23/11/55 แผ่น 2
จิตดับสุดท้าย

สิ่งใดๆ เลยเข้ามาเสริม สภาวธรรมนั้นเกิดโดยธรรมชาติ เป็นโดยธรรมชาติ ฉะนั้นธรรมชาติจึงสอนในทุกสิ่งของเรา ธรรมชาติก็คือกระแสของโลก โลกที่เราเห็นอยู่ในทุกๆ วัน นั่นแหละจึงว่าการปฏิบัติก็จะเป็นแนวทางแห่งการวิเคราะห์และเจาะลึกเข้าถึงกระแสต่างๆ ที่เข้าหาเรา ขจัดแล้วสิ่งที่ไม่ดีที่จะเข้าหา เหลือแต่สิ่งที่ดีดีไว้มาเสริมสร้าง ฉะนั้นการภาวนาตั้งหลักให้มั่นคงในสมถะเบื้องต้น เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จในบั่นปลาย จิตที่มีความละเอียดก็สามารถกระทำการใดๆ ไม่ว่าจะเป็นทานหรือการรักษาศีล หรือการภาวนาได้อย่างสมบูรณ์ที่สุดไม่มีบกพร่อง ฉะนั้นขอให้ตั้งอกตั้งใจให้ดีตั้งจิตให้มั่นคง เพิ่มวันเวลาในการปฏิบัติให้มากขึ้นในทุกๆ วัน ทำสมาธิให้มาก จิตไม่สงบก็สวดมนต์ จิตสงบแล้วก็นั่งภาวนา พยายามรักษาวันเวลาที่เรากระทำนั้นให้ทรงไว้ได้มากที่สุด และก็เพิ่มเติมได้ในทุกๆ วัน นั่งได้ยิ่งนานภูมิธรรมยิ่งเกิด จิตก็จะมีความละเอียดขึ้นในทุกวันเวลา สมาธิจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ความสงบก็จะเข้าหาอย่างรวดเร็วเหมือนกัน
ชีวิตทุกชีวิตที่เกิดมาแล้วในโลกล้วนไม่อาจหลุดพ้นการเกิด แก่ เจ็บ และตายเกิดมาตั้งอยู่ดับไปและสลายไปในที่สุด เวลาของชีวิตที่เกิดมาในโลกนั้นไม่ยาว บางคนเกิดมาก็ดับเลย บางคนเกิดมาก็อยู่ได้ห้วง 5-10 ปีก็ดับไป บางคนในวัยหนุ่มก็ดับไป ฉะนั้นการเกิดแก่เจ็บตายนั้นไม่ได้กำหนดกฎเกณฑ์ว่าเด็กจะไม่ตาย คนหนุ่มจะไม่ตาย คนเฒ่าจะไม่ตาย เพราะฉะนั้นสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในโลกนั้น ล้วนมาจากอำนาจของกรรมที่สร้างจะอายุสั้นอายุยาวก็อยู่ที่ผลของกรรมที่ปรุงแต่งที่จัดเรียงไว้ ส่วนใหญ่คนที่เกิดมาแล้วในโลกนั้นขาดซึ่งความรู้ ขาดซึ่งความระแวดระวัง หลงมัวเมาอยู่ในสงสารโลก อยู่ในกระแสอำนาจกิเลสของโลก จึงทำให้ชีวิตที่เกิดมาแล้วนั้นไม่มีความระมัดระวัง ตั้งอยู่ในความประมาทโดยตลอด
บางคนหยาบมาหยาบไป บางคนละเอียดมาหยาบไป บาคนละเอียดมาและละเอียดไป ฉะนั้นสิ่งต่างๆ เหล่านั้นมันก็เกิดจากความไม่รู้เท่าทัน เกิดจากความหยาบของจิตที่มีกระแสของกรรมนั้นเป็นตัวกำหนด การที่เราจะสามารถล่วงรู้สิ่งต่างๆ ที่บังเกิดแล้วในโลกนี้ ก็ต้องอาศัยการปฏิบัติเพื่อจะได้รู้เท่าทัน กำหนดกฎเกณฑ์ กำหนดแล้วซึ่งอารมณ์ต่างๆ วาจาต่างๆ และความนึกคิดต่างๆ แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้ถ้าเป็นบุคคลธรรมดาทั่วไปไม่สามารถที่จะหยั่งถึงได้ หรือระลึกรู้ได้ เพราะจิตนั้นติดกระแสของโลก ติดอยู่ในตัณหาในอวิชา ความไม่รู้เท่าทันปล่อยไปตามยถากรรม ปล่อยตามอารมณ์ที่ปรุงแต่ง ปล่อยตามอารมณ์ของความคิด คนส่วนใหญ่ทั่วไปแล้วล้วนแล้วแต่ใช้ความคิดจากสมองทั้งสิ้น
