23/11/55 แผ่น 1
แสงธรรมนำจิตข้ามภพชาติ โดย ป.จิตธรรม
การให้ทานหนึ่ง การรักษาศีลหนึ่ง การสวดมนต์หนึ่ง การภาวนาหนึ่ง ทุกสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่มีคุณค่าอันทรงไว้ซึ่งความประเสริฐ ที่บุคคลทั้งหลายไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด เมื่อปฏิบัติแล้วย่อมเพิ่มคุณค่าให้กับตัวเองและจิตวิญญาณของเราเอง ดังเช่นใครทำสิ่งใดไว้ก็จะได้สิ่งนั้น กินข้าวก็อิ่มท้อง ฉะนั้นการปฏิบัติการกระทำต่างๆ อย่างสม่ำเสมอย่อมทรงแล้วซึ่งผลอันประเสริฐ ไม่ว่ายามที่เรามีชีวิตอยู่หรือว่ายามที่เราจะต้องจากโลกนี้ไป เพราะสิ่งต่างๆ ที่กระทำนั้นย่อมนำพาให้สถานะในการสู่อีกมิติหนึ่งนั้นเป็นไปในทางที่ดี การที่เราหมั่นสร้างไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล ภาวนา การสวดมนต์ต่างๆ ย่อมเป็นหนทางที่ดีที่มีคุณค่าพึงกระทำ ทำแล้วไม่เสียเปล่า ทำแล้วย่อมมีผล เมื่อยามมีชีวิตอยู่หรือยามที่เราแตกดับจากโลกนี้ไปย่อมทรงไว้ซึ่งคุณค่าของบุญกุศล เสริมอานิสงส์ เสริมบุญทาน ทำให้จังหวะการดำเนินชีวิตของเรานั้นเป็นไปด้วยดี อุปสรรคก็ลดน้อยถอยลง สิ่งต่างๆ ที่ไม่ดีก็จะขจัดพ้นผ่านไปได้ในยามที่ต้องจากโลกนี้ไปในขณะที่จิตเราจะดับ บุญกุศลต่างๆ เหล่านี้ที่เรากระทำ ก็ย่อมหนุนพาเรานั้นให้จากไปด้วยความสงบ จิตมีวิถีแห่งการเดินทางมีแสงสว่างของจิต นำทางส่งข้ามภพข้ามชาติไปจุติหรือไปเกิดในสถานะที่ดีขึ้น การกระทำด้วยทานก็ดี ศีลก็ดี สวดมนต์ก็ดี นั่งสมาธิก็ดี ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่นำความดีมาสู่ตน มาสู่จิตและวิญญาณของตัวเราเอง การปฏิบัติจึงไม่ใช่สิ่งที่สูญเปล่า เราจึงพึงควรกระทำให้ได้มากเข้าไว้ บางครั้งคนเราเกิดมาวันนี้อยู่พรุ่งนี้ไป หาความแน่นอนนั้นไม่ได้ ยามจะไปก็ไปเลยแม้กระทั่งคำล่ำลาก็ไม่มี เราจึงพึงอยู่ในความไม่ประมาท เพราะเราอาจจะไม่มีวันพรุ่ง เรามีวันนี้ต้องทำวันนี้ให้ดี ต้องทำวันนี้ให้มาก สิ่งใดที่เรายังไม่ทำต้องรีบกระทำแล้วให้มันหมดจด สิ่งที่ติดค้างก็ต้องพยายามกระทำขจัดหรือทำให้เสร็จสิ้นไป สิ่งที่ยังไม่ได้กระทำก็พึงควรกระทำให้ได้มากที่สุดเท่าที่วันเวลาที่เรามีเหลืออยู่
บุญกุศลต่างๆ เหล่านี้ไม่คอยให้เราทำ ถ้าเราพลาดเราก็ไป แต่การไปของเรานั้นต้องไปให้สว่าง อย่าไปด้วยความมืดมิดของจิต การหมั่นให้ทานสร้างกุศลเราพึงอย่าละเว้นง่ายๆ ต้องพยายามกระทำให้ได้มาก การสวดมนต์ภาวนาเป็นที่ตั้งของบุญกุศล เป็นประตูสู่ความสำเร็จ การรักษาศีลเป็นสิ่งที่ทำให้เรานั้นหมดจด ปราศจากสิ่งที่จะกีดขวางกางกั้น การภาวนาเป็นสิ่งที่จะนำพาจิตวิญญาณของเรานั้นมีความสำเร็จ ไม่ว่าทั้งภพนี้หรือภพหน้า การตัดภพตัดชาติของเรานั้นย่อมอยู่ด้วยภาวนาทั้งสิ้น การเกิด การจาก ความสูญเสียทุกอย่างเป็นของโลกไม่มีใครผู้หนึ่งผู้ใดนั้นสามารถที่จะหลีกหนีพ้นได้ ในเมื่อเรามีเวลาที่หลงเหลืออยู่พยายามทำให้เต็มพร้อมในทุกๆ วัน เผื่อพรุ่งนี้เราไม่ตื่นเราก็จะได้นำสิ่งที่ดีดีเป็นทรัพย์เป็นส่วนที่ส่งให้เราข้ามภพข้ามชาติไปจุติในสถานที่ดีขึ้น เราจะได้ไม่ลำบากลำบนเพราะว่าขาดบุญกุศลที่จะหนุนเสริม
