแก่นแท้แห่งธรรมที่พระมหาโพธิสัตว์เจ้าที่ปฏิบัติมาแล้วด้วยความเพียรอันสูงสุด สุดท้ายเราก็รับรู้อยู่ว่าก็ได้บรรลุถึงแก่นธรรมขั้นสูง นำมาสอนโลกมาถึงทุกวันนี้ การปฏิบัติเราจึงต้องพยายามให้เวลา ให้โอกาสในทางการปฏิบัติให้เข้มข้นมากกว่านี้ มิเช่นนั้นแล้วเราก็เป็นนักภาวนาเพียงแต่เปลือก เป็นกระพี้ภายนอกของธรรมต่างๆ ของพระผู้มีพระภาคเท่านั้น วันนี้กระทำพรุ่งนี้เราก็ลืม แล้ววันไหนหละที่เราจะสำเร็จได้ ให้เราจะขยับจากคนทั่วไปธรรมดาจากคนหยาบไปสู่คนที่เป็นผู้มีภูมิรู้แห่งความละเอียดได้ ถ้าเราไม่เริ่มต้นปฏิบัติให้มากขึ้นเราจะหาความสำเร็จไม่ได้เลย และถ้าความสำเร็จไม่มีก็ถือว่าเรายังคงหลงอยู่ในโลกสงสารนี้ไปตลอดกาล เปรียบเหมือนบัวในโคลนตมไม่สามารถเบ่งบานหรือว่าเจริญเติบโตเพื่อให้ทรงคุณค่าของดอกบัวที่จะสามารถชูศักยภาพและความสวยงามให้โลกได้รับรู้ ฉะนั้นการภาวนาของเราต้องยึดหลักใจให้มั่นคง ตั้งสัจจะอธิฐานให้แน่นอน เพราะปณิธานอันสูงส่งที่จะเป็นแรงผลักดันให้วาระของจิตนั้นขึ้นสู่ที่สูงให้ได้ ภาวนาอย่าสักแต่ว่าภาวนาเราต้องภาวนาให้เข้าถึงภาวนาให้ได้มากที่สุด
ของทุกสิ่งในโลกไม่ว่าทาน หรือศีล หรือว่าภาวนา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีภายนอกและมีภายในทั้งสิ้น ภายนอกคือความหยาบ ภายในคือความละเอียด ฉะนั้นทานจึงมีทานในทาน ศีลย่อมมีศีลในศีล ภาวนาย่อมมีภาวนาในภาวนา ความดี 3 อย่างแจกแจงละเอียดค่อนข้างจะลึกซึ้ง ตัวอย่างบารมีในทศชาติของพระมหาโพธิสัตว์ก็เฉกเช่นเดียวกัน แต่ทั้งหลายล้วนแล้วแต่ต้องมาจากภาวนาในภาวนาทั้งสิ้น การบรรลุแก่นธรรมที่แท้จริงต้องมาจากภาวนาในภายใน ความลึกซึ้งต่างๆ แก่นธรรมต่างๆล้วนแล้วแต่มาจากปณิธานที่เข้มแข็งที่เข้มข้น นำมาซึ่งการปฏิบัติจนบรรลุรู้ได้อย่างแท้จริง
ฉะนั้นทุกสิ่งที่กล่าวล้วนมีภายนอกและมีภายในทั้งสิ้น ภาวนาทั่วไปในโลกนี้ส่วนมากเป็นภายนอก เข้าไม่ได้ถึงภายในในแก่นแท้ ส่วนใหญ่รู้แค่ภาวนาไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าในภาวนานั้นมีอะไรบ้าง สิ่งต่างๆ ที่เราได้ยินได้ฟังมันจึงมีคุณค่าที่เราควรติดตาม ควรใฝ่หาใคร่ครวญให้ได้มาก ตั้งสัจจะอธิฐานให้ดี ปฏิบัติเป็นแนวทางให้ถึงพร้อมให้ได้ในที่สุด เราจะเป็นผู้ปฏิบัติซึ่ง ทานในทาน ศีลในศีล ภาวนาในภาวนา ให้ได้ เราจะไม่ปฏิบัติแค่ทาน ศีล หรือว่าภาวนาเท่านั้น ใน 3 สิ่งเบื้องต้นเป็นของภายนอกมิใช่ของภายใน แต่ทานในทานศีลในศีลหรือภาวนาในภาวนานั้นเป็นของภายในที่สามารถนำพานักปฏิบัติให้เข้าถึงพร้อมซึ่งแก่นธรรมที่แท้จริงได้ในที่สุด ฉะนั้นองค์ความรู้ต่างๆ จากภาวนาในภาวนานั้นค่อนข้างจะละเอียด การวางรากฐานของสมาธิในเบื้องต้น ของสมถะเพื่อก่อร่างสร้างฐาน เพื่อให้มีรากที่จะยึดติดให้มีความแข็งแกร่ง ให้มีจิตวิญญาณที่ถึงพร้อมที่จะเป็นนักปฏิบัติ ที่เป็นนักปฏิบัติที่แท้จริง การปฏิบัติทั้งหมด
ที่พูดเป็นประโยชน์แก่ตัวเราเองทั้งสิ้น ถ้าเราปฏิบัติไม่ได้การเกิดของภพชาติเราต่อไปลำบาก เพราะเรามีโอกาสตกอยู่ในอบายได้เกือบ 100% การปฏิบัติเพื่อให้ระวังด้วยวิถีแห่งความรู้พร้อมโดยธรรมชาติ ไม่มีการฝืนไม่มีของเทียมมีแต่ของแท้ทั้งหมด ของแท้ต่างๆ ที่เรากระทำต้องอาศัยกำลังใจของความตั้งมั่นของสติที่ถึงพร้อมด้วยจิตที่เข้มแข็งไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคต่างๆ ที่เข้าหาเราในขณะที่เราปฏิบัติ ปฏิบัติจนกระทั่งถึงขั้นภูมิของความรู้แจ้งให้ได้มากที่สุด
ในชาตินี้เราอาจจะไม่บรรลุธรรมขั้นสูง แต่การปฏิบัติของเรานี้ก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่จะเพิ่มพูนทวีค่าขึ้นในทุกๆ วัน การปฏิบัติที่ทรงค่าอันประเสริฐนี้เป็นบุญกุศล กระทำต่อเนื่องเหมือนกับเพิ่มพูนทรัพย์ เพิ่มพูนชะตา เพิ่มพูนโอกาส ไม่ว่าจะเป็นชาตินี้หรือจะเป็นชาติภพต่อไป การเกิดมีจริงเราก็จะได้ล่วงรู้แน่นอนว่าสิ่งที่เราทำนี้มีคุณค่ามหาศาล เป็นอาชีพเดียวในโลกที่ทรงคุณค่าที่สุด ไม่มีอาชีพใดที่จะเสมอเหมือนหรือเทียบเคียงค่าได้เลย ทรัพย์และเงินทองต่างๆ นั้นเป็นของหยาบ เป็นของคู่โลก เราใช้ได้เฉพาะในยามที่เราสามารถเคลื่อนไหวได้เท่านั้น แต่วันใดที่เราดับจากโลกนี้ไป ต่อให้กองอยู่ท่วมตัวเราก็ไม่สามารถนำไปได้ ทุกอย่างมีคุณค่าอยู่ในโลกเท่านั้น แต่ไม่มีคุณค่าต่อจิตวิญญาณของเราเลยแม้แต่สักนิดเดียว เพราะเงินทองทรัพย์สินต่างๆ นั้น เป็นแค่องค์ประกอบที่เราใช้อยู่ในโลกนี้เท่านั้นเพียงแต่แค่บริหารจัดการหรือใช้จ่ายเงินทองต่างๆ นั้นให้มันมีคุณค่าหรือเพิ่มค่าขึ้นมาในยามที่เรานำทรัพย์ต่างๆ นั้นมาใช้ได้เท่านั้น แต่ค่าของเงินนั้นจะหมดค่าโดยทันทีเมื่อวันที่เราดับจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบ้านที่สวยงาม รถยนต์ที่หรูหรา เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยงาม ร่างกายที่ผุดผ่อง ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นล้วนแล้วแต่เป็นของโลก แต่เราลืมไปว่ามันมีสิ่งที่สำคัญอยู่อย่างยิ่งก็คือดวงจิตของเรา ดวงจิตนั้นสะสมทุกอย่างที่เป็นกรรม
กรรมคือการดำเนินชีวิตของเราในปัจจุบันหรือว่าในอดีตที่พ้นผ่าน ฉะนั้นการกระทำต่างๆ สถิตในดวงจิตแน่นอน เราจึงต้องมาภาวนาเพื่อให้เข้าถึงแก่นแห่งการปฏิบัติ เข้าถึงแก่นแห่งความละเอียด เพื่อสามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการการดำเนินชีวิตของเราในทุกๆ วัน ฉะนั้นทรัพย์สิ่งของต่างๆ ที่เรามีอยู่ เราก็พึงใช้ให้มีประโยชน์ใช้ให้มีคุณค่า อย่าใช้โดยสิ่งที่ไม่มีประโยชน์สิ่งที่ไม่มีคุณค่า การกระทำ การปฏิบัติต่างๆ มีผลดีต่อการเกิดของเราในทุกๆ ครั้ง เราจึงต้องพยายามรักษาคุณงามความดีต่างๆ ต้องพยายามทำอาชีพที่สำคัญที่สุดของชีวิตของเราในโลกนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนอนิจจัง ล้วนมีทุกขังอนัตตาในที่สุด ไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะคงอยู่ได้ตลอด แม้กระทั่งทุกข์และสุขที่อยู่ข้างกายเราอยู่ติดตัวเรา มันก็ย่อมมีวันมาและมีวันไปโดยตลอด
สัจจะของความเป็นจริงของโลกจึงเป็นไปด้วยความไม่เที่ยงแท้และแน่นอน มีมาก็ต้องมีไป มีไปก็ต้องมีมา มีทุกข์ก็ต้องหมดทุกข์ได้ มีสุขมันก็หมดสุขได้เหมือนกัน แต่ทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นของปุถุชนคนธรรมดาทั้งสิ้น แต่ผู้ฝึกถึงขั้นอริยะแล้วทุกข์สุขไม่มี ฉะนั้นทุกข์สุขไม่มีการเกิดก็ย่อมไม่มี เราจึงพึงรู้พึงกระทำให้ได้เราจะต้องเข้าถึงภาวนาในภาวนาให้ได้ เข้าถึงทานในทานหรือว่าศีลในศีลให้ได้ในที่สุด วันใดเราเข้าถึงเนื้อในของแก่นธรรมได้ วันนั้นเราจะรู้ว่าสิ่งต่างๆ ที่เราได้มานั้นหาค่าเทียบไม่ได้
สุขแท้หรือทุกข์แท้จึงเป็นของไม่เที่ยง ในเมื่อสิ่งต่างๆ นั้นไม่เที่ยงเราจะพยายามใฝ่หาในสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้นี้ไปทำไม ถ้าเราใฝ่หาเพียงแค่ของรู้จักคำว่า “พออยู่ได้” “ไม่อับไม่จน” สัมมาอาชีพทำได้อย่างสม่ำเสมออย่างพอต่อการใช้ชีวิตของเราในโลกนี้แค่นั้นก็เพียงพอ แต่อาชีพที่จะเสริมให้จิตวิญญาณของเรานั้นไปได้ในทุกโลก ไม่ว่าจะเกิดกี่ภพกี่ชาติก็สามารถไปได้ด้วยดี ฉะนั้นอาชีพนี้จึงเป็นอาชีพพิเศษและเป็นอาชีพที่วิเศษและเป็นอาชีพที่ประเสริฐ ที่จะย้อมจิตย้อมใจนำพาสิ่งที่ดีดีเข้ามาผูกพัน และเข้ามาพัวพันอยู่ในชีวิตของเราในทุกๆ วันเวลา อาชีพนี้เราต้องพยายามฝึกหัดให้เป็นฝึกหัดให้ได้ อย่าใช้ความคิดว่าการปฏิบัติแล้วหาค่าไม่ได้ เพราะว่าเราไปไม่ถึงคำว่าปฏิบัติที่แท้จริง มันจึงไม่มีคุณค่า แต่ถ้าเราปฏิบัติให้ถึงซึ่งแก่นแล้วอันนี้เป็นคุณค่ามหาศาลที่ยากที่จะมีสิ่งใดในโลกหรืออาชีพใดในโลกมาเทียบเคียงได้ เพราะฉะนั้นภาวนาให้ถึงแก่นให้ถึงธรรม พยายามทำให้ถึงพร้อมด้วยจิตวิญญาณทีเกิดศรัทธาด้วยความตั้งมั่น เพื่อให้เข้าถึงหลักธรรมที่แท้จริงของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ชาตินี้ถ้าเราสามารถปฏิบัติได้ถึงความรู้พร้อมนี้ เราจะไม่กลัวเลยว่าเราจะต้องดับไปในวันนี้หรือดับไปในชั่วโมงนี้ เพราะถ้าเราดับเราเกิดดีจะดีกว่านี้ เพราะเมื่อเกิดดีกว่านี้เราจะไปกลัวทำไมว่าเราจะต้องดับ เพราะยิ่งเกิดเราก็ยิ่งสูงขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะมีความประเสริฐ ค่าของเราก็ทีวีค่าขึ้นตลอด ฉะนั้นเราต้องเข้าถึงให้พร้อมให้ได้ภาวนาในภาวนาให้ได้ในที่สุด อย่ากระทำภาวนาเพียงให้รู้ว่าเราภาวนา ต้องนำภาวนาของเราให้ถึงแก่นจิตในส่วนลึกภายในให้ได้มากที่สุด
เมื่อเราภาวนาได้ละเอียดสิ่งต่างๆ ที่เราได้รับฟังในวันนี้เราจะเข้าใจ เราจะเข้าใจได้ถึงหลักแห่งการเกิดของเราในครั้งนี้ว่าเกิดด้วยอะไรสิ่งไหนเป็นเหตุทำให้เราต้องเกิด ฉะนั้นแก่นธรรมของพระผู้มีพระภาคนั้นอาศัยความอดทนอดกลั้นเราจะถึงแก่นธรรมนั้นได้ในที่สุด การภาวนาให้ถึงแก่นแห่งภาวนาให้ถึงแก่นธรรมได้ในที่สุด จึงเป็นสิ่งที่เราต้องกระทำให้ได้ ถ้าเราไม่ช่วยตัวเราเองใครที่ไหนจะช่วยเราได้ ในยามที่จิตแตกดับไม่มีคนใดในโลกหรือบุคคลใดในโลกที่สามารถช่วยเราได้เลย ไม่ว่าคนใกล้ชิดเราที่สุดก็ยังคงช่วยเราไม่ได้ เพราะจิตวิญญาณนั้นของใครของมัน ไม่มีใครสามารถอุ้มชูหรือประคองในการไปเกิดของเราแต่ละภพแต่ละชาติได้ ยกเว้นแต่กองบุญกองกุศลที่สามารถประคองและนำพาเราเดินทางสู่ห้วงเวลาของภพใหม่ ไปจุติในสถานที่ที่ดีเลิศการภาวนาให้ถึงแก่นแห่งภาวนาจึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาล ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติที่เข้าถึงการปฏิบัติอย่างแท้จริงแล้ว เราจะเป็นผู้รู้ได้ในกรรมต่างๆ ที่ไม่ดี ถ้าเราเข้าถึงแก่นแห่งภาวนาในภาวนาแล้ว จิตใจของเราแปรเปลี่ยนจากความแข็งกร้าว จากความทุกข์ร้อน จากความหยาบ ปรับเปลี่ยนเป็นความละเอียดอ่อน เป็นบุคคลที่มีจิตใจที่เยือกเย็นกับเป็นบุคคลที่มีจิตมีความเมตตาสูงกลายเป็นบุคคลที่มีจิตใจสูงในที่สุด ฉะนั้นหลักชีวิตก็คือหลักใจ หลักใจให้ได้ขั้นสูงต้องมาจากภาวนาในภาวนาเท่านั้น สิ่งที่ผ่านมาในอดีตเป็นของปลอมทั้งสิ้น เราต้องนับหนึ่งให้ได้ ต้องพยายามภาวนาให้เป็น ไม่มีสิ่งใดที่เราจะได้โดยง่ายแต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะยากเกินกว่าความตั้งใจของเรา การพัฒนาตัวเราจิตของเราการปฏิบัติของเราให้เพรียบพร้อมในทุกๆ วันต้องเข้าถึงแก่นแห่งภาวนาในภาวนาให้ได้ในที่สุด เราอย่าปล่อยวันเวลาผ่านแล้วผ่านเลย ผ่านแล้วผ่านเลยในทุกๆ วัน เวลาของเรามีมาก วันหนึ่ง 24 ชั่วโมง เราจะภาวนาสัก 2-3 ชั่วโมงมันจะไม่ได้อะไรเลย เราจะไม่นำอาชีพที่พิเศษหรือวิเศษนี้มาจรรโลง มาช่วยเหลือ มาสร้างสรรค์ มาฟอกความดำมืดให้กับจิตดวงนี้เลยหรือ ขอให้นับหนึ่งให้ได้ เริ่มต้นให้ดีและเราจะเป็นนักภาวนาในภาวนาในที่สุด เมื่อวันที่จิตดับสุดท้ายเราจะรู้ว่าสิ่งที่เรากระทำนั้นมีคุณค่ามหาศาลยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ที่เรากระทำในโลกนี้ขอให้ตั้งใจให้ดีตั้งใจให้มั่น เพื่อการเกิดส่งภพส่งชาติของเรานั้นจะได้เป็นไปอย่างมีคุณค่า ยกระดับจิตของเรานั้นให้เหนือปุถุชนคนธรรมดาให้ได้มากที่สุด
ป.จิตธรรม
4-7-56
............................................