ความคิดจากสมองนั้นเป็นหยาบ ถ้าจิตนั้นหยาบสั่งการสมองก็หยาบ แต่กลับบุคคลที่น้อมนำจิตน้อมจำใจนั้น พากเพียรพยายามในการใฝ่หาความสงบ เพื่อให้บังเกิดสติ เกิดปัญญา เกิดความละเอียดในการควบคุมดูแลข่มจิตข่มใจได้ ฉะนั้นแนวทางการปฏิบัติต่างๆ ที่ครูบาอาจารย์ต่างๆ นั้นได้สอน ตั้งแต่สมัยพระพุทธกาลมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ ก็ล่วงมาแล้ว 2600 ปีแต่สิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็ยังจรรโลงอยู่ในโลก เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านั้นเป็นสัจจะ เป็นความเป็นจริงที่มีอยู่แล้วในโลก ไม่ว่าเราเกิดชาติใดเกิดในสถานที่ใด ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามอำนาจตามกิเลสต่างๆ ที่มีอยู่เพราะเป็นของจริง ของจริงของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่เกิดในโลก แต่ว่าบุคคลใดที่มีแนวทางและมีความตั้งใจที่จะฝืนที่จะระงับยับยั้งในสิ่งต่างๆ ที่เป็นภัย ที่จะทำให้เรานั้นต้องตกหลงอยู่ในวัฏฏะอย่างยาวนานหาที่สิ้นสุดมิได้ สามารถกำจัดขัดขวางในสิ่งมัวเมาต่างๆ ให้ลดน้อยถอยลงได้ แต่อย่างที่บอกคนเรานั้นหยาบ จะหาคนที่มีภูมิธรรมหรือว่าคนที่ละเอียดมาตั้งแต่เกิดนั้นไม่ค่อยได้ ถึงแม้ชาติภพต่อเนื่องจะเป็นละเอียดมาก่อน แต่จากสภาวะแวดล้อมในปัจจุบันหรือในอนาคตนั้น สิ่งหล่อหลอมต่างๆที่เรามองเห็นอยู่ทุกวัน ล้วนแต่เป็นกระแสที่ทำให้จิตนั้นเสื่อม แต่เราเป็นผู้มีโอกาส โอกาสอะไร โอกาสที่ได้เกิดมาเป็นคนแล้ว ถือว่าเป็นการเกิดที่ประเสริฐสุดในโลกสงสารใบนี้ เพราะฉะนั้นเราเกิดมาได้เป็นคนอีกครั้ง จึงสมควรที่จะมองหาในสิ่งที่ดี หรือใฝ่ดีให้ได้ถึงที่สุด
การชำระสะสางลบล้างสิ่งต่างๆ ที่เลวร้ายนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ ความโลภ ความโกรธ หรือความหลง สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นภัยที่จะนำพาชีวิตจิตวิญญาณของเรานั้นจะต้องมาเกิดในวัฏฏะนี้ตลอด ไม่สามารถบั่นทอนการเกิดได้เลย เมื่อจิตดับจากความเป็นคนแล้วก็ต้องไปเสวยความทุกข์ทรมานอยู่ใน 4 ภพภูมิที่เลวร้าย ที่ทารุน ที่ทุกข์ร้อน เราว่าเราเกิดมาเป็นคนลำบาก เหนื่อยยาก แสนเข็น ยังไม่ได้หนึ่งในล้านของภพภูมิทั้ง 4