คนเราเกิดมาชั่วแค่หลับฝันแล้วตื่น ชีวิตทุกชวิตที่เกิดมาแล้วมีเพียงแค่ลมหายใจ ย่อมไม่แน่นอน แปรปรวนตั้งอยู่ ดับไป ในทุกสภาวะ แม้กระทั่งร่างกายของเรานั้นก็แปรเปลี่ยนตลอด วันนี้ดีพรุ่งนี้ไข้มะรืนนี้เจ็บ ฉะนั้นสิ่งต่างๆ ที่แน่นอนก็คือจิตวิญญาณที่ได้รับการฝึกได้รับการขัดเกลาที่ดี สามารถนำพาจิตวิญญาณต่างๆของ เรานั้นให้มีคุณค่ามีความประเสริฐ เวลาจากโลกนี้ไปมันก็จะหมดจดงดงาม เกิดในสถานะที่ดีเป็นไปตามวาระแห่งจิตวิญญาณที่ได้รับการอบรมแล้ว จิตไม่มีความทุกข์ ไม่มีความโศก ไม่มีความเศร้า จิตจะมีแต่ความละวาง มีความถึงพร้อมในทุกสภาวะ ไม่ว่าจะแตกดับหรือยังยืนอยู่ในโลก ทาน ศีล ภาวนา การสวดมนต์จึงต้องกระทำให้ได้อย่างสม่ำเสมอ
ชีวิตวนเวียนตายเกิดอยู่ทุกสถานะ ชีวิตไม่สามารถทรงอยู่ได้ตลอดกาล ร่างกายที่เข้มแข็งสุดท้ายแล้วก็อ่อนแอแล้วก็ผุพังไปในที่สุด ฉะนั้นทุกสิ่งในโลกล้วนไม่เที่ยงแท้ไม่แน่นอนไม่คงอยู่ สุดท้ายดับไปในที่สุด สรีระต่างๆ ที่เรามีอยู่จึงสมควรที่ต้องใช้ให้ได้อย่างมีประโยชน์และให้ได้มีคุณค่ามากที่สุด อย่างหลงระเริง อย่าประมาท อย่างผัดวันประกันพรุ่ง วันนี้ไม่ทำพรุ่งนี้ค่อยทำก็ได้ แต่หารู้ไม่ว่าวันนี้ที่เราไม่ได้ทำแต่ถ้าเราเกิดจากโลกนี้ไปในกะทันหัน เราก็จะไม่มีโอกาสได้กระทำอีก เราต้องพยายามกระทำในสิ่งที่ดีดีให้ได้ทุกๆ วันทำให้ได้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสิ่งต่างๆ เหล่านั้นจะได้เป็นหนทางแห่งความสว่างของจิตวิญญาณของเรานั้นบรรลุวิถีแห่งการเกิด ไปปฏิสนธิในแดนสุขาวดีในแดนสรวงสวรรค์หรือการเกิดมาเป็นคนอีกครั้งหนึ่ง เกิดมาแล้วต้องพยายามไม่ลดจากฐานะของความเป็นคน และต้องไม่ไปเกิดตกอยู่ในอบาย 4 ไปในภูมิของสัตว์เดรัจฉานที่เราเห็นต่างๆ อยู่ทุกวัน แต่ถ้าเราไม่ประมาท สิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็คงจะไม่เกิดกับเรา ขอให้เราได้เกิดมาเป็นคนในทุกชาติเพื่อจะได้สุดท้ายแล้วสามารถหลีกลี้หลีกเร้นจากการเกิดได้ในที่สุด เป็นพรหมเทวดาล้วนแล้วแต่ต้องจุติกลับมาเกิดเป็นคนทั้งสิ้น ยกเว้นแต่พระอรหันต์เจ้าเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะหลุดพ้นจากการเกิด ยกเว้นแต่ผู้ปฏิบัติซึ่งความดีได้ขั้นสูงสุดถึงขั้นของพระอรหันต์เจ้าเท่านั้น แต่เราสามารถสร้างสมคุณงามความดีต่างๆ เพื่อเน้นชี้ในสถานที่เกิดของเราในทุกภพทุกชาติได้อย่างมั่นคง ไม่หลงตนหลุดพ้นจากความเป็นคน ไปเกิดในท่ามกลางของอบาย 4 คือ นรก เปรต อสูรกาย และสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย ซึ่งเป็นภพภูมิซึ่งเราไม่สามารถช่วยตัวเองได้ เป็นไปตามลิขิตของกรรมทั้งหลายที่เราสร้าง ไม่สามารถสร้างบุญกุศลเพื่อให้หลุดพ้นหรือช่วยเยียวยารักษา มีแต่ความทุกข์ทรมานที่กำลังปรากฏอยู่ในตรงหน้า
การเกิดมาเป็นคนมีคุณค่าสูง สามารถกระทำคุณงามความดีต่างๆ สร้างบุญสร้างกุศล สร้างทานเพื่อจะรักษาจิตวิญญาณนั้นให้เป็นจิตวิญญาณที่มีองค์ประกอบที่ดี มีทุกข์ก็แก้ไขได้ มีสุขก็ทรงอยู่ได้ ไม่มีบุญก็แสวงหาบุญกุศลได้ การเกิดมาเป็นคนจึงมีคุณค่าสูงสุดในทุกอย่างของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย
การเกิดเป็นปัจจัยเป็นภพเป็นชาติ การเกิดไม่สามารถสิ้นสุดลงได้ถ้าเราไม่สามารถปฏิบัติจนถึงขั้นหลุดพ้นก็ย่อมมาเวียนเกิดเวียนตายอย่างนี้หาที่สุดไม่ได้ แต่เกิดดีเกิดไม่ดีอยู่ที่ตัวเรา เราอยากจะเกิดดีขึ้นก็อยู่ที่เราเลือกสรรอยู่ที่เราเสริมสร้าง ไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะสามารถเข้ามาพยุงช่วยเหลือเพื่ออุดหนุนค้ำจุนเรายกเว้นตัวเราเอง เรากระทำสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้น ปลูกข้าวได้ข้าวปลูกมะม่วงย่อมได้มะม่วง ทำความดีย่อมได้สิ่งที่ดี ทำสิ่งที่ไม่ดีก็ได้รับผลแห่งกรรมที่กระทำในสิ่งที่ไม่ดี วันเวลาในโลกมาเร็วไปเร็ว ชีวิตชาติภพหนึ่งเกิดแล้วดับวันนี้อยู่พรุ่งนี้ไป เป็นไปอย่างนี้อย่างสม่ำเสมอไม่มีวันสิ้นสุดร่างกายเรายังแข็งแรงสุขภาพจิตของเราก็ยังดี เรายังต้องการความเอาใจใส่ดูแลเยียวยา อาบน้ำอาบท่าฟอกจิตฟอกใจให้สะอาด จิตใจนั้นจะต้องการความสว่าง ถ้าจิตนั้นมีความสว่างชีวิตมีแต่ความสดใสไม่ว่ายามอยู่หรือยามไป ความโศกเศร้าไม่มี ความทุกข์ก็ไม่มี ถ้าจิตวิญญาณของเรานั้นอยู่ในห้วงแห่งการกระทำความดี ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกก็เป็นสิ่งที่ดีทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะมารบกวนทำให้จิตนั้นหมองเศร้าได้ จิตที่ส่งออกภายนอกนั้นเป็นความทุกข์ เป็นความเศร้าระทมและอกุศลกรรม ส่วนการมองเข้าถึงจิตภายในนั้นเป็นสุขเป็นบุญกุศลถ้าเราฝึกได้อย่างดีเยี่ยม สิ่งภายในต่างๆ เหล่านั้นเป็นทรัพย์ที่คงทนถาวร ไม่มีวันที่จะจากหรือหลีกหายจากเราไป เพราะมันเป็นสิ่งประเสริฐที่เราปฏิบัติอย่างได้คุณค่ามหาศาล ขอให้ทุกคนต้องพยายามตั้งจิตตั้งใจให้แน่นอน
อุทาหรณ์ต่างๆ ที่เราได้รู้ ภาพที่เราเห็นคนที่จากเราไปเราก็เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ว่าจะเป็นปู่ย่า ตายาย บิดามารดาของเรานั้น คนรอบข้างที่เรารู้จัก ญาติมิตรสหายล้วนแล้วแต่จากเราไป ไม่มีสิ่งใดที่จะคงทนอยู่ถาวรได้ในโลกนี้ วันหนึ่งเราก็ต้องจากโลกนี้ไปทั้งสิ้น คุณค่าของเวลาจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่เราพึงกระทำความดีให้มากๆ นำแสงสว่างมาสู่จิตวิญญาณของเราให้ได้มากที่สุด เพื่อเราจะได้ไม่พลาดพลั้งหรือเล็ดรอดหลุดไป ณ. อบายทั้งหลาย สิ่งต่างๆ ที่เป็นคุณงามความดีก็ต้องพึงกระทำให้ได้มาก ระดับของทาน ศีล ภาวนาการสวดมนต์ต้องพยายามทำให้ถึงพร้อม ทำให้ได้อย่างสม่ำเสมออย่าได้ขาดตกบกพร่อง ไม่มีสิ่งใดในโลกที่คนเราทำไม่ได้ถ้าเราตั้งใจทำ การภาวนาว่ายากแต่ถ้าเรามีความพยายามไม่มีความยาก ความปวดร้าวที่เกิดขึ้นจะหมดสิ้นไปเองด้วยความพยายามของเรา ไม่มีสิ่งใดในโลกหรือวิชาใดในโลกที่เราไม่สามารถเรียนรู้ได้ถ้าเรามีความเพียรพยายาม
ภูมิธรรมต่างๆ นั้นได้จากการภาวนาของเราทั้งสิ้น สมถะเป็นฐานรองรับที่ดี ที่เราพึงกระทำจนกระทั่งสามารถนำความสำเร็จไปสู่วิปัสสนาญาณในวันข้างหน้า สิ่งต่างๆ ที่เราเรียนรู้ก็ย่อมเพิ่มพูนสมรรถภาพกำลังวิถีทางความเจริญในสมาธิ สุดท้ายก็จะได้ความสงบ ที่ไม่มีสิ่งใดในโลกจะเทียบความสงบได้ จิตสงบ จิตสว่าง จิตสบาย ทั้งหมดทั้งสิ้นล้วนแล้วแต่เกิดจากภายในของเราทั้งสิ้น สถานะของสิ่งต่างๆ ภายนอกย่อมโน้มน้าวจิตใจของเรานั้นให้ตกต่ำและให้เสื่อมไปในที่สุด