26_1_2556 (2)
ทานในทาน ศีลในศีล ภาวนาในภาวนา
การปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงทานในทาน ศีลในศีล และภาวนาในภาวนานั้นองค์ประกอบสำคัญคือการกระทำที่กระทำอย่างสม่ำเสมอ ของภายนอกทุกอย่างล้วนเป็นหยาบ ของที่จับต้องได้ ของที่มองเห็นได้ ล้วนแล้วแต่เป็นของหยาบเป็นวัตถุที่จะสามารถนำมาซึ่งความทุกข์และความสุขได้โดยตลอด
การปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงความรู้พร้อมในสัจธรรมของความเป็นจริงของโลก จึงมุ่งเน้นในการปฏิบัติสมาธิภาวนาให้เข้าถึงแก่นแห่งหลักการภาวนาที่แท้จริง เราจึงสามารถที่จะล่วงรู้ ที่จะเห็นชัด เห็นจริง และเห็นแจ้งได้ในที่สุด เพราะสิ่งต่างๆ ในโลกล้วนนำพาซึ่งความทุกข์ร้อนต่างๆ เข้ามาในชีวิตของเรา ไม่ว่าความทุกข์นั้นจะเกิดจากการเห็น เกิดจากการได้ยิน หรือเกิดจากความนึกคิด การพิจารณาในองค์ประกอบต่างๆ ที่นำมาซึ่งต้นเหตุแห่งความทุกข์นั้นจึงต้องกระทำด้วยการภาวนา แต่ไม่ใช่เพียงแค่ภาวนาอย่างเดียว ต้องพยายามทำความเข้าใจให้รู้ถึงความลึกซึ้งของคำว่าภาวนาให้ได้มากที่สุด จิตที่เป็นภาวนาจะเป็นจิตที่สามารถเพิ่มพูนซึ่งความรู้ต่างๆ เป็นภูมิรู้ที่จะสถิตอยู่ในวาระของจิตของเราอย่างแน่นแฟ้น เมื่อปฏิบัติหรือภาวนามากๆ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ก็จะเห็นภาพที่ชัดเจน เห็นด้วยเหตุเห็นด้วยผลอย่างเต็มภูมิ ดั่งเช่นคำว่า “ทาน”
ทานในเบื้องต้นนั้นมีองค์ประกอบอยู่ 3 แบบ ทานในเบื้องต้นลำดับที่ 1 นั้นก็คือ วัตถุทาน เป็นทานที่กระทำโดยภายนอกเกือบจะทั้งสิ้น คำว่า “วัตถุ” แปลว่า สิ่งของ สิ่งของที่เราจับต้องได้ สิ่งของที่เรานำพาหรือส่งให้แก่กันได้ ฉะนั้นสิ่งต่างๆ ที่จับต้องได้จึงเป็นของหยาบ วัตถุทานจึงเป็นทานหยาบ แต่การปฏิบัติภาวนาเพื่อให้เข้าถึงทานในทานนั้นย่อมมีความละเอียดนอกเหนือจากสิ่งที่เรากระทำ การให้ทรัพย์สิ่งของ ไม่ว่ากับผู้ทรงศีลหรือกับบุคคลธรรมดา หรือว่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นแค่ทานในภายนอกเท่านั้น แต่กับทานภายในนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะทานภายในนั้นเป็นบุญกุศล ทานภายในนั้นต้องเกิดจากภาวะของจิตที่มีความละเอียดสูง เป็นจิตที่มีเมตตา จิตที่มีความกรุณา จิตที่มีความพร้อมที่จะให้ แต่ให้ด้วยจิตภายในไม่ใช่ทรัพย์สิ่งของ การที่ให้ด้วยจิตภายในเป็นการให้ที่ถึงพร้อม จิตที่มีเมตตาที่จะเห็นสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในโลกมีความสุข จิตที่สามารถช่วยเหลือเกื้อกูลให้สิ่งต่างๆ หรือสิ่งมีชีวิตทั้งหลายนั้นให้พ้นจากความทุกข์ได้มากที่สุด ทานในภายนอกกับทานที่เกิดจากวิถีจิตภายในจึงต่างกันด้วยองค์ประกอบที่กล่าวมานี้การให้ทรัพย์สิ่งของด้วยเจตนาที่ดีเป็นสิ่งที่จะทำให้เรานั้นสามารถระงับยับยั้งความเบียดเบียนต่างๆ ได้ เป็นการตัดความโลภและความโกรธหรือความหลงต่างๆ
เมื่อปฏิบัติอยู่เป็นประจำทำได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ทำได้ในทุกครั้งที่มีโอกาส จนกระทั่งจิตนั้นถึงพร้อมด้วยทานโดยธรรมชาติ ทานภายนอกที่ปฏิบัติมาอย่างสม่ำเสมอนั้นย่อมปลูกฝังรากลึกเข้าสู่ห้วงจิตภายใน จนจิตภายในนั้นมีวิถีแหงความเมตตาสูงสุด ที่ถึงพร้อมในการให้ด้วยจิตที่เป็นปรกติ เป็นไปด้วยธรรมชาติที่ถึงพร้อมที่พร้อมที่จะกระทำซึ่งความดีต่างๆ ที่สามารถช่วยเหลือ นำพา หรือเกื้อกูลอนุเคราะห์ต่อสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในโลก ฉะนั้นทานในทานจึงมีองค์ประกอบสำคัญดั่งที่กล่าวมา ก็จะเห็นได้ว่าสิ่งที่เรากระทำนั้นถ้าเกิดจากจิตที่หยาบแล้วก็มิอาจที่จะทำสิ่งที่เราพูดมานั้นได้อย่างเต็มภูมิหรือได้อย่างสมบูรณ์เพราะมันขาดความละเอียด ขาดจิตที่เป็นเมตตา ขาดจิตที่พร้อมที่จะให้
การที่เราปฏิบัติด้วยการภาวนาให้ถึงแก่นความแท้ความจริง เพื่อจะให้ได้มาซึ่งสติและปัญญาที่ถึงพร้อม ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อถึงพร้อมก็ย่อมนำพาในสิ่งที่เราจะไปกระทำต่างๆ นั้น เป็นไปด้วยความสมบูรณ์ ทานในทาน ทานภายนอกก็คือสิ่งที่จับต้องได้ แต่สิ่งที่จับต้องได้นั้นเมื่อกระทำบ่อยๆ กระทำจนชำนาญ มันก็จะไปสถิตแปรเปลี่ยนสภาวะของทานต่างๆ ที่เรากระทำในภายนอกนั้นเข้าสู่วิถีของจิตจนกระทั่งเกิดความเคยชิน กลายเป็นจิตที่มีความเปี่ยมล้น กลายเป็นจิตที่มีเมตตาธรรมอย่างหาที่สุดมิได้ แต่ทานทั้งหลายถ้าขาดหลักของการภาวนาแล้ว วิถีทางแห่งการให้ก็ย่อมไม่ถึงพร้อมอยู่ดี เพราะทานในทานย่อมมาจากการปฏิบัติที่ถึงพร้อม จึงบังเกิดผลที่ประเสริฐได้ วัตถุทานหรือทานหยาบต่างๆ นั้น เป็นของที่อยู่คู่โลก แต่จิตที่เป็นทานที่สมบูรณ์ถึงขีดสุดในภายในนั้น เป็นของที่สถิตอยู่ในแก่นจิตในกายภายในของเรา ผนึกแนบแน่นอยู่กับเราไปตลอด จะเกิดอีกกี่ครั้งจะเกิดอีกกี่หนก็ยังคงติดตามเราไปไม่มีวันห่างหาย
ฉะนั้นวิถีแห่งการกระทำต่างๆ นั้นก็มีมาจากการปฏิบัติทั้งสิ้น การที่เราสามารถมองภาพแห่งการกระทำของเรานั้นได้ละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้นในทุกๆ วันนั้น ก็ต้องอาศัยซึ่งวิถีทางแห่งขันติและความวิริยะเพื่อนำมาซึ่งกำลังจิตและกำลังใจของเรา จิตของเรานั้นแต่เดิมเกิดมาในหลายภพหลายชาติด้วยกระแสกรรมต่างๆ ก็ล้วนมาจากการกระทำในชาติที่ผ่านมาทั้งสิ้น การปฏิบัติภาวนาเพื่อให้ล่วงรู้ถึงการกระทำต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางของการพิจารณา เพื่อให้เกิดภูมิรู้ที่จะนำมาแก้ไขในสิ่งต่างๆ ที่เรากระทำ วิถีทางแห่งการดำเนินชีวิตของเราก็จะเป็นไปด้วยความสำเร็จ ความถึงพร้อมที่จะไม่มีวันผิดพลาด คนเราเกิดมาเป็นผู้ให้พร้อมที่จะให้ ถึงคำว่าผู้ให้ด้วยจิตด้วยใจที่เต็มพร้อมบริบูรณ์ ย่อมเข้าถึงแก่นเข้าถึงหลักการแห่งการใช้ชีวิตของเราได้อย่างสมบูรณ์ จิตที่มีเมตตาจิตนั้นย่อมเป็นกุศล ย่อมเป็นบุญกุศลอันสูงสุด ที่สามารถพัฒนากายจิตให้ไม่บกพร่องไปตามกระแสของโลกได้อย่างแน่แท้ กระแสต่างๆ ในโลกภายนอกไม่สามารถที่จะย้อมจิตย้อมใจของนักภาวนาที่เข้าถึงภาวนาได้อย่างแน่นอน ฉะนั้นแก่นแท้แห่งการภาวนาจึงมีคุณค่าควรแก่การปฏิบัติให้เข้าถึงหลักของความเป็นจริง ของแก่นแท้แห่งวิถีทางแห่งชีวิตของเรา
ทานในทานจะมีความสมบูรณ์ได้ก็ด้วยวิถีจิตของนักปฏิบัติที่เข้าถึงความละเอียดสูงสุด สิ่งต่างๆ ที่บังเกิดย่อมมีคุณค่าต่อโลกสงสารใบนี้ ผู้มีวิถีจิตที่มีความละเอียดจากการปฏิบัติภาวนา ย่อมเป็นบุคคลที่ทรงคุณค่าคนหนึ่งของโลก การเข้าถึงทานในทานนั้นมีความละเอียดอยู่ภายใน เพราะฉะนั้นต้องพยายามปฏิบัติเพื่อเพิ่มพูนสติปัญญาและภูมิรู้ต่างๆ และก็จำแนกแยกแยะล่วงรู้ถึงความละเอียดในวิถีแห่งการให้ในสิ่งต่างๆ เพราะสิ่งนี้จะเป็นต้นทางที่จะสามารถบุกเบิกไปในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมือนอาวุธที่จะสามารถนำมาฟันฝ่า ขจัดซึ่งอุปกิเลสของโลกได้อย่างแน่นอน ถ้าเราปราศจากจิตที่เป็นทานแล้ว เราก็ไม่สามารถเข้าถึงหลักแห่งความเป็นจริงของโลกได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นย่อมย้อมจิตย้อมใจให้เราเกิดซึ่งความโลภ ความหลง ความเพ้อฝันต่างๆ ไม่สามารถหลีกพ้นในการกระทำต่างๆ ที่เป็นภัยต่อบุคคลอื่นหรือกระทั่งตัวเราเอง การให้ทานเป็นการขจัดแล้วซึ่งความโลภ ความโกรธ และความหลง กระแสภายนอกถ้าเราเป็นนักปฏิบัติที่ดีย่อมต้องพยายามละวางให้ได้มากที่สุด น้อมนำในสิ่งที่ดีดีเข้ามาสู่จิตภายในให้มากที่สุด ขจัดแล้วซึ่งความอยากมีหรืออยากได้ในสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่แล้วในกระแสของโลก เมื่อสามารถปฏิบัติได้วิถีแห่งจิตของผู้ปฏิบัตินั้นๆ ก็ย่อมเข้าถึงความลึกซึ้งแห่งการปฏิบัตินั้นได้ในที่สุด ภาวนาเข้าถึงแก่น เข้าถึงหลักแห่งความเป็นคนที่ประเสริฐ ย่อมนำพาชีวิตและการกระทำของบุคคลที่ปฏิบัติเข้าถึงทานที่สมบูรณ์นั้นเป็นไปด้วยดี เป็นไปด้วยจิตใจที่ดีงามโดยตลอด โดยไม่พร่องเลย การปฏิบัติต้องพยายามปฏิบัติให้ถึงพร้อม ปฏิบัติให้ถึงแก่น เมื่อจิตนั้นเป็นธรรมชาติโดยธรรมชาติ จิตนั้นจะมีบุญกุศลที่เต็มล้น เพราะสภาวะของธรรมชาติเป็นบุญกุศล เพราะว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปโดยวาระของจิตที่ปฏิบัติมาดี ขจัดแล้วซึ่งสิ่งที่เป็นโทษต่างๆ ให้หมดจดและงดงามได้โดยตลอด ฉะนั้นคุณค่าแห่งการปฏิบัตินั้นจึงมีความสำคัญ เปรียบเหมือนอาหารทิพย์ที่สามารถนำความเจริญตามภูมิรู้ต่างๆ ให้บังเกิดต่อผู้ปฏิบัตินั้นๆ ได้อย่างสม่ำเสมอ จนทำให้วิถีทางแห่งการกระทำต่างๆ นั้นเป็นไปด้วยความระแวดระวัง ไม่ขาดตกบกพร่องหรือขาดสติในการกระทำในการกำหนดในการกระทำต่างๆ ปฏิบัติจนถึงขั้นภูมิหนึ่งวิถีทางภูมิรู้บังเกิด สิ่งต่างๆ มองได้ด้วยความละเอียดสูงสุดจำแนกแยกแยะได้อย่างถูกต้อง วิถีแห่งภูมิรู้นี้เป็นวิถีแห่งความละเอียดอยู่ในท่ามกลาง ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นทาน หรือว่าธรรมทาน
ทานที่มาแต่เริ่มต้น ทานที่เกิดจากวัตถุ ทานที่เกิดจากจิตภายใน เกิดจากจิตที่มีเมตตาโอบอุ้มเกื้อกูลต่อผู้ที่เดือดร้อนไม่ว่าคนหรือสัตว์ แต่เมื่อจิตนั้นปฏิบัติจนกระทั่งจิตนั้นมีวิถีแห่งภูมิรู้บังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกลายเป็นมีจิตที่เมตตา ก็สามารถนำภูมิรู้ต่างๆ นั้นมาชี้แนวทางแห่งความสว่างของจิตใจ
วัตถุทานเป็นการหยิบยื่นให้ แต่วิถีแห่งธรรมทานเป็นวิถีแห่งการชี้นำโดยใช้วิถีแห่งภูมิรู้ต่างๆ ที่ปฏิบัติมาดี ชี้นำทางสว่างให้กับบุคคลหรือสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้มีแนวทางของการใช้ชีวิตที่สามารถดำเนินไปได้ด้วยสติปัญญาของตัวเอง ฉะนั้นวัตถุทานและธรรมทานจึงต่างกันตรงนี้ วัตถุทานนั้นเป็นการหยิบยื่นให้ด้วยวัตถุหรือสิ่งของ และก็สามารถผ่านพ้นวันเวลาได้ในวันหนึ่งแต่วิถีแห่งภูมิรู้ทีเกิดจากธรรมทาน ที่เกิดจากวิถีแห่งการปฏิบัติจนกระทั่งถึงภูมิรู้ต่างๆ ในขั้นที่สูงขึ้นละเอียดขึ้นนั้น เป็นวิถีแห่งการชี้นำทางสว่างให้กับบุคคลที่เราต้องการช่วยเหลือ วัตถุทานและธรรมทานก็แตกต่างตรงที่การหยิบยื่นให้กับการชี้ทางสว่าง วัตถุทานนั้นไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ธรรมทานนั้นสามารถชี้นำทางสว่างในการดำเนินชีวิตจนกระทั่งบุคคลต่างๆ ที่ได้เรียนรู้หรือรับฟังรู้นำไปเป็นองค์ประกอบในการกระทำหรือในอาชีพต่างๆ ได้อย่างมั่นคง สามารถเดินไปในอนาคตด้วยลำแข้งของตัวเอง