ฉะนั้นการที่เรามีโอกาสได้เกิดมาเป็นคนในครั้งนี้ จงพึงสังวรไว้ต้องระลึกให้ได้ต้องทำให้มั่น สิ่งเลวร้ายต่างๆ นั้นต้องขจัดไปให้เสียต้องให้หมดไปให้ได้ แต่อย่างที่บอกในตอนต้นนั้นความยากของคนนั้นมันมีมากล้น หยาบจากภาวะจากกระแสของโลก จากสภาวะแวดล้อมต่างๆ ที่เราเข้าไปคลุกคลีเข้าไปใกล้ชิด ทำให้เพาะบ่มเป็นนิสัยเป็นจิตใจ จึงไม่อาจที่จะสามารถระงับยับยั้งในสิ่งต่างๆ ได้เพราะว่าความเคยชินต่อสถานที่ ต่อบุคลากรที่อยู่รอบข้างของเรา ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือญาติพี่น้องต่างๆ นิสัยใจคอต่างๆ มันก็หล่อหลอมจากของคนอื่นนำมาเป็นของตัวเราเอง ก็ทำให้เรากลายเป็นคนที่ขาดสติ ขาดความยับยั้งชั่งใจ มีแต่ความหยาบตลอด
สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลก สิ่งต่างๆ ที่มีอยู่แล้วในโลก ล้วนแล้วแต่มีผลต่อชาติภพและการเกิดของเรา โอกาสที่เราได้เกิดมาเป็นคนแล้วถือว่าเราได้มีวาสนา เราได้มีบุญ เราได้สร้างกุศลมามาก ในอดีตนั้นเราไม่อาจรู้ได้ว่าเรากระทำไว้สิ่งใด แต่ว่าในชาติปัจจุบันนี้เมื่อเราได้มีโอกาสที่จะได้ไขว่คว้าใฝ่หาซึ่งความดีงามต่างๆเพื่อจะกระทำได้ได้ถึงความเป็นธรรมที่ประเสริฐแล้ว เราอย่าละโอกาส อย่าทิ้งโอกาส ต้องพยายามเสียดายเวลาที่พ้นผ่านให้ได้มากที่สุด ต้องเอาเวลาเหล่านั้นมาสร้างคุณค่าและคุณประโยชน์ให้ได้มากที่สุด วันเวลาไม่คอยใคร เราเกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นมาทุกยุคทุกสมัย ไม่มีใครสามารถหลุดล่วงพ้นได้จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย อันนี้เป็นของที่เที่ยงแท้แน่นอน เป็นนัตตาที่เกิดไม่มีวันผิดเพี้ยน
ในเมื่อเราเข้าใจเราล่วงรู้ในสิ่งต่างๆ เหล่านี้แล้วไฉนวันเวลาที่เราเหลืออยู่นั้นจึงไม่ให้เวลาเพื่อจะได้ขัดเกลาจิตของเรานั้นให้มีความละเอียด มีความละเอียดสมค่าที่ได้มีโอกาสเกิดและเกิดในสถานะที่ดี เวลาน้อยนิดไม่ยาวนานเลย ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงบริวาร พ่อแม่ ครูอาจารย์ทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่เคยอยู่กับเราเคยใกล้ชิดกับเรา สุดท้ายก็ล่วงลับจากเราไปทีละคนๆ เราก็เห็นอยู่ตำตา
ในโลกสงสารใบนี้นั้น เป็นสิ่งที่เรากำเนิดเกิดมาวนเวียนหลายภพหลายชาติ หาวันที่จะสิ้นสุดการเกิดนั้นไม่ได้ ร่างกาย จิตใจ ความนึกคิด สิ่งต่างๆ เหล่านี้นั้นเกลือกกลั้วอยู่รอบตัวเราตั้งแต่เกิด แต่เราเคยมีเวลาที่จะมาสังเกตสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเรามาตั้งแต่เกิดหรือเปล่า เราเคยย้อนอดีตดูหรือไม่ตั้งแต่เด็ก เติบโตปัจจุบันและในวันข้างหน้า เราไม่เคยมีเวลาที่จะสำรวจตรวจตราในเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ฉะนั้นการภาวนาจึงเป็นสถานที่อย่างเดียวที่เราจะสามารถเข้าไปย้อนอดีตระลึกรู้ในสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ทุกสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตไม่มีวันลืม ต่อให้เราเกิดมาตั้งแต่วัยเด็กเราก็ยังจดจำได้อย่างแม่นยำ องค์ประกอบเหล่านั้นแหละเป็นสิ่งที่จะจารึกตรึงจิตตรึงใจของเรานั้นไปอยู่ตลอดไม่มีวันเลือน