สิ่งต่างๆ ที่อยู่ในภายในเมื่อนำมาเมื่อปฏิบัติแล้ว ย่อมนำพาจิตวิญญาณนั้นไปสู่ความประเสริฐ สู่ความสุข สู่ความสดชื่นได้ตลอด ไม่มีสิ่งใดเหนือความสงบ ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมแต่ละครั้งจึงมีคุณค่าเป็นแนวทางอันประเสริฐที่หาซื้อไม่ได้ด้วยเงินทอง เพียงแต่เราจะต้องใช้ขันติใช้ความอดทน ใช้ความอดกลั้น และใช้ความพยายามให้ถึงที่สุดเท่านั้น เราก็จะได้สิ่งต่างๆ ตามที่เราคาดไม่ถึงคิดไม่ได้ว่ามันจะมีในโลก แต่ความดีนั้นจะปฏิบัติให้ได้ผลในทันใจนั้นก็หาได้ไม่ ความดีต่างๆ ต้องอาศัยวันเวลาในการปฏิบัติขัดเกลาเพื่อให้จิตนั้นถึงพร้อมถึงจะกระทำได้
วันเวลาต่างๆ ที่เหลืออยู่ต้องรักษาให้ดี รักษาให้มีคุณค่าทวีคูณทวีค่าให้ได้มาก คนเราเกิดมาตั้งอยู่และดับไปในที่สุด เหลือไว้แต่ชื่อเสียงความภาคภูมิใจของลูกหลาน เป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกหลานของเรานั้นได้สืบสานต่อ เป็นแนวทางที่ดีที่จะนำพาความเจริญนั้นไปสู่บุตรหลานของเรา ขอให้ปฏิบัติให้เข้าลึกถึงวิปัสสนาญาณให้ได้ ในสมถะในเบื้องต้น ต้องถึงพร้อมในภาวะจิตให้ได้ ไม่มีอะไรที่จะยากเกินกว่าความสามารถของคนเรา ถ้าเรามีความพากเพียร มีการใฝ่รู้ มีการค้นหามีหนทางในแนวทางการปฏิบัติ วันหนึ่งความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกล ปฏิบัติอย่างไรก็ย่อมได้รับความสำเร็จแน่นอนไม่มี่วันผิดพลาด
สมาธินำจิตวิญญาณ จิตวิญญาณนำการกระทำ การกระทำเป็นบ่อเกิดแห่งกรรม กรรมจำแนกเป็น 2 สถานะ คือ อกุศลกรรมและกุศลกรรม กุศลกรรมนำเกิดสู่ภพชาติที่ดี อกุศลกรรมนั้นนำกำเนิดอยู่ในอบาย 4 ฉะนั้น จิตวิญญาณต่างๆ ที่มีโอกาสเกิดมาแล้วในโลกก็มาจากผลของกรรมทั้งสิ้น โอกาสเกิดเป็นคนมีน้อย ควรเร่งปฏิบัติในยามที่เรายังมีชีวิตอยู่ ถ้าเราดับจากโลกนี้ไปแล้วเราจะไปเกิดเป็นอะไรก็ยังไม่รู้ ถ้ากลับมาเกิดเป็นคนก็ยังถือว่าโชคดี หรือเกิดเป็นเทวดาเกิดเป็นพรหมก็ถือว่าได้สร้างกุศลและผลบุญไว้มาก ต้องพยายามปิดอบายให้ได้ เราอย่าไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ไม่เอา การเร่งทำความดี การปฏิบัติสวดมนต์ภาวนารักษาศีลให้ได้มากที่สุด สร้างกองบุญกองทานให้ได้มากที่สุดแล้ว ย่อมนำพาและจิตวิญญาณของเรานั้นไปสู่สถานะที่มั่นคงและเป็นสุขได้ในที่สุด ขอให้น้อมนำในสิ่งที่ดีพึงกระทำในสิ่งที่ดีนั้นให้มั่นคงตลอด จะได้ไม่เสียแรงและเสียทีที่เราได้เกิดมาเป็นคน
ชะตาชีวิตนั้นลิขิตด้วยการกระทำ ชีวิตจะราบรื่นสดใสจะรุ่งเรืองก็ด้วยผลแห่งการกระทำความดี ชีวิตนั้นจะหม่นหมองเศร้าหรือถดถอยหรือไม่ประสบผลสำเร็จต่างๆ ก็เนื่องจากสิ่งที่การกระทำนั้นทำไว้ไม่ดี การฝักใฝ่ในคุณธรรมความดีงามทั้งหลายจึงเป็นผลที่จะทำให้ชีวิตของเรานั้นบังเกิดความรุ่งเรือง บังเกิดโชคลาภ บังเกิดสิ่งที่ไม่ว่าเราจะใฝ่ในการทำมาหากินหรือการกระทำหน้าที่ต่างๆ ก็จะมีผลสำเร็จลุล่วง ส่วนการกระทำที่ไม่ดีนั้นย่อมมีผลทำให้ชีวิตนั้นอับปาง ชีวิตนั้นหมดค่าหมดราศี หมดความนึกคิด คละเคล้าอยู่ด้วยสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย จิตนั้นเป็นอกุศลซึ่งไม่สามารถกระทำในสิ่งที่ดีได้