แต่ทั้งสองสิ่งนี้ก็เป็นแค่เบื้องต้น ทานในทานคือวิถีของทานที่สูงสุด แต่ว่าวิถีที่สูงสุดนั้นต้องเกิดจากวิถีจิตที่สูง ต้องเกิดจากจิตที่มีความละเอียดสูงสุด ต้องเกิดจากบุคคลที่ปฏิบัติได้เมตตาธรรมขั้นสูงสุด แต่ถ้าเราไม่มีพื้นฐานจากทานหยาบหรือวัตถุทาน ไม่มีพื้นฐานจากธรรมทาน เราก็จะไม่มีโอกาสที่จะขยับเลื่อนสถานะของจิตของเราขึ้นสู่ภูมิรู้ที่สูงสุดได้ เข้าถึงทานในทานได้ เพราะทานในทานต้องอาศัยวิถีจิตที่มีความละเอียดสูงสุด มีจิตที่ถึงพร้อมด้วยเมตตาธรรมขั้นสูงสุด เป็นจิตที่มีความเอื้อเฟื้อ เป็นจิตที่มีการเสียสละด้วยจิตที่เป็นธรรมชาติที่ถึงพร้อมสูงสุดถึงจะกระทำได้ แต่แนวทางต่างๆ ที่เราปฏิบัติมาตั้งแต่ต้นด้วยการให้ทานอยู่เป็นนิจ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุสิ่งของต่างๆ แด่คนและสัตว์ สิ่งมีชีวิตต่างๆ ในโลก วิถีแห่งการนำพาชี้นำแสงสว่างให้กับบุคคลและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้สามารถยืนหยัดสู้โลกได้อย่างมั่นคงเมื่อสิ่งต่างๆ ในขั้นภูมิต่างๆ ที่นักปฏิบัตินั้นปฏิบัติไปถึงขั้นภูมินี้ จิตย่อมมีความละเอียดขึ้นในทุกวันเวลา สุดท้ายแล้วจิตนั้นเป็นจิตที่มีวิถีของจิตที่สูงสุด เป็นคนที่มีจิตใจสูง เป็นจิตใจที่ถึงพร้อมโดยธรรมชาติเป็นไปโดยธรรมชาติของจิตนั้นในทุกสภาวะไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ที่คับขัน เหตุการณ์ที่ดี เหตุการณ์ที่ไม่ดี ก็จะไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถนำพาสิ่งต่างๆ ที่จะทำให้จิตใจนั้นหมองเศร้าได้ เพราะเป็นจิตที่มีความสมบูรณ์ถึงขีดสุด
ฉะนั้นทานในทานจึงบังเกิดขึ้นจากคนที่ปฏิบัติจนได้ขั้นภูมิ ผ่านขั้นภูมิต่างๆ จากทานหยาบสู่ทานในท่ามกลาง เข้าสู้วิถีของจิตที่สูงสุด เป็นจิตที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นจิตที่พร้อมถึงการให้ที่สูงสุดเหมือนมหาโพธิสัตว์โตที่บังเกิดในทศชาติ สุดท้ายเมื่อทานเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ ก็บรรลุสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มีภูมิรู้สั่งสอนโลกตราบเท่าทุกวันนี้
ทานขั้นสูงสุดนั้นก็คืออภัยทาน จิตที่พร้อมในการให้ พร้อมที่จะเสียสละ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็สามารถถึงพร้อมในการให้ที่สูงสุด ไม่มีการยึดติด ไม่มีการถือโทษละแล้วซึ่งความโกรธ ความโลภ หรือความหลงต่างๆ สามารถกระทำได้อย่างดีเยี่ยม ฉะนั้นทานในทานจึงบังเกิดขึ้นได้ก็ด้วยวิถีแห่งจิตที่ถึงพร้อมเท่านั้น จากความหยาบในทานเบื้องต้นเราจะเห็นชัด ในท่ามกลางเราก็เห็นจริง สุดท้ายทานที่สูงสุดเราก็เห็นแจ้ง แต่ทานในทานนั้นจะต้องเกิดจากวิถีจิตที่สูงเท่านั้น การปฏิบัติจึงเป็นวิถีแห่งการน้อมนำใจให้จิตนั้นมีความสงบ มีความร่มเย็น บังเกิดวิถีแห่งภูมิรู้จนกระทั่งวิถีแห่งภูมิรู้นั้นสามารถนำพาจิตที่มีเมตตาธรรมขั้นสูงสถิตอยู่ในโลกนี้ได้อย่างสมบูรณ์
ทานในทานจึงมีองค์ประกอบดังเช่นที่กล่าวมา ขอให้ทุกคนต้องขยันต้องพยายามหมั่นทำ การให้นั้นเป็นองค์ประกอบสำคัญส่วนหนึ่งของนักปฏิบัติที่ดี เพื่อขจัดแล้วซึ่งความโลภและความหลงต่างๆให้ได้มากที่สุด ถ้าเราทำในระยะแรกเราจะฝืนมาก แต่ถ้าทำบ่อย ทำไปนานๆ จิตนั้นก็จะเป็นธรรมชาติและก็เป็นไปโดยธรรมชาติในที่สุด
ทาน ศีล ภาวนา ทานในทาน ศีลในศีล และภาวนาในภาวนานั้นจึงเป็นของละเอียดที่ละเอียดลึกซึ้ง ต้องเป็นนักปฏิบัติปฏิบัติที่แท้จริงเท่านั้นจึงสามารถเข้าไปเรียนรู้ในแก่นแท้ของสิ่งที่เรากระทำ วันเวลาของเรานั้นมีคุณค่า ต้องพยายามใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ การปฏิบัติขัดเกลาตัวเราเป็นสิ่งที่ประเสริฐ เราเกิดมาเป็นคนดิบต้องพยายามขจัดความดิบนั้นให้ไปจากตัวเราให้ได้มากที่สุด ด้วยการให้ทานที่ถึงพร้อม ให้วิถีจิตแห่งธรรมทานที่สว่างไสว ให้จิตที่มีเมตตา มีความกรุณา มีการช่วยเหลือเกื้อกูลมีความวางในสิ่งที่เป็นภัยต่อบุคคลอื่น หรือสิ่งมีชีวิตต่างๆ ไม่ว่าเป็นสรรพสัตว์ทั้งหลาย เพื่อจะได้ผ่านพ้นวิกฤตของจิตวิญญาณที่เกิดมาในหลายภพชาติ ห่างไกลจากบาปกรรมหรือกระแสแห่งกรรมต่างๆ ที่เข้ามาพัวพันตั้งแต่อดีต เราจะเดินไปในอนาคตอย่างคนที่มีคุณภาพ มีศักยภาพ มีความรู้พร้อม มีจิตที่มีเมตตาธรรมขั้นสูงเพื่อการเกิดของเราต่อไปในภายภาคหน้าจะได้เกิดดีอยู่ตลอด จะไม่ห่วงเลยว่าเราจะต้องตายในวันนี้หรือตายในพรุ่งนี้ เพราะเราสามารถตายได้ในทุกวันหรือดับไปได้ในทุกวัน หรือทิ้งโลกสงสารใบนี้ไปได้ในทุกวัน เพราะเราถึงพร้อมซึ่งคุณงามความดีที่พร้อมที่จะยกระดับฐานะในการเกิดของเราในทุกๆ ชาติ ทุกๆ ภพต่อไปในภายภาคหน้า ขอให้ปฏิบัติอย่างจริงๆจังๆ ให้เปรียบเหมือนอาหารที่จะต้องมาบำรุงเลี้ยงดูจิตใจของเรานั้นให้ได้อย่างถึงพร้อมในที่สุดเหมือนกับการเลี้ยงกายของเรามาตลอด ขอให้พึงกระทำให้ได้ กระทำให้บ่อยขจัดซึ่งความหยาบไปสู่ภูมิธรรมขั้นสูงของความละเอียดได้ในที่สุด
ป.จิตธรรม
4-7-56
.......................................
1 _27_1_2556 7_08 (ไฟล์2)-(3)
ศีลในศีล สมาธิในสมาธิ ปัญญาในปัญญา
ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าอันประเสริฐ ศีลในศีล สมาธิในสมาธิ ปัญญาในปัญญาทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมีอยู่แล้วในทุกๆ คน เป็นสิ่งที่เรามีมาตั้งแต่เกิด แต่จะมีน้อยคนมากที่ได้ล่วงรู้ว่าสิ่งประเสริฐที่อยู่ในตัวเรานั้นมีมากมายขนาดไหน เพราะว่าเราไม่มีเวลาที่จะพินิจพิเคราะห์ให้ล่วงรู้ในสิ่งที่เรามีอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นคู่กายใจของเรามาโดยตลอด หลักแห่งความประเสริฐนั้นถ้าเราสามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ มันก็จะเป็นการบุญการกุศลไปโดยทั้งหมด สิ่งต่างๆที่เลวร้ายในกระแสของโลกนั้น ก็ไม่สามารถกร่ำกรายเยื้องกรายเข้ามาหาเราได้ ฉะนั้นสิ่งที่เรากำลังค้นหา เป้าหมายที่เรากำลังจะไปนั้นจึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสูง ปราศจากสิ่งที่จะมอมเมาทำให้เราหลงทาง
ในแนวทางการปฏิบัติสมาธิเพื่อก่อเกิดปัญญา ความรอบรู้ต่างๆ ในสมาธินั้นจะเป็นเครื่องชี้นำความสว่าง ชี้นำสติ ชี้นำปัญญา ให้เราสามารถนำสิ่งต่างๆ ที่ได้จากสมาธินี้มาใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา ทำให้เรานั้นสามารถยืนหยัดอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีความสุข ปราศจากสิ่งที่จะทำให้จิตนั้นเศร้าหมอง ปราศจากแล้วซึ่งความทุกข์ที่จะเข้ามาแพ้วพาน ทำให้จิตเรานั้นร้อนรุม การพักจิตเป็นสิ่งหนึ่งที่ทรงคุณค่าให้เราสามารถนำวิถีทางแห่งการดำเนินชีวิตที่ผ่านมา มาตรวจดูว่าสิ่งต่างๆ นั้นที่เรากระทำเป็นคุณงามความดีหรือว่าเป็นความเลวร้าย เป็นกุศลกรรมหรือว่าเป็นอกุศลกรรม
เมื่อสมาธิแก่กล้าภูมิปัญญาต่างๆ นั้นก็มีความแจ่มชัด มีความรู้แจ้งในทุกๆ เรื่อง ปัญญาที่เกิดจากสมาธิในขณะที่เราภาวนานี้ เป็นปัญญาที่อยู่เหนือปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป เพราะว่าสมาธิเกิดจากการปฏิบัติที่แท้จริง จิตนั้นมีความสงบ จิตนั้นมีความสบาย จิตนั้นมีการปล่อยวาง จิตนั้นเป็นอิสระ ฉะนั้นความรู้ต่างๆ ย่อมบังเกิดขึ้นในขณะที่จิตเรานั้นมีความว่างเปล่า ภูมิรู้หรือปัญญาต่างๆ นั้นมาจากจิตที่เป็นสมาธิโดยแท้ มิใช่มาจากสมองหรือความนึกคิด
ภูมิรู้ต่างๆ เป็นของแท้ที่เคยมีมาตั้งแต่ดั้งเดิมที่ผ่านมาหรือในอดีตชาติ แต่สิ่งที่เป็นอดีตชาตินั้นเราไม่สามารถที่จะล่วงรู้ได้ถ้าเราไม่ปฏิบัติสมาธิจนเข้าถึงแก่นแห่งความสงบ ความสงบนำปัญญา ปัญญานำชีวิตไปสู่ความประเสริฐ สู่ความรุ่งโรจน์ ในความเป็นปุถุชนคนธรรมดาของเรา แต่ถ้าการดับของภพชาตินั้นสมาธิ ความสงบ สติและปัญญาก็สามารถน้อมนำจิตวิญญาณของเราไปสู่มรรถผลนิพพานได้ในที่สุด ฉะนั้นการปฏิบัติสมาธิจึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่เมื่อคนเรานั้นเกิดมาแล้วต้องพยายามใฝ่หาและเรียนรู้ให้มาก ในกระแสโลกนั้นเราก็อ่านตำรับตำรามามาก เราก็เรียนหนังสือเพื่อฟูมฝักภูมิปัญญาของเราให้มี ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งหนุ่มสาว ก็ใช้เวลาในการเรียนรู้จากการอ่านจากการท่องจำมามากแต่เมื่อเราสำเร็จในวิชาความรู้ต่างๆ ของโลก เพื่อจะนำมาประกอบกิจ มาทำมาหาเลี้ยงชีพเพื่อให้ทรงอยู่ได้ในโลกนี้ แต่เมื่อเรามีเวลาก็ต้องถือโอกาสนำเวลาที่เรามีอยู่มาปฏิบัติสมาธิเพื่อขัดเกลาจิตอบรมใจ ใฝ่เรียนรู้ในสิ่งที่ประเสริฐ ที่อยู่ในจิตภายในของเรา วิชาสมาธิเป็นสิ่งที่สูง เป็นวิชาที่ผู้เรียนรู้เมื่อสำเร็จแล้วจะเป็นผู้ประเสริฐที่สุดคนหนึ่งของโลก ปริญญาใบนี้ทรงคุณค่าเสมอในทุกภพทุกชาติที่เราไปเกิด สมาธิเป็นของสูง เป็นสิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้จากกำลังศรัทธา กำลังสติและกำลังปัญญาที่มีอยู่แล้วในตัวเรา เพียงแต่เราหยิบยกขึ้นมาพิจารณาในขณะที่เราปฏิบัติสมาธิ
สมาธิจึงเป็นวิถีของการปฏิบัติของผู้ที่มีความฉลาด รู้จักวางกรอบแบ่งเวลาให้ทั้งอาหารกายและอาหารใจไปพร้อมๆ กัน กำลังของสมาธินั้นจะทำให้เรานั้นเป็นบุคคลที่มีความละเอียดอ่อน คลายจากความหยาบที่มีมาตั้งแต่ต้น กลายเป็นบุคคลที่มีความละเอียดในทุกๆ ทาง ไม่ว่าจะเป็นการทำมาหากินหรืออาชีพใดก็แล้วแต่ ก็สามารถวิเคราะห์หรือกระทำได้ด้วยความละเอียดรอบคอบ เมื่อทุกอย่างมีความละเอียดมีความรอบคอบ ความผิดพลาดนั้นย่อมไม่มี หรือมีก็น้อยมาก ฉะนั้นกำลังจิตกำลังใจ ความตั้งมั่น ความศรัทธา การเรียนรู้ ความเข้าใจต้องทำให้เสมอให้ล่วงรู้ให้ได้ สิ่งใดก็แล้วแต่ไม่ว่าจะเป็นสมาธิ การนั่งปฏิบัติภาวนาต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ ต้องล้วงลึกเพื่อให้ได้มาแล้วในสิ่งที่เป็นความรู้ต่างๆ ที่เราหาไม่ได้ในภายนอก หรือในกระแสโลก เพราะพลังของสมาธินั้นอยู่ที่ภายใน อยู่ในโลกส่วนตัวของเรา ไม่ได้อยู่กับใครที่ไหนในโลก แต่จะเกิดจากตัวตนของเราเท่านั้น
สมาธิที่มาจากตัวตนของเราจึงเป็นของประเสริฐที่ต้องใช้กำลังศรัทธาของเราอย่างสูงถึงจะกระทำได้โดยตลอด ไม่พ่ายแพ้ไม่เพรี่ยงพร้ำ สามารถต่อสู้เข้าสู่ความสงบได้ในที่สุด จิตบุคคลใดถ้ามีความสงบแล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่เคยรู้ก็จะได้รู้ ทุกสิ่งทุกอย่างทีเกิดในภาวะของความสงบนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่เคยรับรู้มาก่อนเลยในชีวิตของเรา แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเกิดขึ้นขณะที่เราปฏิบัติ เพื่อให้ได้จิตที่เป็นสมาธิเพื่อเข้าหาสู่ความสงบเมื่อบรรลุความสงบสูงสุดนั้น ปัญญาทั้งหลายย่อมบังเกิดขึ้นโดยธรรมชาติของจิตนั้น ฉะนั้นสิ่งต่างๆ ที่เกิดในสมาธิ จึงเป็นของแท้ที่บังเกิดขึ้นกับตัวตนของเรา ไม่มีสิ่งแปลกปลอมที่จะนำพาให้เราหลงทางได้ แต่ตรงกันข้ามกลับเป็นแสงสว่างแห่งการนำพาชีวิตของเรานั้นไปสู่จุดหมายปลายทางที่ถูกต้องและดีงาม เป็นสิ่งที่สามารถประคับประคองช่วยเหลือเกื้อกูลในการดำเนินชีวิตของเรานั้นไปได้อย่างราบรื่น อุปสรรคย่อมน้อยลง เพราะสมาธินั้นเป็นพลังสำคัญของวิถีการแห่งการดำรงชีวิตของเราในภายภาคหน้า เราจะเป็นคนหนึ่งเมื่อสำเร็จจากการปฏิบัติแล้ว จะเป็นผู้รู้โดยถ่องแท้รู้แจ้งเห็นชัดเห็นจริงในความเป็นจริงของโลก ในความแปรเปลี่ยนของทุกกาลเวลา ไม่ว่าอาชีพใดก็แล้วแต่ในการกระทำนั้น ย่อมเป็นไปด้วยความราบรื่น ปราศจากอุปสรรคต่างๆ ที่จะเข้ามาขัดขวาง ที่จะมาหยุดยั้งเราไม่ได้
ฉะนั้นการปฏิบัติเพียงแค่ความสงบนี้ จึงเป็นอาหารทิพย์ที่มีความเป็นเลิศอยู่ในวิถีทางของการปฏิบัติของเรา อาหารนี้หล่อเลี้ยงใจของเราให้มีความสดชื่นอยู่ตลอด เป็นน้ำหล่อเลี้ยง เป็นน้ำทิพย์ที่ชโลมใจของเรานั้นให้มีความสบาย ให้มีความว่างเปล่า ให้มีความสดชื่นให้มีความแช่มชื่นโดยตลอด ไม่ต้องเสียเงินทองไปแลกซื้อหามาเลย ฉะนั้นค่าของเงินกับนักปฏิบัติแล้วย่อมมีค่าน้อย แต่ถ้าปุถุชนคนธรรมดาก็ยังถือครองว่าเงินตรานั้นมีคุณค่ามหาศาล สามารถซื้ออาหารในปัจจัย 4 ต่างๆ เพื่อดูแลรักษากายให้มีความแข็งแรงได้ แต่อย่างที่บอกอย่างที่อธิบายมาแล้วในหลายครั้งว่าสิ่งภายนอกทั้งหลายนั้น เกิดมา ตั้งอยู่ และดับไปหรือเสื่อมสลายไปในที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างในภายนอกนั้นไม่สามารถคงทนถาวรไปได้ตลอด แต่มีสิ่งเดียวที่ไม่มีวันที่จะเสื่อมหายหรือเสื่อมคลาย ไม่ว่าจะนานนับร้อยปี พันปี หรือหมื่นปี หรือแสนกัปป์ไม่มีวันลบเลือนไม่มีวันสูญหาย เป็นนัตตาที่คงทนและคงที่อยู่ตลอด สิ่งที่ไม่ดับก็คือกระแสแห่งกรรม
กระแสแห่งกรรมมาจากการกระทำ จากการใช้ชีวิตของเราในทุกๆ วัน ไม่ว่าเรากระทำสิ่งใดไว้จะเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมก็ดี ทุกสิ่งทุกอย่างผลนั้นสถิตแนบแน่นไม่มีวันเสื่อมคลาย สถิตแน่นอยู่กลางดวงจิตของเราไปตลอดไม่ว่าจะกี่ล้านกี่แสนปีไม่มีวันลบเลือนไปได้ กายภายนอกของภายนอกทุกอย่างดับ จิตดวงเดิมเรานี้ก็ดับ แต่กระแสของการกระทำไม่มีวันดับเมื่อจิตดับสุดท้าย กระแสของกรรมก็ยังคงปฏิสนธิไปอยู่ในจิตดวงใหม่ จิตดวงใหม่ก็มีวิถีของการเกิดด้วยแรงกรรมที่เราสร้าง ฉะนั้นทุกข์และสุขที่อยู่คละเคล้าในกระแสของโลก จึงมีที่มาที่ไปจากกระแสแห่งกรรมที่เราสร้าง สิ่งที่นำพาเราไปจุตินั้นก็คือการกระทำของเรา ในยามที่เราเกิดมาในกระแสโลกก็คือวัฏฏะหรือว่าในสังสารวัฏนี้
เมื่อเราได้ฟังมาถึงตรงนี้เราก็ยังพอจะเข้าใจว่าเหตุใดแล้วคนเราเกิดมาต่างกรรมต่างวาระตามกรรมที่หนุนส่ง ผู้ปฏิบัติดีก็เกิดในที่ดี ผู้ปฏิบัติที่กระทำแต่สิ่งที่ไม่ดีก็ไปเกิดตามกระแสของกระแสที่ไม่ดีนั้น เราจึงเห็นด้วยตาเนื้อของเราในปัจจุบันว่าคนเรานั้นต่างชั้นต่างวรรณะ บางคนเกิดมายากจนข้นแค้น บางคนเกิดมามีความสุขความสบายตลอด บางคนเกิดมามีรากฐานที่ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่หรือวงศาคณาญาติสร้างไว้ แต่บางคนเกิดมาแล้วมากับอับจนหนทางการทำมาหากินทำมาหาเลี้ยงชีพนั้นแทบจะไม่มี หลักประกันของความมั่นคงของชีวิตแทบจะไม่มี เหตุต่างๆเหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่กระแสกรรมที่ทำไว้ในอดีตนำส่งมาเกิดในชาตินี้ เกิดมาแล้วมีทุกข์มากกว่าสุข
ฉะนั้นการจำแนกวิถีทางการดำเนินชีวิตของเรานั้น จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่เราไม่ควรจะละเลยหรือละเว้น อย่าปล่อยให้จิตของเรานั้นหลงละเมอหลงอยู่ในกระแสของโลกฉะนั้นวิถีทางของการปฏิบัติภาวนาหรือวิถีทางของการปฏิบัติสมาธิ จึงเป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญที่สุดในการเกิดของเรา เพราะถ้าเรามีสมาธิบังเกิดความสงบก่อเกิดซึ่งปัญญา ก็สามารถนำปัญญาที่ได้จากการปฏิบัติสมาธินี้มาใช้ควบคุม มาดูแลในการกระทำของเราในทุกๆ วัน เพื่อไม่ให้จิตของเรานั้นตกหล่นหรือตกหล่มไปสู่ความเสื่อม เพราะว่าสิ่งต่างๆ ที่เราดำรงอยู่นี้จะเป็นเครื่องชี้นำ จะเป็นเส้นทางที่เราจะไปต่อภพต่อชาติอีก เพราะเราไม่สามารถหลุดพ้นการเกิดได้ แต่เราสามารถรักษาระดับการเกิดของเราให้มั่นคงได้ตลอด เราสามารถนำจิตวิญญาณของเรานั้นไปเกิดในโลกหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ
ฉะนั้นวิถีแห่งการภาวนามิใช่ว่าจะทำก็ได้หรือไม่ทำก็ได้ เพราะเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่จะนำพาจิตวิญญาณของเรานั้นไปก่อเกิดในภพต่อไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี เป็นกำลังส่ง เป็นกำลังหนุน ที่จะนำพาจิตวิญญาณของเรานั้นไปเกิดในที่ดีได้โดยตลอด เมื่อสิ่งต่างๆ ที่มีคุณค่าจากการปฏิบัติสมาธิของเราแล้ว ก็อยู่ที่เราสามารถตั้งสติได้มากน้อยขนาดไหน เราไม่มีทางเลือกและไม่ใช่สิ่งที่เราจะไม่เลือก
คนเราเกิดมานั้นแบ่งเป็นสองสถานะทุกๆ คนมีสองสถานะ คือมีสถานะของภายนอกและสถานะของภายใน ภายนอกนั้นต้องดับไปในอนาคตกาลข้างหน้า แต่ภายในนั้นไม่มีวันดับ ฉะนั้นเมื่อเราเห็นชัดว่าสิ่งภายนอกต่างๆ นั้นไม่ใช่ของจีรังยั่งยืน แต่สิ่งภายในของเรานั้นกลับเป็นนัตตาที่ต่อเนื่องไม่มีวันดับ เราจะจำเป็นต้องหาสิ่งใดที่เป็นกำลังหนุนช่วย ช่วยให้ถึงพร้อมในทุกขณะ ในทุกวันเวลาที่เราจะต้องเยื้องกรายเข้าไป การที่เรามาปฏิบัติสมาธิ จึงเป็นหนทางของผู้ที่มีความฉลาด ที่สามารถน้อมนำจิตวิญญาณนั้นมาปฏิบัติเพื่อให้ได้คุณค่าของความประเสริฐ เพื่อจะได้บรรลุในสิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยรู้เห็นมา คนเราอยู่ในสองสถานะด้วยกระแสแห่งภายนอกและภายในนั้นจึงต้องแบ่งแยกให้ถูก แบ่งเวลาในการกระทำให้เป็น กระแสต่างๆ ที่เข้ารุมเร้าที่เข้ามาหาเราในทุกๆ วัน สิ่งภายนอกต่างๆ นั้นเร้าใจย้อมใจ แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นกระแสแห่งความทุกข์ทั้งสิ้น แต่กระแสแห่งภายในของเราเมื่อเราน้อมนำจิตเข้าสมาธิเป็นหลัก สิ่งต่างๆ นั้นกลับมีความแช่มชื่นกลับมีความสุข ฉะนั้นสมาธิเป็นตัวสอน เป็นตัวบ่ม เป็นตัวช่วย ที่สามารถประคับประคองภาวะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์หรือความสุขให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สมาธิก่อเกิดความสงบความสงบนั้นก่อเกิดปัญญาปัญญาก็นำพาชีวิตที่เราจะต้องก้าวต่อไปในวันข้างหน้า จึงเห็นชัดว่าสมาธินั้นมีค่ามหาศาล ผู้ใดมีสมาธิผู้นั้นย่อมมีปัญญารอบรู้ เราเรียนหนังสือจากมหาวิทยาลัยภายนอก จบปริญญาตรี ปริญญาโทหรือปริญญาเอกมา แต่สิ่งต่างๆนั้นก็ยังคงเป็นของภายนอกอยู่ในมันสมองอยู่ในความนึกคิดของเราแต่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับการเรียนรู้ในสมาธิ เรียนรู้ในความสงบ จนกระทั่งมีปัญญารอบรู้ มันก็เปรียบเหมือนมีปริญญาในโลก สมาธิเป็นปริญญาตรี ความสงบเป็นปริญญาโท ปัญญาก็เป็นปริญญาเอกแต่ในปริญญาเอกนี้ซับซ้อนขึ้น ผู้สำเร็จในปริญญาเอกในสมาธิ จะมีภูมิความรู้ที่แน่นแฟ้นเพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้มาโดยธรรมชาติ ด๊อกเตอร์ในธรรมชาติ กับด๊อกเตอร์ในปุถุชนนั้นแตกต่างกัน ฉะนั้นการเรียนจากสมาธิเพื่อให้จิตวิญญาณนั้นมีความแช่มชื่นจิตวิญญาณนั้นมีการปล่อยวาง สมาธิจึงมีคุณค่าอย่างมหาศาลมีคุณต่อโลกอย่างอเนกอนันต์ผู้ใดปฏิบัติแล้วย่อมรู้เห็นความเป็นจริงของโลกได้อย่างชัดเจนและชัดแจ้ง ด้วยจิตวิญญาณของตัวตนของเราเอง ไม่มีใครสามารถที่จะมาหลอกเราได้ เพราะภูมิรู้ต่างๆ นั้นบังเกิดขึ้นในภาวะจิตภายในของเราทั้งสิ้น ไม่สามารถกล่าวนำหรือชี้นำต่างๆ เพื่อให้เขารู้ตามโดยการสอน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยความสงบของสมาธิจิตของเราเท่านั้น เราเรียนรู้ภายนอกมามาก เราต้องแบ่งเวลามาเรียนรู้ในภายในของเราให้ถึงที่สุดให้ได้ เรานั่งในครึ่งชั่วโมงหรือใน 1ชั่วโมงนี้ใจเรามีความสบายอันนี้เห็นชัด เพราะขณะที่เรากำลังปฏิบัติอยู่นี้จิตภายในของเราเป็นอย่างไรเรารู้ เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้จากสมาธินั้นเป็นของจริง เราควรที่จะไม่ละเลยต้องพยายามมองเห็นความสำคัญของการปฏิบัติสมาธิเพื่อให้จิตนั้นมีความสงบ นำความสงบนั้นไปสู่ปัญญาขั้นสูง เพื่อจะมาใช้ในการปฏิบัติในการกระทำของเราในทุกๆ วัน เพื่อจะได้ไม่ทำให้เรานั้นละล่วงหรือหลงทางทำให้จิตวิญญาณของเรานั้นไปในทางเสื่อม สมาธิในเบื้องต้นนี้ก็คือสมถะ เมื่อสมถะแก่กล้าก็จะเข้าไปสู่วิปัสสนาญาณในที่สุด
สมถะนี้เป็นโลกกียะยังอยู่ในโลกสงสาร แต่วิปัสสนานั้นเป็นโลกุตรธรรมโดยแท้แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นต้องมาจากสมถะในขั้นต้นนี้ทั้งสิ้น ไม่สามารถที่จะเรียนทางลัดไปได้เลย ในทางสมาธินี้ไม่มีทางลัด ไม่สามารถที่จะลัดขั้นตอนไปสู่วิปัสสนาญาณได้
ฉะนั้นสมถะสมาธิจึงเป็นสิ่งที่เราต้องพยายามหัดเรียนรู้ให้ได้จนชำนาญ เมื่อความชำนาญเรามีมากขึ้นความสำเร็จนั้นจะตามมาเอง เพราะว่าไม่สามารถที่จะนำหนังสือหรือว่าไปอ่านเรียนรู้และทำให้จิตนั้นมีความสงบนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่ขณะที่เรานั่งภาวนานี่แหละ การดูลมหายในเข้าหายใจออก นี่แหละคือหนทางคือประตูสู่แสงสว่างแห่งชีวิตของเราได้ในที่สุดขอให้ทุกคนพึงกระทำยึดถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อชีวิตของเราที่ยังเหลืออยู่อย่างละทิ้งโอกาสเมื่อเรามีโอกาสอย่าละทิ้งเวลาเมื่อเรามีเวลา
เวลาแห่งการเรียนรู้ในโลกภายในของเรานั้น เมื่อเราบรรลุในคุณธรรมต่างๆ นั้นเราจะเป็นผู้รู้เอง จะเป็นผู้รู้อย่างแจ้งชัดในสิ่งที่เราได้จากการปฏิบัติอย่างแน่นอน ขอให้มีความตั้งอกตั้งใจตั้งมั่น อย่าละเลย ปฏิบัติสมาธิให้เข้าสู่สมาธิหรือถึงแก่นแห่งสมาธินั้นให้ได้ เขาเรียกว่า ทานในทาน ศีลในศีล และภาวนาในภาวนา เมื่อวานนี้เราก็พูดถึงในเรื่องทานในทานแต่ก็ยังเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ศีลในศีลนั้นเรายังไม่ได้พูดถึงเลย แต่เวลาก็ล่วงเลยมาพอสมควร ก็ต้องพยายามประคับประคองเรียนรู้ในสิ่งที่เรากำลังรู้ ทำให้ถาวรมั่นคงสถิตแนบแน่นอยู่ในตัวตนของเราให้ได้ตลอด เพราะไม่มีสิ่งใดในโลกจะประเสริฐเท่ากับสิ่งที่เรากระทำนี้ สิ่งต่างๆ จะบังเกิดขึ้นให้เรารู้ชัดแน่นอนนั้นอยู่ในยามที่เรากำลังจะจากโลกนี้ไปถ้าเราเป็นนักปฏิบัติเราจะรู้ทันทีว่าสิ่งที่เราทำเป็นสิ่งที่มีค่า แต่ถ้าเราไม่ใช้นักปฏิบัติวันที่เราละจากโลกนี้เราจะรู้ทันทีว่าเราไม่น่าจะเสียเวลาไปกับกระแสของโลกโดยไม่สนใจใยดีต่อจิตวิญญาณของเรา อันนั้นรู้ชัดเจนรู้ด้วยตัวเอง ไม่มีใครสามารถที่จะยัดเยียดภูมิรู้ให้กับเราได้ตลอด