การค้นหาเพื่อให้รู้วิธีการในการกระทำต่างๆ เพื่อให้ทรงคุณค่าให้มีราคาแห่งความดีนั้น จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ชีวิตของเรานั้นมีความรุ่งเรืองสดใส มีความสำเร็จ มีจิตใจที่เบิกบานและสดชื่น การที่เราปฏิบัติฝึกอบรมใจ เพื่อให้จิตใจของเรานั้นมีความละเอียดละเมียดละไม มีความอ่อนโยน มีการรับรู้ คุณงามความดีต่างๆ นั้นจะเกิดขึ้นได้ด้วยจิตที่มีความดีเท่านั้น จิตที่ละเอียดนั้นมีความรอบคอบ มีสติมีปัญญา มีความพร้อมถึงคำว่าผู้รู้ รู้หลีกในการกระทำต่างๆ ที่ไม่ดี รู้กระทำในสิ่งที่ดีงามได้ตลอดเมื่อมีโอกาส ในการปฏิบัติจึงเน้นในหลักการที่ฝึกจิต
ในการภาวนาแต่ละครั้งนั้นต้องอาศัยจิตที่ละเอียดมีความสงบ แต่ความสงบจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าเราไม่มีความพร้อม ไม่มีความอดทน ไม่มีความอดกลั้น เพราะการปฏิบัตินั้นจะว่าง่ายก็ง่ายจะว่ายากก็ยาก การปฏิบัติสมาธินั้นไม่ยาก แต่จะให้ได้สมาธิถึงขั้นความสงบนั้นก็ไม่ง่าย ต้องอาศัยการปฏิบัติบ่อยๆทำต่อเนื่อง ความสงบเกิดจากการบำเพ็ญ เกิดจากตบะและบารมี เกิดจากการกระทำที่เคยชิน การนั่งที่จะทำให้เกิดเวทนานั้นมีถึงพร้อมทุกคน ไม่มีใครสามารถล่วงจากเวทนานี้ไปได้ แต่ถ้าเราผ่านพ้นเวทนาต่างๆ เหล่านี้เราก็จะมีวันสำเร็จ ไม่มีสิ่งใดเหนือความพยายามของพวกเราไปได้ถ้าเรามีความตั้งใจจริง อนุภาพของจิตที่มีความสงบจิตที่ใฝ่ดี ไม่ว่าอยู่ ณ สถานที่ใดอุปสรรคใดย่อมผ่านพ้นไปได้อย่างสะดวก เพราะอิทธิพลของจิตนั้นเป็นของสูงสุด ไม่มีสิ่งใดในโลกจะเหนือพลังของจิตไปได้ พลังงานใดๆ ที่แผ่กล้าขนาดไหนก็ไม่สามารถสู้อำนาจพลังจิตไปได้ จิตที่มีความเข้มแข็งมีความแข็งแรง จิตที่มีพลังเต็มร้อยนั้นจึงมีอานุภาพอย่างสูง ไม่ว่าอยู่ในสถานะใด หรือถิ่นฐานใด ถ้าเกิดมีอุปสรรคก็สามารถใช้อำนาจของจิตนั้นแก้ไขสถานการณ์ให้บรรลุล่วงไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน ไม่ว่าสถานะนั้นจะลำบากยากแค้นขนาดไหน ภูมิต่างๆ ที่อยู่สถานที่นั้นย่อมมาคอยเอื้อเฟื้อช่วยเหลือ ไม่มีพลังงานใดที่จะเหนืออำนาจของจิตได้ หน้าที่การงาน กิจการต่างๆ ไปได้ราบรื่นด้วยดี ก็อาศัยพลังงานของจิตที่มีความเข้มแข็งที่มีความเข้มข้น จึงสามารถดลบันดาลให้สิ่งต่างๆ ที่เรากระทำนั้นไม่มีอุปสรรค ถึงมีก็จะหมดไปโดยพลัน
องค์ประกอบของจิตนั้นเป็นบุญเป็นกุศลถ้าเราใฝ่ดี แต่ถ้าเราใฝ่ไม่ดีอกุศลจิตมันเกิด จิตใจนั้นขาดพลัง จิตใจนั้นไม่มีอำนาจ จิตใจนั้นจะถดถอย จิตใจนั้นก็จะเสื่อมลงทุกวัน ฉะนั้นพลังจิตจึงเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายหรือว่าอยู่เหนือโลก ในความเป็นไปของช่วงชีวิตคน การเดินทางของห้วงเวลาที่ผ่านพ้นหรือก้าวไปข้างหน้า ถ้าเรามีพลังของจิตที่เข้มข้นแล้ว ชีวิตของเรานั้นจะเป็นไปได้ด้วยดี ไม่ว่าจะอยู่ในโลกนี้หรืออยู่ในโลกหน้า การกำหนดกฎเกณฑ์ในห้วงเวลาแห่งการเดินทางต่างๆ นั้นย่อมสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีถ้าเรามีพลังจิตพลังใจที่เข้มข้นเข้มแข็ง