สิ่งที่อธิบายสิ่งที่พูดนี้เป็นแค่เบื้องต้นของกระแสแห่งการนำพาไปสู่การปฏิบัติที่เข้มข้น ฉะนั้นแก่นธรรมนั้นไม่สามารถอ่านจากตัวหนังสือหรือจากการฟังได้ ต้องอาศัยตัวตนของเรานั้นเป็นผู้นำในแก่นธรรมต่างๆ นั้นไปปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุรู้แจ้งด้วยตัวของเราเองเหมือนคนกินข้าวถ้ากินก็อิ่มท้องถ้าไม่กินก็หิวโหย ตัวนี้เป็นหลักการเดียวกัน ถ้าเราปฏิบัติเราก็เต็มอิ่มแต่ถ้าเราไม่ปฏิบัติอย่างไรเราก็ไม่เต็มอิ่ม ฉะนั้นขอให้ยึดหลักของสมาธิในเบื้องต้น ปฏิบัติให้ช่ำชอง ปฏิบัติให้ถึงแก่นแห่งความสงบ วันใดที่เราถึงความสงบ วันนั้นเราก็จะรู้เองว่าในความสงบนั้นมีสิ่งใดที่เคลือบแฝงอยู่ ฉะนั้นถ้าหาทางเข้าสู่ความสงบให้ได้ และเราจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรานั้นอย่างใหญ่หลวงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนตั้งแต่เกิด ขอให้มีความขยันหมั่นเพียร มีสัจจะที่มั่นคง เราจะไม่เป็นคนที่เกิดมาแล้วเสียเปล่าในโลกสงสารใบนี้ ขอให้ตั้งจิตตั้งใจสร้างศรัทธา สร้างกำลังจิตกำลังใจของเรานั้นให้มั่นคงในสมาธิ ในการปฏิบัติ ในแนวทางแห่งคุณความดีนี้ให้เพิ่มพูนให้ถึงที่สุดแห่งสมาธิให้ได้
1 _27_1_2556 17_21 (ไฟล์ 1) (4)
ศีล สมาธิ ปัญญา
การปฏิบัติสมาธิเพื่อน้อมนำจิตไปสู่ความสงบ นำความสงบนั้นมาบริหารจัดการวางระบบ วางระเบียบของการใช้ชีวิต สมาธิยิ่งลึกวิถีทางของจิตนั้นก็ลึกตาม ความละเอียดอ่อนลึกตาม การนั่งสมาธิเพื่อค้นหาภูมิแห่งปัญญามาจัดการชีวิตเพื่อล่วงรู้ในวิถีทางแห่งการกระทำทั้งหลาย ถ้าเราฝึกสมาธิยิ่งมากจิตนั้นก็มีภูมิรู้ที่สามารถนำมาใช้ประกอบในสิ่งต่างๆ ที่เรากระทำ เราจะสามารถระลึกรู้ในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน การค้าการขาย การคบหาญาติพี่น้อง เพื่อน บริวารทั้งหลายสามารถนำมาใช้อย่างรอบคอบ ล่วงรู้ในทุกสิ่ง ผู้ที่มีสมาธิที่ดีเป็นผู้ที่ไม่มีจิตที่คิดละล่วงต่อสิ่งมีชีวิตคือคนและสัตว์ทั้งหลาย เป็นบ่อเกิดแห่งปัญญาของภูมิรู้ ที่จะมาเป็นข้อกำหนดในการจำกัดวิถีแห่งการกระทำด้วยกาย วาจา และใจ ฉะนั้นวิถีของจิตทีเกิดสมาธิที่เป็นภูมิรู้อย่างแน่นแฟ้นอย่างละเอียดแล้ว ย่อมเป็นตัวช่วย เป็นตัวเกื้อหนุน เป็นตัวเรียนรู้ ทำให้เราสามารถดำเนินการไม่ว่าจะเป็นกิจการหรือการดำรงชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฉะนั้นสมาธิจึงเป็นเบื้องต้นของนักปฏิบัติที่ดี สิ่งต่างๆ ที่เราได้จากสมาธิมีคุณค่าที่หาที่เปรียบมิได้
เราว่าทุกวันนี้เรามีความสุข แต่ความสุขในโลกนี้ไม่มีใดเทียบเท่ากับสมาธิจิตที่มีการอบรมที่มีการพัฒนาขึ้นในทุกๆ วัน เทียบไม่ได้เลยแม้แต่หนึ่งในร้อยหรือหนึ่งในพัน เพราะความสุขที่แท้จริงในสมาธินั้นไม่มีสิ่งที่เปรียบเทียบได้เลย ความสุขต่างๆ ในโลกที่เราไขว่คว้าหา ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ไม่ค่อยจีรังยั่งยืน เป็นความสุขจอมปลอมที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเราชั่วแค่ข้ามคืนก็มี ข้ามวันก็มี หรือแค่ข้ามเดือนก็มี มิได้อยู่คงทนกับเราได้ตลอดเวลา เพราะเป็นของที่สัมผัสต้องได้ มองรู้เห็น ชิมรสรู้สัมผัสรู้ ฟัง เห็น แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นก็ย่อมหมดวาระไปตามกาลเวลา แต่กับสมาธิแล้วตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เพราะสมาธิยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งลึกยิ่งสงบ ยิ่งมีปัญญา ไม่มีวันที่จะลดทอนลงไปได้เลยถ้าเรามีการกระทำที่ต่อเนื่องทำได้อย่างสม่ำเสมอเหมือนเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่เราจะต้องกระทำในทุกๆ วัน ฉะนั้นสมาธิจึงมีคุณค่าจึงเป็นประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่เกิดมาแล้วในโลกนี้อย่างต่ำเราก็จะได้ความสงบ ได้ความปลอดโปร่ง ได้ความนึกคิด ได้หยุดการกระทำต่างๆ แม้ชั่วขณะหนึ่งซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นบุญกุศลทั้งสิ้นมิใช่ทาน และบุญกุศลอันนี้ก็ได้จากการปฏิบัติเท่านั้น ไม่สามารถที่จะหาได้จากสิ่งภายนอกทั้งหลาย หรือจากครูบาอาจารย์ทั้งหลาย หรือจากการอ่านทั้งหลายทุกสิ่งทุกอย่างอาศัยกำลังศรัทธา อาศัยความตั้งมั่นที่ทรงอยู่แล้วในความดีงาม เป็นตัวก่อเกิดและเป็นตัวกระทำ สมาธิบังเกิดขึ้นมากความละเอียดของวิถีจิตก็ยิ่งมากตาม ภูมิรู้ต่างๆ ก็ยิ่งกระจ่างชัด กิริยาอาการไม่ว่ากาย วาจา หรือใจ ก็ค่อนข้างจะสำรวม เมื่อกายจิตคำพูดสำรวมแล้ว อานิสงส์เกิดทันที เกิดเดี๋ยวนั้น ก็ทั้งกาย วาจา ใจของเรานั้นไม่ล่วงละเมิดมีขอบเขตจำกัดมีขอบเขตกางกั้น มีสิ่งที่เฝ้าระวังคอยเตือนจิตและเตือนใจของเราอยู่ตลอด ทานในทาน ศีลในศีล ฉะนั้นองค์ประกอบต่างๆ ที่เกิดจากสมาธิจิตที่เป็นภาวนาได้ขั้นสูง สมาธิจิตนั้นก็จะไปกำกับดูแล การหมั่นรักษาในองค์ศีลทั้งหลายที่เป็นความเจริญของคนที่ประเสริฐ ฉะนั้นศีลต่างๆ ก็จะหลั่งไหลมาสู่ตัวตนของเราได้ในที่สุด โดยไม่ต้องไปใฝ่หาได้จากที่ไหนเลย เพราะจิตที่บำเพ็ญสมาธิภาวนาก็ย่อมถึงแก่นแห่งความละเอียด ก็ย่อมเป็นภูมิรู้ที่สามารถแยกแยะล่วงรู้ในวิถีทางแห่งอกุศลกรรมทั้งหลาย
ฉะนั้นศีลที่ปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่องแต่ว่ายังคงไม่สมบูรณ์ เพราะศีลที่สมบูรณ์นั้นต้องเป็นศีลในศีล แต่ศีลในศีลนั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อบุคคลผู้นั้นมีการปฏิบัติสมาธิอย่างต่อเนื่องยาวนานบังเกิดจิตที่เป็นภูมิรู้โดยธรรมชาติของจิต มีความละเอียดอ่อนมีความสบาย ไร้แล้วซึ่งความหยาบกร้าน ไร้แล้วซึ่งอารมณ์ต่างๆ ไร้แล้วซึ่งความโลภโมโทสันไร้แล้วซึ่งโมหะจริตที่ทำให้หลง เมื่อจิตที่เป็นสมาธิคอยกำกับดูแลในการรักษาศีล เพื่อให้ศีลนั้นมีความหมดจด มีความบริสุทธิ์งดงาม ละเลิกสิ่งต่างๆ ที่จะเป็นการกระทำหรือล่วงเกินต่อบุคคลและสัตว์ทั้งหลาย
ฉะนั้นศีลในเบื้องต้นจึงเป็นศีลทั่วไปที่เรากำกับดูแลและรักษาแต่เมื่อสมาธิจิตนั้นมีขีดความสามารถสูงขึ้น มีความเข้มข้นมีความเข้มแข็งอย่างต่อเนื่อง ความหมดจดภายในนั้น ก็จะเป็นตัวกำกับดูแลในการรักษาศีลของเรานั้นให้หมดจดให้งดงาม เป็นไปโดยธรรมชาติของจิต ดั่งเช่นในศีลข้อ 1 เมื่อปาณาติบาตหรือปาณาติปาตาการเบียดเบียน การฆ่าซึ่งชีวิตทั้งหลายในโลก การล่วงเกินล่วงละเมิด การบีบบังคับ การลัก การข่มเหง การทำลาย ทั้งหมดนั้นก็อยู่ในศีลในข้อปาณาติบาตทั้ง 1- 2 และ 3 รวมกันเป็นแม่บทเดียวกัน ฉะนั้นวิถีจิตของเรานั้นที่เกิดสมาธิที่ปฏิบัติมาดีแล้วก็ย่อมล่วงรู้ในสิ่งต่างๆ ที่เราจะไปกระทำล่วงเกิน การกระทำต่างๆ ในข้อที่ 1-3 นั้นค่อนข้างจะละเอียดลึกซึ้ง ผลแห่งการกระทำต่างๆ นั้นถ้าเราแค่มองศีลในเบื้องต้น หรือคือศีลทั่วไปที่เรารักษา เราจะไม่สามารถล่วงรู้เลยว่าการกระทำต่างๆ ที่เรากระทำอยู่ในทุกๆ วันนั้นศีลนั้นหมดจดหรือไม่ ผิดหรือไม่ผิด ล่วงเกินหรือไม่ล่วงเกิน บางครั้งความเคยชินของเราทุกคน เกิดมาแล้วในระยะเวลาที่อยู่บนโลกนี้อย่างยาวนานเกิดความเคยชินในการกระทำต่างๆ โดยคิดว่าสิ่งต่าง ที่กระทำนั้นไม่ผิด แต่ถ้าศีลธรรมดาทั่วไปของปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปนั้น ก็ย่อมไม่สามารถระลึกรู้ได้ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิดเพราะขาดจิตที่เป็นสมาธิ จิตที่มีความสงบ จิตที่มีปัญญา เมื่อขาด 3 สิ่งนี้เราก็ไม่สามารถที่จะมองออกได้เลยว่าสิ่งที่เรากระทำนั้นๆ มันผิดหรือถูก การกำจัดอกุศลกรรมต่างๆ นั้นอาศัยจิตล้วนๆ จิตเป็นตัวบ่งการ เป็นตัวบังคับ เป็นตัวนำพาทำให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น ปาณาติปาตา อะทินนาทานา กาเมสุมิจฉาจารา ใน 3 ข้อนี้เป็นการเบียดเบียน เป็นการทำลาย เป็นการกีดกั้นไม่ว่าจะเป็นการฆ่า จะเป็นการลัก หรือเป็นการข่มเหง เป็นการใช้อำนาจให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ใช้อำนาจในการบังคับจิตใจคน ใช้กำลังที่เหนือกว่าประทุษร้ายคนหรือสัตว์ทั้งหลาย ใช้ความคิดที่จะไปทำลาย วางแผนให้บุคคลต่างๆ นั้นมีความเสียหาย มีความชอกซ้ำ มีความทุกข์ เพราะความคิดต่างๆ นั้นเป็นอาวุธร้ายที่ทำลายคนและสัตว์นั้นมามากต่อมาก อย่างสัตว์ทั้งหลาย เช่น การตกปลา ใช้เหยื่อผูกกับเหล็กเพื่อจะได้ปลานั้นมาเป็นอาหารตัวนี้ก็เป็นกรรมหนักเพราะตัวนี้เป็นเจตนาที่มีผลประโยชน์เป็นเครื่องรองรับอันนี้ผิดล้านเปอร์เซ็นต์ ทำให้สัตว์นั้นมีความทุกข์ทรมานก่อนที่จะดับชีพ เพราะเมื่อเบ็ดเกี่ยวปลาปลาก็บาดเจ็บ ความทุกข์ทรมานบังเกิดต่อเนื่องจนวาระสุดท้ายของชีวิตของปลานั้นแต่กลับเป็นความสุขของผู้กระทำ ฉะนั้นการกระทำนี้ถือเป็นกรรมหนักเพราะหาความสุขในกองทุกข์ของผู้อื่นการกระทำนี้เมื่อจิตสุดท้ายที่ดับจากโลกนี้จิตตกสู่นรกอเวจีทันทีไม่ได้ไปไหน เพราะทำทารุณกรรมด้วยความเพลิดเพลิน ด้วยความยินดีในความทุกข์ของบุคคลอื่น สิ่งต่างๆ ที่กระทำล้วนแล้วแต่เป็นกรรมทั้งสิ้น จะว่าหนักหรือเบาอยู่ที่ผลของการกระทำนั้นมีผลต่อบุคคลตรงข้ามขนาดไหน ตรงข้ามยิ่งทรมานยิ่งทุกข์ร้อนกรรมนั้นก็ยิ่งหนักยิ่งแสนสาหัสกรรมนี้ไม่สามารถลบล้างได้ วันหนึ่งในชาติหนึ่งเราก็ต้องไปเกิดเป็นปลาเหมือนกันไม่มีวันที่จะหลบหลีกได้ เพราะกรรมเป็นผลต่อเนื่อง กรรมเป็นผลสะท้อน กรรมมีผลที่จะทำให้จิตวิญญาณนี้หล่นกลับไปเกิดเป็นปลาเฉกเช่นเดียวกัน ฉะนั้นไม่ว่าการกระทำต่างๆ สิ่งต่างๆ ในโลกนั้นถ้าเราขาดจิตที่มีสมาธิ ขาดจิตที่มีความละเอียดแล้ว เราก็ไม่สามารถที่จะล่วงรู้ในสิ่งต่างๆ นี้ได้ กระทำกรรมไปโดยอาศัยความชอบแต่ขาดความนึกคิด ขาดเมตตา สภาวะต่างๆ ของศีลนั้นค่อนข้างจะละเอียดลึก จึงต้องอาศัยปัญญาที่เพาะบ่มมาอย่างดีจึงสามารถจำแนกแยกแยะให้ละเอียดลงได้ มิฉะนั้นย่อมไม่มีโอกาสได้ล่วงรู้ โรงฆ่าสัตว์หมู วัว ควาย ทั้งหลาย ใช้อาวุธร้ายแรงทำลายก่อนตายทุกข์ทรมานแสนสาหัส คนที่กระทำนั้นอยู่ในขุมนรกอเวจีทั้งสิ้น เบียดเบียนทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนด้วยกลอุบาย ทำให้เดือดร้อนแสนสาหัส เพราะสิ่งที่เดือดร้อนนั้นกระจายไปสู่ครอบครัว สู่ญาติมิตร อันนี้ก็เป็นกรรม ถ้าเกิดบุคคลต่างๆนั้นไปกระทำการฆ่าตัวตาย หรืออยู่ในความทุกข์ตรมตลอดความทุกข์นั้นคนที่กระทำนั้นก็ย่อมทับถมทวีคูณ เป็นมหาทุกข์ ฉะนั้นการเบียดเบียนทำความเดือดร้อนให้กับคนอื่นนั้นต้องพึงระมัดระวังให้มาก ถ้าเขาทุกข์น้อยกรรมเราก็น้อยแต่ถ้าเขาทุกข์มากกรรมนั้นก็มาก เป็นเงาตามตัวไม่มีวันตัดทอนได้ สิ่งต่างๆ ที่เห็นชัดแจ้งถ้าเราเรียนรู้สมาธิจิตอย่างมั่นคงแล้วโอกาสที่เราจะล่วงรู้นั้นมีมาก สิ่งต่างๆ ที่เรากระทำนำความเดือดร้อนสู่ผู้อื่นสิ่งนั้นเป็นกรรม ถ้าผู้เดือดร้อนนั้นกระจายความเดือดร้อนไปสู่คนรอบข้างอันนั้นเป็นกรรมหนัก ผู้เดือดร้อนนั้นหมดโอกาสในการดำรงชีวิติต่อ อันนั้นเป็นมหัตภัยอันร้ายแรงเหมือนการฆ่าคนทั้งเป็น คนที่ถูกกระทำหมดสภาพของความเป็นคน จิตนั้นล่องลอย หมดหวัง สิ้นแรงทำให้มีความทุกข์สาหัสยิ่งกว่าการฆ่า เพราะว่าบุคคลที่ถูกกระทำนั้นตายทั้งเป็น ตายในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปในภายภาคหน้าได้ ทำให้เกิดความร้อนรุ่ม บางคนบ้านแตกสาแหรกขาด ลูกไปทางเมียไปทางพ่อแม่แยกย้ายกันไปคนละทาง เพราะไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยความเดือดร้อนที่ถูกกระทำ แต่จะมีสักกี่คนเล่าที่จะรู้ในเรื่องนี้บางครั้งศีลข้อ 1 ในเรื่องของการฆ่านั้นเป็นบาปมหันต์ แต่จริงๆ ถ้ามองละเอียดเข้าไปลึกเขาเรียกศีลในศีลก็จะรู้ชัดแจ้งในทุกๆ เรื่องข้อปาณาติบาตนั้นคือการเบียดเบียนชีวิตคนชีวิตสัตว์ เบียดเบียนโอกาสเบียดเบียนหลอกลวงทำให้ผู้อื่นนั้นต้องตายทั้งเป็น อันนี้อยู่ในข้อปาณาติบาตทั้งสิ้น การหลอกลวง การเบียดเบียน การลักทรัพย์ของที่ชอบของที่มีคุณค่าที่เขาสามารถดำเนินชีวิตต่อไปในภายภาคหน้าถ้าเราไปกระทำทำให้เขาเสียหายตรงนี้มันก็ยิ่งกว่าการฆ่าเพราะเขาหมดโอกาสในการที่จะสามารถดำรงชีวิต หรือเลี้ยงชีพเลี้ยงครอบครัวของเขาได้ในอนาคต ทำให้ความหวังที่ตั้งนั้นหมดไปในทันที ฉะนั้นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนอยู่ในศีลในศีลทั้งสิ้น เป็นความละเอียดของวิถีจิต ถ้าบุคคลใดสามารถปฏิบัติจนเข้าถึงในหลักเกณฑ์นี้ ก็ย่อมรู้เห็นละเอียดต่อสิ่งต่างๆ ในโลก ส่วนใหญ่แล้วจะรู้แค่ศีลแต่ไม่รู้ว่าในศีลนั้นมีอะไร รู้ว่าการฆ่าเป็นบาปแต่ไม่รู้ว่าการฆ่านั้นมีกี่ชนิด มีอะไรบ้าง ฉะนั้นการบริหารจัดการจิตของเรานั้นจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญ การนั่งสมาธิถือความเพียรยิ่งเป็นหลักประกันที่จะนำพาชีวิตของเรานั้นให้หลุดวงโคจรของอกุศลกรรมต่างๆ ฉะนั้นสิ่งต่างๆ ที่แล้วมาเราต้องกลับไปพิจารณา ในการกระทำต่างๆ ที่ผ่านมาในอดีต เมื่อล่วงรู้แล้วต้องพยายามหาโอกาสหรือว่าชดเชย ทดแทน แก้ไขขอขมา เพราะไม่อย่างนั้นแล้วมันจะเป็นวิบากกรรมที่สืบต่อเนื่องไม่จบสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีผลจากการกระทำทั้งสิ้น “การไร้ขอบเขตของศีลย่อมเป็นตัวนำพาซึ่งความเดือดร้อนต่างๆ ถึงแม้เราจะเป็นผู้ชนะแต่ชนะบนคราบน้ำตาของผู้อื่นแล้ว ถือว่าเราพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง สิ่งที่เราได้มาหาคุณค่าและประโยชน์ใดๆ ไม่ได้เพราะมันเป็นของโลก แต่ถ้าเราแพ้ แพ้ท่ามกลางชัยชนะของผู้อื่น แพ้บนความยินดีของความสุขของผู้อื่นแล้ว นั่นแหละเราเป็นยอดคน เพราะความพ่ายแพ้นั้นเป็นบุญกุศลเป็นทานบารมี เพราะเราแพ้เขาในทางโลกแต่เราก็ชนะจิตใจตัวเราเอง ฉะนั้นบนความพ่ายแพ้กลับเป็นชัยชนะที่สูงสุดในคุณค่าของความเป็นคนของเรา “
ฉะนั้นบางครั้งบางสิ่งที่แพ้ได้ก็ต้องแพ้ อย่าชนะคะคานจนกระทั่งบังเกิดความเสียหายต่อฝ่ายตรงข้าม ทำให้เกิดเป็นบาปกรรม เป็นวิบากกรรม ที่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่ทำให้จิตของเรานั้นเสื่อมลงทุกวัน แต่ถ้าเราสามารถบั่นทอนสิ่งต่างๆ ที่จะทำให้บุคคลอื่นนั้นเดือดร้อน ทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายนั้นเดือดร้อนวุ่นวาย ต้องละเว้นงดเว้นให้ได้ “ ยอมแพ้เพื่อความสุขของผู้อื่นดีกว่าชนะบนกองทุกข์ของบุคคลอื่น ชนะใดไม่เท่ากับชนะใจ วันใดเราชนะใจได้วันนั้นเราคือผู้พิชิต คือผู้มีชัยชนะโดยสมบูรณ์” ฉะนั้นทานในทาน ศีลในศีลทุกสิ่งล้วนแล้วแต่มีข้อจำกัดมีข้อความที่ละเอียดอ่อนที่สามารถอธิบายได้ในหลายๆ วันก็ไม่รู้จบ ผู้ที่เข้าถึงวิถีของจิตที่สูงสุดแล้ว ก็ย่อมสามารถบรรยายในสิ่งเหล่านี้ค่อนข้างละเอียด มีเหตุมีแผลในการรองรับ
การเบียดเบียน การถือเอา การข่มเหง จึงเป็นวิถีทางที่ไม่ควรทำ ศีลละเอียดเศษกระดาษชิ้นหนึ่งก็ยังเป็นกรรม ความนึกคิดที่ไปทำร้ายแค่นึกคิดก็เป็นกรรม เพราะว่าเกิดเจตนาในการทำร้าย แต่ถ้ากรรมนั้นสำฤทธิ์ผลตัวนั้นเป็นกรรมในทันที ฉะนั้นเจตนาต่างๆ การระมัดระวังต้องระวังให้มาก ทุกย่างก้าวนั้นเป็นศีล ทุกย่างก้าวนั้นเป็นกรรม ไม่ว่าจะเป็นอกุศลกรรมหรือกุศลกรรม การละล่วง ล่วงเกินทำร้ายแฝงด้วยจิตที่มีความคิดในการประหัตประหาร ไม่ว่าการฆ่าคนเบียดเบียนชีวิตคน การกระทำใช้ชีวิตคนนั้นมาเป็นเครื่องสนุกไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ ทุกอย่างล้วนเป็นกรรมทั้งสิ้น การทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนถ้าเดือดร้อน 1 คนกรรมก็เบาหน่อย แต่ถ้าเดือดร้อนทีเดียวหลายคนคนที่ตามหลังนั้นเดือดร้อนไปด้วยอันนั้นเป็นกรรมหนัก
ฉะนั้นศีลในศีลในข้อที่ 1 ข้อที่ 2 และข้อที่ 3 ถึงแม้ว่าจะพูดข้ามวันข้ามคืนก็ไม่หมด ฉะนั้นเป็นอุทาหรณ์สอนใจในเบื้องต้น เพื่อให้เราระลึกรู้ว่าทุกย่างก้าวของเรานั้นเป็นกรรม ฉะนั้นทุกย่างก้าวเราจึงต้องใช้สมาธิจิตที่เราจะต้องพยายามฝึกให้ได้ เพื่อนำมาควบคุมการเดินทางต่อไปในภายหน้าของเรา มิเช่นนั้นแล้วโอกาสที่เราจะหล่นจากความเป็นคนนั้นมีสูง
เพราะสิ่งต่างๆ ในโลกที่เราจะเดินไปในข้างหน้านั้นมีกรรมรออยู่ข้างหน้า เราพลั้งเราพลาดเราหล่น แต่สิ่งต่างๆ จะไม่บังเกิดขึ้นเลยถ้าเราเป็นคนที่สามารถเข้าถึงสมาธิจิต เจริญสมาธิจนกระทั่งจิตนั้นมีความสงบมีความละเอียด มีปัญญา ใช้ความสงบและปัญญาต่างๆ นั้นมากำกับดูแลเพื่อให้ศีลเข้าถึงศีล ทานเข้าถึงทาน ภาวนานั้นเข้าถึงภาวนา ฉะนั้นศีลในศีลจึงเป็นสิ่งที่บ่งบอกให้เรารู้ละเอียดลึกขึ้น มิเช่นนั้นแล้วคนที่จะรู้ในเรื่องพวกนี้นั้นมีน้อยมาก ทุกคนก็คงคิดว่าการฆ่าคนนั้นคือศีลข้อ 1 แต่จริงๆ แล้วทั้งหมดไม่ว่าข้อ 1 ข้อ 2 หรือ ข้อ 3 3องค์ประกอบรวมกันเป็นหนึ่ง ศีล 5 ข้อทั้งหมดมี 2 ข้อ ศีล 277 ก็มี 2 ข้อ คือข้อ 1 และข้อ 4 ข้อ 1-3 รวมเป็น 1 4 กับ 5 รวมเป็น 1 ฉะนั้นศีลทั้งหมดในโลกนี้มี 2 ข้อ มิใช่มี 8 มี 5 มี 10 หรือ 227 ข้อ เพราะองค์มวลรวมทั้งหลายมันอยู่ในข้อจำกัดเดียวกัน การเบียดเบียนเป็นต้นทางเป็นต้นเหตุ ไม่ว่าจะเบียดเบียนชีวิต เบียดเบียนทรัพย์สิ่งของ เบียดเบียนของรักของหวงของผู้อื่น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นองค์ประกอบเดียวกัน
ฉะนั้นทานในทาน ศีลในศีล จึงเป็นข้อเปรียบเปรยที่สามารถแบ่งแยกอย่างชัดเจน ให้เราสามารถปฏิบัติจนล่วงรู้ได้อย่างถ่องแท้แน่นอน ศีลข้อที่ 4 ข้อที่ 5 ศีลในศีลของข้อที่ 4-5 รวบรวมกันเป็นองค์ประกอบเดียวกัน คนเราขาดสติก็จะขาดความยั้งคิด ก็จะหลงระเริงอยู่ในวัฏฏะ คำพูด กิริยาอาการการกระทำต่างๆ ก็เลอะเลือน จริงเท็จทำได้หมดไม่ว่าสิ่งนั้นทำแล้วเสียหายใหญ่หลวงก็ทำเพื่อให้ตัวตนของตัวเองนั้นได้มาหรือมีความสุข คำพูดต่างๆ พูดแล้วทำให้บุคคลนั้นเสียหายทำให้บุคคลหรือสัตว์ทั้งหลายนั้นตกระกำลำบาก ทำให้บุคคลหรือสัตว์ทั้งหลายนั้นหมดโอกาส ไม่ว่าสิ่งใดก็แล้วแต่ที่กระทำด้วยวาจาและสติซึ่งสามารถทำให้บุคคลหรือสัตว์ทั้งหลายนั้นเดือดร้อนแสนสาหัสทุกอย่างล้วนเป็นกรรม ดั่งเช่นง่ายๆ เพื่อนของเรามีความลับที่ไม่อาจจะบอกต่อโลกแต่เรากลับนำความลับของเพื่อนคนนี้ไปเล่าให้คนอื่นฟังจนบังเกิดความเสียหายทำให้หมดโอกาสที่จะยืดหยัดบนโลกนี้ได้ เกิดความเสียหายใหญ่หลวง ทุกอย่างที่มีไว้เกิดพังทลายในพริบตา เกิดความทุกข์อย่างมหาศาล โลกตราหน้าว่าเป็นคนเลว ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เกิดจากวาจาที่มิชอบทั้งสิ้นเกิดจากจิตที่คิดจะทำร้ายฆ่าคนโดยไม่ต้องใช้อาวุธ อาศัยคำพูดคำเดียวล้มเขาทั้งกระดาน ทำให้เขาไม่สามารถยืนหยัดสู้โลกต่อไปได้ โกหกหลอกลวงเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งของทำให้เขาเกิดความเสียหาย บีบบังคับจิตใจให้เขาต้องกระทำในสิ่งที่เขาไม่ต้องการ เมื่อสิ่งต่างๆ นี้บังเกิดขึ้นย่อมบังเกิดความทุกข์แสนสาหัสเพราะจากวาจาที่เราเอื้อนเอ่ยไปเท่านั้น ฉะนั้นคำพูดจึงเป็นวจีกรรมอย่างหนึ่งที่สามารถทำร้ายให้คนหมดสิ้นเนื้อประดาตัวในพริบตา สามารถทำให้เขาเป็นปฏิปักษ์ต่อกันอย่างรวดเร็ว สามารถนำความแตกแยกให้กับหมู่คนทั้งหลาย ฉะนั้นกรรมนี้จึงเป็นกรรมหนักเหมือนกับการฆ่า ถ้ารุนแรงเกิดเหตุร้ายแรงขึ้น มันก็เป็นกรรมหนักก็ลงนรกอเวจีได้เหมือนกัน
ฉะนั้นศีลทั้งหมดไม่ว่า 1-5 ข้อ ล้วนแล้วแต่เป็นองค์ประกอบเดียวกันทั้งสิ้น แต่มีแม่บทใหญ่อยู่แค่ 2 ข้อเท่านั้นเอง การเบียดเบียนด้วยกาย วาจาหรือว่าใจกายคือการกระทำวาจาคือสิ่งบอกกล่าวที่จะทำให้บุคคลนั้นเกิดความเสียหายรุนแรง ฉะนั้นศีลทั้งหมดจึงมีองค์ประกอบสำคัญในการเกิดมาเป็นคนที่อยู่ในโลกนี้ทั้งหมด ทุกสิ่งทุกอย่างที่พูดนั้นจะเกิดจากคนที่ไม่เคยปฏิบัติ จิตนั้นไม่เคยมีเมตตา จิตนั้นเป็นคนหยาบโดยสิ้นเชิง แต่ถ้าเราเคยกระทำมาในอดีตเราก็ยังต้องสามารถตั้งต้นใหม่ได้ ตั้งใจให้ถึงพร้อม วางวาจาให้ถูกต้องใช้ความนึกคิดที่ดี ใช้จิตที่มีเมตตาสูง เพราะหลักการของความเป็นคนนั้นอยู่ที่เราจัดวาง เราจะมุ่งไปสู่ในหนทางแห่งวิมุตหรือว่าหนทางแห่งอบาย 4 อยู่ที่ตัวเราฉะนั้นมีโอกาสเริ่มต้น มีโอกาสได้รับฟังต้องนำกลับไปพินิจพิจารณาแก้ไขในส่วนต่างๆ ที่เคยผ่านมาแล้วในอดีต ลดทอนให้ได้มากที่สุด จิตใจและอารมณ์เจตนาในการกระทำล้วนเป็นกรรมทั้งสิ้น ผู้ที่เรากระทำเดือดร้อนแสนสาหัสเป็นกรรมหนัก ฉะนั้นทานในทาน ศีลในศีลจึงมีข้อสรุปคร่าวๆ เพียงแค่นี้เพราะถ้าจะพูดต่อจะพูดอีกหลายชั่วโมงก็ยังไม่จบเพราะเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนเพียงแต่เบื้องต้นสิ่งต่างๆ ที่เราไม่เคยรับรู้และก็ไม่เคยรู้เลยเมื่อได้ฟังแล้วจึงต้องนำแนวทางต่างๆ ที่ได้รับฟังนำไปปฏิบัติ พยายามเข้าให้ได้ถึงสมาธิจิต การนั่งสมาธิมีประโยชน์มีคุณค่า สามารถบ่มเพาะคุณงามความดีต่างๆ ให้สถิตอยู่ในจิตในใจของเรา สามารถแก้ไขสิ่งบกพร่องที่เคยมีมาแล้วในอดีตและในอนาคตที่เราจะเดินไป ฉะนั้นจึงเป็นหลักใหญ่เป็นหลักสำคัญที่สุดที่พึงกระทำ เพราะวันเวลาและโอกาสไม่คอยใคร วันนี้เรานั่งอยู่พรุ่งนี้เราดับไปมีมากมายมหาศาล ฉะนั้นอย่าทิ้งเวลา อย่าคิดว่าเวลาเรามีมาก เวลาเราจำกัดเหลือน้อยเต็มที คนเราเกิดแก่เจ็บตายแน่นอนโอกาสที่เราจะหลุดจากโลกนี้ไปมีสูง เป็นทุกเวลาทุกชั่วโมงทุกวันทุกเดือน เราไม่สามารถที่จะยับยั้งการล่วงจากโลกนี้ไปได้ ฉะนั้นสิ่งที่เราจะต้องกำกับก็ต้องพยายามปฏิบัติให้ได้ เป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องปฏิบัติให้ได้ ไม่มีใครบังคับเราในการกระทำได้ แต่เราจะต้องไม่เปิดโอกาสให้สิ่งต่างๆ ที่เลวร้ายนั้นทำให้จิตเราเสื่อม
ฉะนั้นพึงเป็นนักปฏิบัติที่ดี ใช้สมาธิเข้าแก้ไขให้มาก สมาธิบังเกิดต่อเนื่องก็จะเกิดจิตที่มีความสงบ จิตที่มีความสงบนั้นเป็นบุญกุศล เมื่อสงบสูงสุดก็จะเข้าถึงแก่นแห่งปัญญา ปัญญานี่แหละเป็นตัวรู้เป็นตัวเห็น ภาพต่างๆ สิ่งต่างๆ ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นมโนภาพหรือความจริง ฉะนั้นการควบคุมกาย วาจา ใจของเรานั้นก็ต้องมาจากสมาธิจิตทั้งสิ้น ศีลในศีล ทานในทานจะสมบูรณ์ได้ด้วยวิถีแห่งจิตของผู้ปฏิบัติที่เข้าถึงหลักธรรมขั้นสูงเท่านั้น ฉะนั้นโอกาสของเรามีในสมถะเบื้องต้นเป็นประตูเปิดสู่ความสำเร็จในภายภาคหน้า เราจึงควรกระทำให้ปฏิบัติให้ต่อเนื่อง คิดว่าการปฏิบัติเป็นชีวิตของเราเพราะจริงๆ มันก็เป็นชีวิตของเรา ลมหายใจขาดเมื่อไหร่เราก็ดับเมื่อนั้น ฉะนั้นการรักษาลมหายใจของเราให้มีความละเอียด มีกำลัง จึงเป็นส่วนสำคัญในการเกิดของเรา
อาหารที่เข้าท้องเปรียบกับลมหายใจแล้วลมหายใจมีค่ามหาศาล เพราะลมหายใจนั้นคือชีวิต ขาดลมหายใจเมื่อไหร่ทุกอย่างในโลกสิ้นสุด ฉะนั้นการกำกับดูแลลมหายใจจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญทีสุดในชีวิตหนึ่ง ที่เกิดมาในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญเทียบเท่า และลมหายใจนี้ก็นำสู่ปัญญาขั้นสูงได้ นำสู่ความหลุดพ้นได้ในอนาคต เราต้องดูแลให้ดีรักษาให้ได้ ทิ้งสิ่งต่างๆ ที่เป็นของเก่าที่ผ่านพ้นมา นำสิ่งต่างๆ ที่ดีงามสถิตไว้กำกับดูแลลมหายใจเข้า-ออกให้ดี ชีวิตของเราก็มีประโยชน์มีคุณค่า เลื่อนค่าจากความดิบไปสู่ความละเอียดของคนที่ประเสริฐ เมื่อบรรลุธรรมขั้นสูงก็จะเป็นอริยบุคคลขั้นสูงเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐที่สมบูรณ์
ฉะนั้นไม่ว่าทานในทาน ศีลในศีลภาวนาในภาวนานั้นย่อมมีที่มาที่ไปอย่างถ่องแท้และแน่นอนไม่มีของปลอมเข้ามาเจือปนสิ่งที่อธิบายตั้งแต่ต้นก็มีความละเอียดอยู่ในตัว เมื่อผู้มีความสงบแค่ฟังก็เข้าใจ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่มีในหนังสือ มันเป็นของจริงที่ปรากฏชัดอยู่ในศีลในศีลแต่ถ้าทั่วไปธรรมดาก็เป็นศีลทั่วไปแต่เข้าไม่ถึงแก่นในในองค์ศีลนั้นๆ เหมือนดั่งการปฏิบัติสมาธิการภาวนาก็สักแต่ว่าปฏิบัติสมาธิ สักแต่ว่าภาวนาแต่ไม่รู้ว่าในสมาธินั้นมีอะไรในภาวนาแล้วได้อะไรไม่รับรู้ได้ ทำแค่ชั่วให้ผ่านให้ได้ชื่อว่าเราได้ภาวนา แต่การกำกับดูแลในหลักของการภาวนานั้นกลับไม่มี ไม่รู้ว่าภาวนาอย่างไร ภาวนาแล้วก็ยังอยู่กับที่ ไม่สามารถไปในอนาคตได้เลย ฉะนั้นการกระทำต่างๆ นั้นจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการปฏิบัติสมาธิในเบื้องต้น เราต้องพยายามปูรากฐานให้เข้มข้นให้เข้มแข็ง วางเหล็กวางคานให้ดี เราถึงจะสร้างบ้านหลังนี้ได้อย่างต่อเนื่องไม่ล้มครืนลงมา รากแก้วที่จะยึดติดในสมาธิในความสงบหรือในภาวนานี้จึงมาจากเบื้องต้นของสมถะที่เรากำลังปฏิบัติอยู่ พยายามทำสมถะให้เข้มแข็งให้รุดหน้า เมื่อสมาธิบังเกิดก่อเกิดถึงความสงบแล้ว นั่นแหละ เราเริ่มเปิดประตูสู่อริยะชนในวันข้างหน้าได้อย่างเต็มภูมิ ฉะนั้นขอให้ยึดหลักในการนั่งสมาธิให้มาก ดูลมให้ถ่องแท้ขจัดลมหยาบไปสู่ลมที่ละเอียดให้มากขึ้นๆ ในทุกๆ วันอย่าละทิ้งโอกาสอย่าละทิ้งเวลาอย่าคิดว่าการทำการค้านั้นมีค่าสูงสุดในชีวิตคน เพราะว่าสิ่งต่างๆ ที่เรามองรู้เห็นอยู่ในทุกวันนี้เป็นของโลกไม่ใช่ของเรา วันนี้บ้านนี้เป็นของเราแต่พรุ่งนี้เป็นของใครยังไม่รู้ถ้าเกิดวันนี้เราตายพรุ่งนี้เป็นของใครแล้วหละ เป็นของลูกหลาน แต่ถ้าอนาคตลูกหลานขายทิ้งไปเป็นของใครอีก ฉะนั้นสิ่งต่างๆ ในโลกไม่จีรังยั่งยืน เป็นของเราวันนี้แต่เป็นของคนอื่นในวันข้างหน้า แต่สมาธิและจิตวิญญาณนั้นไม่มีของใคร เป็นของเราแต่ผู้เดียว ในยามที่เราจากโลกนี้เราก็ไม่สามารถนำสิ่งใดๆติดตัวหรือว่าผู้ติดตามใดๆ ก็ไม่สามารถติดตามเราไปเพราะไม่มีใครยอมไป วันที่เรากำลังจะดับคนที่เราใกล้ชิดที่สุด คนที่เรารักทีสุดขอให้ร่วมเดินทางไปสู่โลกหน้าด้วยกันทุกคนต้องปฏิเสธ ร่างกายที่สวยสดงดงามของเรานั้น ตอนที่เรามีชีวิตอยู่ทุกอย่างดีหมดทุกอย่างใช่หมด ไม่ว่าจะกลิ่นหอมจรุงใจเนื้อหนังมังสาต่างๆ ความอบอุ่นความสวยงามทุกอย่างใช่หมด แต่ถ้าเราดับไปเมื่อไหร่แล้วไม่เกิน 7 วัน ทุกอย่างทิ้งลงทะเลหรือไปกลบฝังดินเพราะอะไร เพราะร่างกายทั้งหมดนั้นมันก็เน่าเหม็นผุผังไป ความสวยสดงดงามที่เคยมี ก็หมดไปในวาระของลมหายใจนั้น ฉะนั้นสิ่งต่างๆ ในโลกจึงมิใช่ของแท้ แต่การที่เราปฏิบัติสมาธิที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้เป็นของแท้แน่นอน เป็นของจริงที่ปรากฏ และจะติดตามเราไปไม่ว่าเราจะอยู่ในป่าดงดิบ อยู่ในถ้ำลึก อยู่ในใต้ทะเลหรือว่าอยู่ใต้ดิน สมาธิตัวนี้จะติดตามเราไปตลอดไม่มีวันทิ้งเราไปได้ เพราะเป็นสิ่งที่จะแนบแน่นติดจิตวิญญาณไปตามกระแสไปสู่โลกไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติไปสู่ทุกสถานที่ไม่มีวันลบเลือนได้ จะเอายางลบขนาดไหนลบอย่างไรก็ลบไม่ออกเพราะว่ามันสถิตเป็นเนื้อเดียวกันตามกระแสของกรรม ถึงแม้จิตเราดวงนี้ร่างกายตัวนี้ของเราดับไป แต่สิ่งต่างๆ ที่เรากระทำกระแสต่างๆ ที่เรามีย่อมปรากฏชัดไปก่อเกิดในอีกมิติหนึ่ง ด้วยจิตดวงใหม่ที่ปรากฏขึ้น กระแสนี้เข้าปฏิสนธิและก็นำพาเดินทางไปเกิดในภพชาติต่อไป ฉะนั้นจิตนี้จึงไม่มีวันดับ กระแสแห่งกรรมไม่มีวันดับ เพราะดวงเก่าดับดวงใหม่มาเป็นอย่างนี้อย่างต่อเนื่องยาวนาน
ถ้าเรายังหลงอยู่ในโลกสงสารนี้ด้วยอำนาจของกิเลสและตัณหาและอุปาทานทั้งหลายที่เป็นความหลงที่ทำให้เราหลงผิดทำให้จิตของเราเสื่อม เราก็จะไม่มีวันที่จะสามารถหลุดพ้นจากวัฏฏะและสงสารนี้ แต่ว่าแนวทางที่เราให้ในทุกๆ วันในแนวทางของการปฏิบัตินั้น ถึงแม้เบื้องต้นจะหยาบภูมิรู้จะไม่มี แต่ถ้าเราได้ปฏิบัติไปอย่างต่อเนื่องยาวนาน ไม่มีสิ่งใดที่เราไม่ได้ และสิ่งที่เราได้นั้นเป็นของแท้แน่นอนเป็นของของเราที่จะติดใจติดจิตของเรานั้นไปตลอด ไม่ว่าจะเกิดในสถานที่ใด ทุกสิ่งทุกอย่างตามจิตของเราไปตลอดไม่มีวันห่างไกล ฉะนั้นการนั่งสมาธิจึงมีความสำคัญสูงสุดของการเกิดของเราในชาตินี้ ถึงกระทำให้ได้มากทำให้สม่ำเสมอ อายุมากขึ้นการงานต้องละ สร้างบุญกุศล เพื่อกุศลนั้นจะได้เป็นตัวเผื่อแผ่โอบอุ้มลูกหลานญาติมิตรของเรานั้นให้อยู่รอดปลอดภัยในอนาคตหลังจากที่เราดับไปแล้ว เพราะเวลาที่เหลืออยู่มันไม่มาก อย่าคิดว่าเงินทองสำคัญ ภารกิจสำคัญ เพราะทุกสิ่งเป็นของโลกไม่ใช่ของเรา ตัวสมาธิตัวเดียวเป็นของเรา นำจิตใจของเราได้ตลอด ไม่มีคนใกล้ชิดคอยอุ้มชูช่วยเหลือเรา แต่สมาธิและจิตวิญญาณที่เข้มข้นที่ประกอบด้วยบุญกุศลที่สูงสุดนั้น นั่นแหละเป็นกำลังสำคัญที่จะนำส่งจิตวิญญาณของเรานั้นไปในทุกแดน ไม่ว่าแดนนั้นจะอยู่ที่ไหน
ฉะนั้นขอให้ทุกคนได้รับฟังในวันนี้ต้องพยายามกระทำให้ได้อย่าคิดว่าสิ่งที่เรากำลังกระทำนั้นหาความหมายไมได้ ขอให้ตั้งใจตั้งมั่นเริ่มต้นใหม่ในวันนี้ วันหนึ่งเราก็จะประสบความสำเร็จได้ นำพาทรัพย์ภายในนั้นไปด้วยเพราะทรัพย์ต่างๆ ที่เรากระทำอยู่ในตอนนี้ไปรอเราแล้วในชาติภูมิต่อไป ในยามที่เรามีความเดือดร้อนสิ่งที่เรากระทำนี้จะเป็นตัวช่วยหรือไม่สิ่งที่เป็นกุศลต่างๆ ก็สามารถที่จะส่งให้กับจิตวิญญาณต่างๆ ของบุคคลที่เราเคารพนับถือ บุคคลที่มีบุญคุณไม่ว่าจะเป็นปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ญาติพี่น้องญาติมิตรสนิท อานิสงส์ที่เรากระทำนั้นเป็นบุญกุศลอย่างสูง สามารถเผื่อแผ่ให้กับคนที่เดือดร้อนไม่ว่าจะเป็นคนเป็นหรือจิตวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้ว เพราะฉะนั้นจึงมีความประเสริฐอยู่ในตัว ขอให้เราหลักการปฏิบัติภาวนาให้ได้มากที่สุดในทุกเวลาที่เหลืออยู่
..........................................
1 _28_1_2556 6_57(5)
ความสำคัญของศีล
ศีล สมาธิ ปัญญาศีลเป็นข้อจำกัดซึ่งการเบียดเบียนต่อคนและสัตว์ ไม่ว่าการปฏิบัติต่างๆ เข้าถึงองค์ศีลได้อย่างถ่องแท้ศีลก็หมดจดบริสุทธิ์ นำพาซึ่งจิตวิญญาณนั้นมีความหมดจด ปราศจากสิ่งที่เศร้าหมองมารบกวนจิตใจในขณะที่เราปฏิบัติสมาธิ
เมื่อศีลหมดจดสมาธิย่อมบังเกิดขึ้นอย่างแน่วแน่ สมาธิเมื่อถึงขีดสุดแล้วเข้าสู่ความสงบ ไม่มีสิ่งใดสามารถที่จะมารบกวนหรือขัดขวางได้ เพราะศีลและสมาธินั้นเมื่อศีลหมดจดสมาธิก็จะสมบูรณ์ไปโดยธรรมชาติ เพราะจิตนั้นมีความสงบเย็นปราศจากเรื่องราวต่างๆ ที่จะมาขัดขวางทำให้ไม่สามารถทรงไว้แล้วซึ่งสมาธิได้ ศีลจึงเป็นหัวใจหลักของนักปฏิบัติภาวนาทุกคน
ศีลเป็นหัวใจเป็นสิ่งที่นักปฏิบัตินั้นพึงปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพราะถ้าศีลไม่หมดจดการปฏิบัติไม่รุดหน้า ถ้าศีลมัวหมองสมาธิไม่เกิด เพราะสิ่งต่างๆเหมือนดั่งกระแสแห่งกรรมที่จะคอยหยุดยั้งมิให้เรามาเจริญความดี เพราะฉะนั้นการปฏิบัติ การใคร่ครวญ การเรียนรู้ต้องพยายามเขาใจให้ถ่องแท้ในเรื่องของศีลให้ได้มากที่สุด เพื่อเราจะได้ปราศจากสิ่งต่างๆ ที่มันจะมาหลอกหลอนใจเราในขณะที่เรานั่งสมาธิ เพราะฉะนั้นศีลจึงเป็นข้อสำคัญที่สุดเป็นหัวใจหลักของนักภาวนาทุกๆ คน ศีลหมดจดมากเท่าใดสมาธิก็เพิ่มพูนมากเท่านั้น เมื่อศีลสมาธิสมบูรณ์การภาวนาก็เกิดผล การภาวนามุ่งสู่วิมุตทั้งความหลุดพ้น
ศีลสมาธิเป็นตัวเปิดเป็นตัวสูง เมื่อจิตนั้นเข้าสู่ความสงบขั้นสูงความสงบนั้นเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญาทั้งหมด ศีลสมาธิจึงเป็นต้นทางที่จะนำพาจิตวิญญาณของนักปฏิบัตินั้นไปสู่การเรียนรู้ในโลกของปัญญาในอีกมิติหนึ่งของการเรียนรู้ ในทางโลกนั้นเราเรียนรู้มามาก เราเห็นมามาก เราได้ยินมามาก เราสัมผัสได้ก็มากมาย ฉะนั้นการฝึกสมาธิเพื่อเข้าถึงปัญญาอันเป็นการหลุดพ้นนั้น จึงต้องอาศัยวันเวลาอาศัยการรักษาศีล อาศัยสติ และอาศัยสมาธิ อาศัยความสงบเพื่อมาพัฒนาจิตใจของเรานั้นให้ยกระดับขึ้นสูงได้ในทุกๆ วัน เมื่อจิตได้รับการยกระดับพัฒนาจนกระทั่งถึงแก่นแห่งความรู้ทั้งหลายที่จะบังเกิดขึ้นในสมาธิในขณะที่เราปฏิบัติ องค์ความรู้ต่างๆ นั้นจึงมาจากความสงบโดยสมบูรณ์ เป็นกระแสแห่งโลกภายในอันมี กาย เวทนา จิต ธรรม ซึ่งในชื่อต่างๆ นั้นนักปฏิบัติบางคนอาจจะไม่เคยได้ยิน กาย เวทนา จิต ธรรมเป็นเบื้องต้น กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และก็ ธรรมในธรรมนั้นเป็นของสูงสุด ฉะนั้นการพิจารณาในทางธรรมในการปฏิบัตินั้นเมื่อถึงขั้นภูมิหนึ่งเราก็จะมาพิจารณาเรื่องของกาย เวทนา จิตและธรรม ซึ่งเป็นประตูด่านแรกของวิปัสสนาญาณ แต่การที่จะเข้าถึงกาย เวทนา จิตธรรมได้นั้น ภูมิสมาธิการรักษาศีลนั้นต้องเคร่งครัดอย่างสูง เราจึงจะสำฤทธิ์ผลได้ในวิปัสสนาญาณได้ในวันข้างหน้า ฉะนั้นพื้นฐานสำคัญหลักใหญ่ของนักปฏิบัติทุกคนก็คือการเข้าถึงสมาธิจิตของความสงบให้ได้มากที่สุด จนกระทั่งความสงบแปรเปลี่ยนกลายเป็นความละเอียดในความสงบ
จิตของเรานั้นดับหายไปสิ้นเมื่อความสงบเข้าถึงขีดสุด กายทั้งกาย ลมทั้งหมดก็หายไปหมดสิ้นเฉกเช่นเดียวกัน เวลาในโลกนั้นย่นย่อสั้นลง การปฏิบัติก่อเกิดเวทนาเมื่อถึงขั้นภูมินี้เวทนาก็ดับสิ้น ไม่มีหลงเหลือให้เราพิจารณาอีก ฉะนั้นในขั้นต้นของสมาธิจิตในขั้นภาวนานี้ เวทนาเป็นอาจารย์อันดับแรกที่ผู้ใฝ่รู้ในสมาธิทั้งหลายนั้นต้องพยายามผ่านและต้องจดจำสิ่งเหล่านี้ให้มันสถิตให้ได้มากที่สุด อยู่ในจิตใจของเรา เพื่อเมื่อเราผ่านพ้นเวทนาในจุดนี้ไปแล้วต่อไปเวทนาจะไม่หันกลับมาหาเราอีก ฉะนั้นการเรียนรู้ในภายภาคหน้าจึงไม่พบในเรื่องเวทนามากเท่าใด เบื้องต้นของการเรียนรู้จึงเป็นโอกาสทองและเป็นโอกาสเดียวที่เราสามารถเรียนรู้เวทนาได้อย่างต่อเนื่อง เพราะกายจิตของเรายังหนักหน่วงยังหยาบ