การปฏิบัตินั้นเวทนาเกิดแน่นอน แต่ถ้าเราปฏิบัติด้วยขันติ ด้วยความวิริยะ ด้วยความอดทนอดกลั้นในขั้นสูงแล้ว เวทนาต่างๆ ก็ย่อมผ่านพ้นไปได้ด้วยพลังของจิตของเรา ภูมิต่างๆ คุณธรรมต่างๆ ก็จะเข้ามาบรรยายเข้ามาคลี่คลายในภาวะจิตที่ตกต่ำ ในภาวะจิตที่ไม่รู้ได้อย่างถ่องแท้และแน่นอน เพราะอำนาจแห่งการภาวนาเป็นตัวความรู้ที่หาที่สุดมิได้ ภาวนายิ่งลึกภูมิธรรมต่างๆ ความรู้ต่างๆ ไม่ว่าเราอยู่ในชาติภพใดนั้นก็ดึงกลับมาเป็นภูมิธรรมเป็นความรู้ในชาตินี้ได้อย่างมากมาย
คนธรรมดาทั่วไปการปฏิบัติเพื่อใฝ่หาความสงบ แต่ถ้าฝึกด้วยความเข้มข้นแล้วความสงบนั้นเป็นเบื้องต้นของปัญญาที่จะสามารถทำให้เรารู้จริงรู้แจ้งได้ในอนาคต สามารถหยั่งรากฐานของการดำรงคงอยู่ของชีวิตเราได้ ไม่ว่าจะเป็นโลกนี้หรือโลกหน้า ภายในกายสังขารของเรานั้นเป็นตัวธรรมขั้นสูง ผู้ใดเห็นกายผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นวิมุต ความหลุดพ้นต่างๆ จะตามมาในสถานะทีแปรเปลี่ยนอยู่ตลอด ในภูมิธรรมต่างๆ ที่เข้ามานั้นก็จะแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน แต่เป็นสิ่งที่แจ้งชัด เป็นสิ่งที่แน่แท้ไม่ผันแปร เป็นสิ่งที่ทุกคนมีอยู่ในกายภายในของเรา ถ้าจิตนั้นดับสู่ภายในกายของเราตลอด 24 ชั่วโมง 48 ชั่วโมง หรือ 72 ชั่วโมงก็ดี ภูมิธรรมต่างๆ ในกายของเรานั้น จะค่อยๆ ละเมียดละไม ค่อยๆ ชี้แจงค่อยๆ แจ้งให้เราเป็นผู้รู้ได้ในธรรมชาติของจิตนั้น
การฝึกปฏิบัติจึงต้องอาศัยความมั่นคงของจิตใจไม่มีความย่อท้อ สิ่งที่เราจะได้จากการปฏิบัตินั้นมีคุณค่ามหาศาล เป็นความประเสริฐสูงสุดของการเกิดมาเป็นคนในชาติหนึ่ง ยิ่งสะสมมากยิ่งปฏิบัติมากคุณธรรมต่างๆ นั้นหลั่งไหลมาเหมือนสายน้ำที่ไม่ขาดตอน สายธรรมแสงธรรมต่างๆ นั้นเข้ามาสู่วาระจิตเพื่อให้เรารู้แจ้ง แจ้งชัดในสัจธรรมของการเกิดแก่เจ็บตายของโลก ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแสดงธรรมไว้ แต่การค้นหาของเรานั้นก็ยังหาที่สุดมิได้ ถ้าหากเราขาดซึ่งความอดทนอดกลั้น การปฏิบัติธรรมแต่ละครั้งเป็นการสะสมซึ่งบุญซึ่งกุศล เป็นมหาบุญมหากุศลโดยแท้ ขอให้มีเวลาให้กับชีวิตและจิตวิญญาณของเรา ฝักใฝ่ใน ทาน ศีล ภาวนา ปฏิบัติให้ถึงพร้อม รักษาศีลให้มั่นคง บริจาคทานให้สม่ำเสมอ ชีวิตเมื่อจากโลกนี้ ไปแล้วย่อมมีโลกหน้าที่สดใส มีโลกหน้าที่สมบูรณ์ ภูมิธรรมต่างๆ นั้นติดตามเราไปตลอด ยิ่งสะสมมากความหลุดพ้นแห่งการเกิดนั้นยิ่งมีมาก พลังจิตพลังใจต่างๆ นั้นก็ยิ่งเข้มข้น สุดท้ายวันหนึ่งเราก็จะบรรลุแจ้งในคุณธรรมต่างๆ ที่มีอยู่ในตัวเรา เหตุที่เราไม่รู้เพราะเราขาดความละเอียด ขาดความวิริยะ ขาดการปฏิบัติที่ต่อเนื่องยาวนาน ขาดความตั้งใจ การที่เราจะหวนกลับมาตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดที่เรามีเวลาต้องรีบกระทำ อย่าผัดผ่อน เวลาไม่ค่อยท่าใคร จากชั่วโมงเป็นวัน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ขณะนี้เราก็ปฏิบัติมาเป็นเดือนที่ 27 แล้ว มันช่างรวดเร็วเหมือนดั่งกระพริบตาเหมือนดั่งว่าเราหลับฝันแล้วตื่นขึ้น เวลาผ่านไป 2 ปี 3 เดือน เพราะเวลามันเร็วมากเราจึงอย่าประมาท ความประมาทพลาดพลั้งทำให้จิตวิญญาณตกหล่นเราไม่สามารถกลับมาเกิดเป็นคนได้อีก นั่นแหละเป็นสิ่งที่เราน่าเสียดายที่สุด