เวทนาเกิดจากความหยาบ จิตยิ่งหยาบมากเวทนาก็ยิ่งมาก จิตยิ่งละเอียดมากเวทนาก็ค่อยๆ หายไปในที่สุด ฉะนั้นโอกาสทองนี้ต้องพยายามเข้าถึงให้ได้ อย่าละเลิกในขณะที่เวทนาเกิด เพราะเวทนาเป็นอาจารย์คนแรกของการปฏิบัติสมาธิ เวทนาคือความปวดความร้าวความชา เราอย่ากลัวอย่าคิดถึงต้องพยายามจับอารมณ์ของเวทนาตัวนี้ให้ได้ การปฏิบัติสมาธิจึงจะรุดหน้าไปในวันข้างหน้าได้อย่างสมบูรณ์ การปฏิบัติอาศัยศีลเป็นหลักเพื่อเข้าถึงภูมิแห่งสมาธิขั้นสูง สิ่งที่เรากระทำมาใน 2 วันนี้ก็คือการปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงแก่นแห่งความละวาง เราก็ได้รับฟังไปใน 2 วันในเรื่องของทานในทานและก็ศีลในศีล แต่ความละเอียดนั้นก็ยังเป็นแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์เพราะเวลาเป็นตัวจำกัด ถ้าจะพูดมากยืดยาวเวทนาก็เกิดมาก ฉะนั้นเพียงแต่พูดย่นย่อแต่ได้ในความก็ได้รับรู้และเข้าใจในหลักการต่างๆ เราได้ยินได้ฟังมามากว่า ทาน ศีล ภาวนาเป็นของนักปฏิบัติที่ดี แต่เราไม่เคยรู้เลยว่า ในทาน ในศีล ในภาวนานั้นเป็นอย่างไร ความละเอียดในวิถีนั้นเป็นอย่างไร ฉะนั้นใน 2 วันนี้ก็ได้แยกแยะในเรื่องทานถึงทานและศีลถึงศีลก็ละเอียดพอสังเขป ยังเหลือภาวนาในภาวนา การภาวนาอาศัยวันเวลา อาศัยการตั้งมั่น อาศัยจิตที่มีศรัทธาเต็มล้น อาศัยศีล อาศัยสมาธิ อาศัยความสงบเป็นตัวส่ง สมาธิจิตที่เกิดจากภาวนาขั้นสูง เป็นสมาธิเป็นจิตภาวนาที่ไร้ขอบเขตข้อจำกัด จิตที่เกิดจากความสงบ สมาธิที่เกิดจากความสงบนั้นเป็นภูมิรู้ที่กว้างไกล สามารถเรียนรู้โลกได้ในทุกๆ ด้าน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นชี้นำเหตุ มองเหตุ รู้เหตุด้วยความชัดแจ้ง ด้วยภาวะแห่งสมาธิจิตที่บังเกิดความสงบ ก่อเกิดปัญญาขั้นสูง ฉะนั้นภาวนาในภาวนาจึงจะต้องอาศัยความอดทนอดกลั้นในขั้นสูง เพื่อระลึกรู้ว่าสิ่งที่เรากระทำนั้นเราทำเพื่ออะไร เราทำเพื่อความหลุดพ้นหรือว่าเป็นการทำเพื่อพักจิต หรือว่าทำเพื่อแห่ตามไปดู ฉะนั้น 3 สถานะนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ถ้าแห่ตามไปดูก็คือภาวนาก็เพื่อให้รู้ว่าได้ภาวนาแต่ไม่ต้องการผล ไม่ต้องการใฝ่หาซึ่งภูมิรู้ต่างๆ เพียงต้องการความสงบทางใจเท่านั้นเพื่อคลี่คลายความทุกข์ร้อนต่างๆ ที่รุมเร้าเพื่อคลี่คลายความผิดหวังต่างๆ ที่เข้ามา เพื่อคลี่คลายสิ่งต่างๆ ที่ผิดหวัง จึงเป็นเหตุแห่งการตามไปดูภาวนา มิใช่แก่นแท้ของนักปฏิบัติทั่วไป ภาวนาเพื่อให้หลุดพ้นจากความทุกข์ในชั่วขณะหนึ่งที่กำลังประสบอยู่ ภาวนาเพื่ออาศัยบุญกุศลนี้คลี่คลายปัญหาต่างๆ ที่เข้ารุมเร้า สิ่งที่กล่าวมานี้จึงเป็นภาวนาเพื่อให้หลุดพ้นจากความทุกข์เท่านั้น ไม่หวังผลในการข้างหน้า เมื่อความทุกข์นั้นหมดไปการภาวนาก็สิ้นสุดลง กลับไปใช้ชีวิตในโลกสงสารต่อไป เพราะฉะนั้นจึงเป็น ทาน ศีล ภาวนา ในชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นและส่วนมากจะเป็นเช่นนั้น การที่นักภาวนาจะเข้าถึงความหลุดพ้นนั้นมีน้อยมาก เพราะขาดเหตุปัจจัยในการหนุนส่ง ส่วนใหญ่แล้วคนทั่วไปอาศัยหลักการเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเพื่อคลายความทุกข์ต่างๆ เมื่อความทุกข์นั้นหมดไปทุกสิ่งก็จบลง ฉะนั้นการภาวนาเพื่อให้เข้าถึงหลักการหรือแก่นธรรมอย่างถ่องแท้นั้น จึงไม่ใช่การภาวนาของบุคคลประเภทแรก จึงเป็นภาวนาในขั้นภูมิของการภาวนาธรรมดาทั่วไป บางครั้งเหตุที่จะนำพาคนมาภาวนาจิตนั้นก็อาจจะมาจากการอยากรู้ว่าการนั่งสมาธินั้นเป็นเช่นไร แต่เมื่อนั่งไปนั่งมาไม่ได้ภูมิธรรมสิ่งใดบังเกิดขึ้นก็จะเลิกเพราะไม่ได้สิ่งใดเลยในขณะที่เราภาวนา ฉะนั้นภาวนาในภาวนาจึงเป็นของที่นักปฏิบัตินั้นจะต้องปฏิบัติด้วยความเพียรขั้นสูงสุด ต้องมีความขยัน มีความอดทน มีขันติ มีความวิริยะ และก็มีสัจจะ มีเป้าหมายในการเดินทางในห้วงเวลาของจิตนั้นอย่างสมบูรณ์ ภาวนาธรรมดาคือการดับทุกข์ร้อนชั่วขณะ แต่ภาวนาในภาวนานั้นเป็นการดับทุกข์โดยสิ้นเชิง
การปฏิบัติสมาธิเพื่อให้เข้าถึงภาวนาในภาวนานั้นจะต้องตั้งมั่น จะต้องมีสัจจะ เพื่อมุ่งสู่ความหลุดพ้นได้ในที่สุด จิตที่ปฏิบัติสมาธิอย่างต่อเนื่อง ภูมิธรรมความรู้ต่างๆ ก็จะบังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจิตมีความตั้งมั่นการภาวนาไม่ลดละ การปฏิบัติสม่ำเสมอย่อมนำพาจิตภาวนาจากธรรมดาไปสู่ขั้นสูงได้ในที่สุด เพราะฉะนั้นทานก็ดี ศีลก็ดีในภาวนาก็ดีจะบรรลุสู่จุดสูงด้อยนั้นต้องอาศัยความตั้งใจและอาศัยความเพียรเป็นหลักภาวนาจิตบังเกิดภูมิรู้ ภาวนาในภาวนาเป็นความรู้ในส่วนที่ละเอียดสูงสุดซึ่งบุคคลธรรมดาทั่วไปไม่สามารถที่จะเข้าถึงได้ นอกจากผู้ปฏิบัตินั้นขึ้นสู่ภูมิธรรมขั้นสูง เรียนรู้การปฏิบัติได้อย่างถ่องแท้ชัดเจน จึงสามารถระลึกรู้ได้ในสิ่งต่างๆ ที่บังเกิดขึ้นในโลก สามารถแยกแยะได้ชัดแจ้งชัดเจน
ฉะนั้นทานในทาน ศีลในศีล ภาวนาในภาวนา จึงมีข้อสังเกตดังที่กล่าวมาในหลายวันนี้ ภาวนาในเบื้องต้นคือการดับทุกข์ในชั่วขณะหนึ่งของนักปฏิบัติที่เขาเรียนรู้เพื่อคลายทุกข์ที่เกิดขึ้น ส่วนภาวนาในภาวนาที่แท้จริงนั้นเป็นการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น มีเป้าหมาย สู่ขั้นภูมิของการแตกดับโดยไม่หวนคืนมาอีก เพราะฉะนั้นการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นนั้นหัวใจหลักที่สุดคือศีล ศีลเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนไปสู่มิติ ไปสู่เป้าหมาย เมื่อสมาธิมีความละเอียดสูงสุดจิตวิญญาณนั้นมีความสงบถึงที่สุดแล้วปัญญาในวิมุติสุขก็จะบังเกิดขึ้น สิ่งต่างๆ ในโลกล้วนแต่มีความสงบภายในจิตของเรา ภาวนาในภาวนา สร้างสรรค์บุคคลต่างๆ นั้นจากความหยาบกร้านเป็นคนละเอียดและเป็นคนละเอียดในละเอียดถึงแก่นธรรมถึงภูมิรู้ที่สามารถแยกแยะในทุกแหตุการณ์ในทุกเรื่องราวได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด นักภาวนาทั่วไปที่ปฏิบัติเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ไม่สามารถช่วยเหลือจิตวิญญาณที่เกิดแล้วในโลกนี้ได้ เพราะทุกวันยังอยู่คู่ทุกข์คู่สุขอยู่ตลอด ไม่อาจละวางในสิ่งต่างๆ ที่บังเกิดขึ้น ไม่สามารถจำแนกแยกแยะในเหตุที่เกิดขึ้น นักภาวนาที่เข้าถึงแก่นแห่งภาวนานั้น เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วย่อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง บุคคลที่ปฏิบัติเพื่อใฝ่หาภูมิธรรมหรือภูมิรู้ต่างๆ เพื่อนำมาจัดการวางระบบระเบียบเพื่อความหลุดพ้นในวันข้างหน้า จึงมีความสมบูรณ์ในคำว่าภาวนาในภาวนาถึงที่สุดของแก่นแห่งภูมิรู้
ฉะนั้นการปฏิบัติเข้าถึงสมาธิ เข้าถึงความสงบเข้าถึงปัญญาเข้าถึงวิมุติความหลุดพ้น จึงเป็นสิ่งที่นักปฏิบัติทั้งหลายนั้นพึงแยกแยะให้ดี เป้าหมายของเรานั้นอยู่ชั่วขณะหนึ่งหรือว่าอยากเรียนรู้ถึงขั้นภูมิของการดับแล้วไม่เกิด การปฏิบัติในสมาธิเบื้องต้นนั้นถือว่าเป็นองค์รวม ในเบื้องต้นปฏิบัติเพื่อใฝ่หาความสงบ ในท่ามกลางปฏิบัติเพื่อใฝ่หาปัญญา ในที่สุดปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น อาศัย3 สถานะนี้แล้วความสำเร็จในวันข้างหน้าก็ยังพอมี จิตที่เป็นภาวนาในภาวนานั้นเป็นจิตที่ละเอียด แยกแยะวัตถุสิ่งของแยกแยะการกระทำของคน แยกแยะอกุศลกรรม แยกแยะกุศลกรรมทุกสิ่งนั้นได้อย่างชัดเจนไม่มีวันผิดพลาด เพราะผู้มีวิถีจิตของความละเอียดในภาวนานั้นจะมีความจริงแท้ เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน และมั่นคง
การปฏิบัติของเราในทุกๆ ครั้งต้องพยายามใช้ศรัทธา ใช้ความตั้งมั่น ยืนหลักแห่งการหลุดพ้นให้ได้มากที่สุดอย่างภาวนาแค่ชั่วขณะมีความทุกข์เท่านั้น เพราะความทุกข์ต่างๆ ที่หมดไปความทุกข์นั้นก็ยังต้องหวนกลับมาอีก ไม่มีทุกข์ยั่งยืนและไม่มีสุขถาวร ฉะนั้นต้องพยายามปฏิบัติสมาธิในแนวทางของสมาธิให้ถึงขีดแห่งความสมบูรณ์มากที่สุดอย่าละเลย อย่าวางเฉย อย่าคิดว่าไม่สำคัญ เพราะสิ่งต่างๆ ที่ผ่านพ้นมาในอดีตนั้นย่อมมีทุกสิ่งทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรมได้ปนเปกันมาโดยตลอด ไม่มีใครเคยทำความดีได้ถึงที่สุด แต่ก็ไม่มีบุคคลใดที่ทำความไม่ดีได้ถึงที่สุดเหมือนกัน ฉะนั้นสิ่งต่างๆ หรือความผิดพลาดที่ผ่านมาในอดีตนั้น ต้องพยายามจัด พยายามนึกคิดเพื่อเราจะได้ระวางไม่ทำอีกจะไม่ผิดอีก
ฉะนั้นสมาธิต้องพัฒนาปฏิบัติให้เข้าถึงสมาธิให้ได้มากที่สุดทุกสิ่งในสมาธิเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของเราในสังคมโลกในวันข้างหน้าได้อย่างดีที่สุด เพราะสมาธิช่วยสร้างสรรค์ ช่วยขี้นำ ช่วยดับร้อน ช่วยดับความวุ่นวาย สมาธิจิตยิ่งเข้มแข็งภูมิปัญญาต่างๆ ย่อมมีมาก การจัดวางชีวิตทั้งต่อตัวเองและบุคคลรอบข้างก็เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นบรรทัดฐานที่สามารถหล่อหลอมให้บริวารรอบข้างของเรานั้นเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ขจัดพ้นแล้วซึ่งความทุกข์ร้อนต่างๆ ได้อย่างแน่นอน ทานในทานศีลในศีล ภาวนาในภาวนานั้นเป็นการปฏิบัติที่ลึกซึ้ง เข้าถึงแก่น เข้าถึงราก เข้าถึงโคนของทาน ศีล ภาวนาอย่างลึกซึ้ง ถูกต้อง แน่นอนได้ถึงที่สุด ฉะนั้นสิ่งที่เราเรียนรู้สิ่งที่เราเคยมีก็ต้องพยายามกระทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้ภูมิรู้ภูมิธรรม จะได้เป็นสิ่งที่เราสามารถนำมาใช้ในการควบคุมในแนวทางของตัวเราเองและบุคคลอื่นได้อย่างถูกต้องและดีงามได้โดยตลอด ขอให้นึกว่า ทาน ศีล ภาวนา และศีล สมาธิ ปัญญานั้นเป็นของสูงและเป็นสิ่งที่เราจะต้องพยายามไขว่คว้ามาให้ได้มากที่สุด การปฏิบัติธรรมเข้าถึงการปฏิบัติธรรมโดยแท้ อย่าละเลยอย่ากระทำเพียงแค่อยากจะทำในชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เมื่อเราสามารถปฏิบัติด้วยจิตวิญญาณที่เข้มแข็งด้วยศรัทธาที่เต็มล้นแล้ว สิ่งต่างๆ นั้นมีผลสูงสุด บุญกุศลก็ได้สูงสุด ทานบารมีก็ได้สูงสุด ฉะนั้นสิ่งที่เราปฏิบัติจะเห็นผลได้ด้วยสิ่งที่เรากระทำได้อย่างต่อเนื่องบังเกิดบุญกุศลอย่างต่อเนื่องน้อมนำจิตใจนั้นไปสู่ที่สูงขึ้นทุกขณะจิต ฉะนั้นทานในทาน ศีลในศีล ภาวนาในภาวนาจึงเป็นของที่นักปฏิบัติพึงกระทำให้ได้มากที่สุด เข้าถึงให้ได้มากที่สุด เพื่อการแยกแยะในสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ให้ได้กระจ่างชัดเราจะได้ไม่ผิดพลาดในอนาคต ขอให้มีเวลาตั้งอกตั้งใจในการกระทำให้ได้ถึงพร้อม ให้ได้นานที่สุด
ป.จิตธรรม
4-7-56

......................................