สภาวะของคนปฏิบัติได้ถึงพร้อมสามารถหลุดพ้นการเกิดได้ในอนาคต การปฏิบัติเป็นหนทางเดียว ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะเหนือการปฏิบัติ การภาวนาเป็นตัวหลุดพ้นตัวเดียว ในองค์ประกอบ 3 อย่างนั้น ทาน ศีล และภาวนา องค์ภาวนาเป็นส่วนที่สูงสุดที่จะทำให้เราสามารถหลุดพ้นจากวัฏฏะจากการเกิดของเราได้ เราจึงต้องหมั่นภาวนาให้มาก จิตไม่สงบสวดมนต์ สวดมนต์แล้วภาวนา ภาวนาไม่สงบเดิน เดินไม่ได้ก็นั่งปฏิบัติ ถ้าเราสามารถปฏิบัติได้ 24 ชั่วโมง เราจะรู้ในภูมิธรรมต่างๆ เราจะรู้ลึกในกายภายในของเราแค่วันเดียว ถ้า 2 วันความรู้เพิ่มพูนทุกอย่างเริ่มชัดแจ้ง ถ้า 3 วันเต็มบริบูรณ์ไม่ว่าสิ่งใดนั้นก็กระจ่างหมด กายภายในทั้งหลายจะรู้แจ้ง ถ้าทำได้ 4 ได้ 5 จิตนั้นก็จะหมดจด จิตนั้นก็จะเบาดั่งขนนก แต่ถ้า 6-7 แล้วทุกสิ่งในโลกไม่มี ทุกสิ่งในโลกล้วนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกอย่างไม่มี
การปฏิบัติต้องทดสอบ ต้องกระทำ เราอยากรู้ใน 1 วันเวลาของในหนึ่งวันนั้น ถ้าเรานั่งสมาธิอย่างยาวนานโดยไม่ลุกเราจะได้อะไร เรารู้เห็นเอง ชัดแจ้งเอง ไม่มีใครสามารถที่จะไปบอกกล่าวได้ว่าใน 1 วันแรกที่เรานั่งสมาธินั้นเป็นอย่างไรเราไม่สามารถ ถึงแม้อธิบายก็ไม่กระจ่างนอกจากตัวเราทำเอง การปฏิบัติจึงอาศัยตัวของเราเป็นผู้กระทำ ตนนั้นเป็นที่พึ่งแห่งตน ธรรมนั้นเกิดจากจิตและกายภายใน ไม่ได้เกิดจากอื่นใดใกล้ไกล ไม่ได้เกิดจากการฟังและก็ไม่ได้เกิดจากการอ่าน การอ่านเราไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ไม่รู้ถึงแก่นแห่งภูมิธรรมนั้นๆ แต่ถ้าเราปฏิบัติเข้าถึงพร้อม ไม่ลดละอดทนอย่างถึงที่สุดแล้ว ภูมิธรรมต่างๆ เหล่านั้นย่อมปรากฏแจ้งแก่กายจิตของเราอย่างถ่องแท้ไม่ผิดเพี้ยน เพราะทุกอย่างเกิดจากวาระของความเป็นจริง มิได้มีการผสมแต่งเติมเสริมสร้าง ไม่ได้เกิดจากความนึกคิด แต่เกิดจากความสงบภายในของเรา สมาธิยิ่งลึกความสงบยิ่งมาก ความสงบยิ่งมากปัญญายิ่งเกิด เมื่อปัญญาเกิดก็สามารถแยกแยะสัจจะและคุณธรรมต่างๆ ได้อย่างละเอียด ไม่มีขาด ไม่มีตก ไม่มีพร่อง ล้วนแล้วแต่เต็มบริบูรณ์ เต็มอิ่ม เต็มภูมิ กายจิตนั้นหลุดพ้นจากสภาวะของโลก หมดแล้วซึ่งความรู้สึกในการสัมผัสรู้ภายนอก จิตภายในนั้นตื่นและเบิกบานอยู่ในธรรมที่รู้แจ้ง เราทำสมถะมานานปีแต่เราขาดความต่อเนื่อง ความสำเร็จมันจึงไม่ค่อยปรากฏ แต่ถ้าเราลองจาก 1 ชั่วโมง เพิ่มเป็นสองชั่วโมง 2 ชั่วโมงเพิ่มเป็น 3 ชั่วโมงค่อยๆ เพิ่ม 1 เดือนเพิ่มสักครึ่งชั่วโมงก็ยังดี แต่ต้องทำต่อเนื่อง 30 วันเต็ม ต้องนั่งทุกวัน พยายามรักษากายสังขารของเรานั้นให้อยู่คงที่และเพิ่มพูนตลอด ใช้เวลาเป็นตัวกำหนด ยิ่งนั่งได้มากความสงบยิ่งมาก ความสำเร็จก็ยิ่งใกล้ แต่ถ้าเราปฏิบัติที่นี่แล้วกลับไปก็หยุดนั้นก็แทบจะไม่ได้อะไรเลย
วาระที่พูดนั้นเป็นความจริงทั้งหมดที่ปรากฏที่เกิดขึ้น จึงเป็นของจริง ต้องอาศัยความเพียรของเราเราถึงจะกระทำได้ ต้องพยายามปรับในเรื่องเวลาของเรานั้นให้มันมากขึ้นๆ ทุกวัน ถ้าเรานั่งครึ่งชั่วโมงต้องเพิ่มเป็น 1 ชั่วโมง หรือค่อยๆ เพิ่มวันละ 15 นาที เพิ่มทุกวันๆ วันหนึ่งเราจะนั่งได้ทั้งวัน วันนี้นั่งพรุ่งนี้ตื่น ถ้าเราสามารถทรงไว้ได้อยู่ทุกวัน วันหนึ่งเราสำเร็จ เพราะภูมิธรรมต่างๆ นั้นอยู่ในกายภายในของเราทั้งสิ้นไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย มันจะเกิดให้เห็นชัดแจ้ง
ทำภาวนาให้ลึก ให้รู้ ให้เข้าใจ ขยันและหมั่นเพียรทำให้ได้ต่อเนื่อง ต้องปฏิบัติให้เหมือนสายน้ำที่ไม่มีวันขาดสาย ไม่มีวันขาดตอน นั่นแหละเราจึงเป็นผู้ปฏิบัติที่สมบูรณ์ ช่วงแรกจิตไม่นิ่งจิตไม่ว่างสวดมนต์ สวดให้ลึกๆ สวดให้ยาวๆ สวด 3-4 ชั่วโมง ปฏิบัติอย่างนี้ไปทุกๆ วันสัก 1 เดือนจิตเราจะสงบ เราสามารถสวดมนต์ 3 ชั่วโมงได้ ลุกขึ้นมากายใจเบาเดินเหมือนเหาะ นั่งก็เบากายก็เบาจิตก็เบา นั่งต่อเนื่องเดินต่อเนื่องจิตกายใจเบาตลอด ขนนกว่าเบาก็ยังสู้กำลังจิตภายในที่ปฏิบัติดีแล้วไม่ได้ จิตของเราเบากว่า
ภูมิต่างๆ เกิดจากความรู้ภายในกายใจของเราทั้งสิ้นจะทำให้เรารู้ในวาระของการดำรงชีวิตต่างๆ ที่ผ่านมาแล้วก็ดี ที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันก็ดีหรือที่ยังไม่ถึงก็ดี เราสามารถนำสิ่งต่างๆ ที่ปฏิบัตินั้นมาวางรากฐานชีวิตของเรา มาวางรากฐานการกระทำของเรา และของบริวารรอบข้างของเรา เราจะเป็นผู้รู้เพื่อมาสอนโลกสอนคนเพื่อให้รู้ตาม สิ่งต่างๆ ที่เราเรียนรู้จากภาวะภายในของเรานั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐมาก หาความประเสริฐใดๆ ในโลกนั้นไม่มี กายของเรานั้นพิการ แต่จิตของเรานั้นเป็นจิตที่ประเสริฐสูงสุด สิ่งต่างๆ จากสมาธิ จากการปฏิบัติของเรานั้นจะเป็นตัวสอนเราให้รู้ซึ้งถึงแก่นแห่งธรรมของพระพุทธเจ้าที่ได้ประทานไว้ให้โลก แต่ต้องอาศัยวันเวลาในการปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงพร้อมในแก่นธรรมนั้นๆ เราจะไม่มีหรือไม่เป็นผู้หลงในโลกไม่หลงในวัฏฏะอีกต่อไป หาเวลาหาวิธีการที่จะกำจัดกิเลสและอวิชาต่างๆให้มันสูญสลายไปได้สิ้นในที่สุด วัฏฏะที่เราอยู่เป็นสิ่งที่มอมเมาจิตใจของเรานั้นให้ตกต่ำ แต่เราสามารถโผล่พ้นหลุดจากอาสวะทั้งหลายให้ได้ ถือว่าเรานั้นได้สร้างบุญสร้างกุศลไว้มาก เป็นบัวที่กำลังจะโผล่พ้นน้ำเพื่อรับแสงอรุณ จะได้ชูช่อไสวสว่างให้กับโลก เป็นสิ่งสวยงามที่จรรโลงไว้ให้โลกรู้ ว่าการเกิดในครั้งหนึ่งของเรานั้นได้สร้างคุณประโยชน์อเนกอนันต์ให้กับโลก ถึงแม้กายจิตจะต้องดับไปตามสภาวะแต่สิ่งที่ไม่ดับคือคุณงามความดีที่เรากระทำในยามที่เราเดินชีวิตอยู่
ชีวิตของเรานั้นก็แก่เฒ่าชราขึ้นทุกวัน เวลาของเราในโลกนี้เหลือน้อยเต็มที การตั้งหลักเพื่อการเกิดใหม่ในชาติหน้าของเรานั้นต้องพยายามทำให้เต็มที่ เพื่อส่งจิตวิญญาณของเรานั้นไปเกิดในสถานที่ดี การกลับมาเกิดเป็นคนให้ได้อีกครั้งหรืออีกหลายๆ ครั้งต่อเนื่อง เพื่อจะได้มาบำเพ็ญตบะและบารมีเพื่อความหลุดพ้นได้ในที่สุด เมื่อเราปฏิบัติถึงขั้นสูงสุดของโลกุตรธรรมเท่านั้น ในโลกียธรรมเบื้องต้นเราจะต้องฟันฝ่าอย่างมาก กว่าจะได้เข้าถึงโลกุตรธรรมในขั้นสูงต่อไป แต่ต้องอาศัยความตั้งใจจริงของเรา อย่าละทิ้งโอกาสอย่าละทิ้งเวลา เวลานั้นไม่คอยใคร
ขอให้ใช้ความเพียรให้มากเพิ่มเติมเวลาในการปฏิบัติของเรานั้นให้สม่ำเสมอใน 1 เดือน 30 วัน ใน 1 ชั่วโมงที่เราปฏิบัติก็ต้องพยายามเพิ่ม เพิ่มให้ได้มากที่สุด ต้องพยายามอดทนและฟันฝ่าในเวทนาต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงแก่นธรรมแท้ให้ได้
ป.จิตธรรม
5-7-56