การฝึกภาวนา เพื่อให้ล่วงรู้อดีตที่ผ่านมา ย้อนกลับและตั้งใหม่ ถ้าสิ่งต่างๆ ที่มันเกิดความเลวร้ายที่เกิดมาแล้วในอดีตเราต้องตั้งใหม่ ต้องปรับจิตปรับใจแก้ไข เพื่อละทิ้งขัดเกลาขจัดออกไปสิ่งต่างๆ ที่เราเคยทำที่ไม่ดีมา ตั้งแต่วันนี้ตั้งต้นก็ไม่สายตั้งใหม่ก็ไม่สาย ถ้าเรารู้จักตั้งต้นถ้าเรานับหนึ่งได้ถึงร้อยแน่นอน ฉะนั้นวันเวลาต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรามายาวนาน เหลือเวลาก็อีกค่อนชีวิตเท่านั้นไม่ยืดยาวเลย แต่ถ้าเรามีนับหนึ่ง เราจะต้องมีวันที่ผ่านพ้นในสิ่งที่เป็นอกุศลกรรมได้อย่างแน่นอน นับหนึ่งในกุศลกรรม ความเพียรพยายามในความสงบ เพื่อใฝ่หาสิ่งที่ดีดีมาประดับจิตประดับใจของเรานั้นให้ทรงคุณค่าให้ได้มากที่สุด ถ้าเราระลึกไม่ได้หรือไม่รู้ลองนั่งสมาธิทุกวันวันละ 3 ชั่วโมง เราก็จะรู้เอง สิ่งแปรเปลี่ยนต่างๆ ที่เกิดจากตัวเรานั้นจะชัดแจ้งมาก และเป็นของจริงที่ปรากฏ ไม่ต้องไปใฝ่เรียนรู้ที่ไหน เรานั่งอย่างนี้แหละทุกอย่างก็จะเกิด เพราะธรรมทั้งหลายทั้งมวลนั้นอยู่ในตัวเราทั้งสิ้น จิตไม่ส่งภายนอกแต่จิตอยู่ภายใน ภูมิธรรมต่างๆ ความรู้ต่างๆ เกิด แต่ถ้าจิตภายนอกนั้นเป็นกรรม กรรมทั้งหลายมันก็จะเข้ามารุมล้อมเรา สิ่งที่มองเห็นอาจจะเป็นความโกรธ เป็นความโลภ เป็นความหลงได้ตลอดเวลา ฉะนั้นภายนอกกับภายในจะต่างกันโดยสิ้นเชิง แหล่งโลกีย์ธรรมของโลก กับโลกุตรธรรมภายในนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง
การเกิดเป็นโอกาสที่เราจะได้กระทำในการฝึกจิตเพื่อให้ถึงพร้อม เพื่อจัดวางขจัดสิ่งต่างๆ ที่ไม่ดีของเรานั้นให้หมดไป นั่งสงบสักหลายๆ ชั่วโมง เราก็จะเห็นภาพชัดเจนไม่ต้องถามใคร ตัวเราเป็นผู้รู้รู้ในตัวตนของเราย่อมไม่ผิดพลาดแน่นอน แต่เมื่อรู้แล้วรู้จักแก้ไข แก้ไขในสิ่งผิดดีกว่านิ่งดูดายปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ถ้าเราเป็นไปอย่างนั้นชาติหน้าเราไม่มีโอกาสเกิดมาเป็นคนอีก เพราะกิเลสนั้นมันบังตาจิตมันก็จะเสื่อมลงทุกวัน คนจิตเสื่อมตกอบายไม่สามารถข้ามพ้นอบายได้ อบายคือนรก เปรต อสูรกาย และสัตว์เดรัจฉานมิใช่อุบาย ต้องทำความเข้าใจตัวนี้ เมื่อคนหล่นไปอยู่ในอบายนั้นทุกข์แสนสาหัส เขาว่าคนเราเกิดมาจนลำบากแสนเข็ญ แต่ถ้าตกอบายแล้วอีกเป็นร้อยเป็นพันเท่า มันจะเดือดเนื้อร้อนใจอยู่ตลอดเวลา ดั่งเช่นสัตว์เดรัจฉานที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ ดั่งสิงสาราสัตว์ต่างๆ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกสิ่งที่เราเห็นมันก็เป็นภาพตำตาที่เราเห็นชัดด้วยตาเนื้อของเรา อันนั้นก็เป็นภพภูมิหนึ่งที่คนเราไปเกิด แต่จิตนั้นร่วงไปสู่อบายจึงต้องไปเกิดอยู่ในภพแดนของสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย
ฉะนั้นการภาวนาของเราจึงเป็นการปิดกั้น ยกระดับจิตของเรานั้นให้คงสถาพรอย่างต่ำก็ต้องเกิดมาเป็นคนให้ได้ ในภพภูมิเทวดาหรือพรหมต่างๆ นั้นเราไม่พูดถึง แล้วแต่สิ่งที่เราสร้างแล้วแต่กุศลที่เราทำ แต่เกรดที่เราจะยกระดับให้มาเป็นคนได้เสมอต้นเสมอตาย การเกิดทุกครั้งต้องเกิดมาเป็นคนให้ได้ อย่าปล่อยให้จิตนั้นมัวเมา ลุ่มหลงจนกระทั่งจิตนั้นตกไปสู่อบาย ทำร้ายจิตนั้นให้เสื่อมโทรมลงไปตลอด ยิ่งถ้าอยู่ในนรกอเวจีมหานรกแล้ว โอกาสเกิดอีกยากเย็นมาก จะกี่ร้อย กี่พัน กี่แสนกัปป์ไม่รู้ ทุกอย่างจึงต้องพยายามขจัดความหยาบไปให้ได้มาก
คนที่ฝึกจิตนั้นจิตยิ่งมีความละเอียดบุญกุศลก็ยิ่งมาก การฝึกไม่ใช่ชั่วประเดี๋ยว ไม่ใช่ชั่วไม่กี่วัน ทุกสิ่งทุกอย่างไรต้องกระทำทุกๆ วันทำให้ได้อย่างสม่ำเสมอแบ่งเวลาให้ถูกต้อง เพราะนี่มันมีคุณค่า สำคัญแต่จิตวิญญาณในการเกิดของเราแต่ละครั้ง เราคิดว่าเราหาเลี้ยงชีพเพื่อให้ร่างกายนั้นคงอยู่อย่างสุขสบายอันนั้นผิดถนัด ร่างกายของเรานั้นเกิดมา ตั้งอยู่ และดับไปในที่สุด มันก็เสื่อมสลายอยู่คู่โลก กองกระดูกของเรานั้นทับทมกันมาเหนือกว่าเขาพระสุเมรุอีก เพราะเราเกิดมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันชาติแล้ว ฉะนั้นร่าง สังขาร สรีระ ทั้งหลายนั้นมันทิ้งในโลกไว้ทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องไปบำรุงบำเรอดีเลิศขนาดไหน แต่จิตตัวนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญ เพราะจิตถึงแม้จะดับ กระแสของกรรมนั้นก็ไปสู่จิตดวงใหม่ นำพาจิตดวงใหม่นั้นไปเกิดตามสถานที่ต่างๆ ตามการกระทำต่างๆ ที่เราเคยกระทำไว้ เราสร้างกรรมอะไรไว้กรรมนั้นก็ส่งผลก็ไปเกิดในสถานที่ต่างๆ ตามกระแสแห่งกรรมที่สร้าง ฉะนั้นการงดเว้น การละวางในความผิดบาปทั้งหลายนั้นจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุด แต่คนเราจะทำได้ หรือว่าละเว้นได้หรือว่างดเว้นได้นั้น จะต้องเป็นบุคคลที่ปฏิบัติจนกระทั่งเป็นได้ถึงความเป็นคนมีจิตที่ละเอียดอ่อน มีจิตที่เป็นเมตตา ถ้าจิตไม่มีเมตตาแล้วเราไม่สามารถกระทำสิ่งใดเลยที่จะให้ได้ผลที่ดีได้ จิตถ้าเมตตาไม่เกิดอบายภูมินั้นรออยู่ เพราะในยามที่จิตกำลังจะดับนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏภาพชัด ถ้าเราทำสิ่งที่ไม่ดีไว้มากสิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็ดึงเราตกสู่อเวจีแน่นอน แต่ถ้าเราภาวนาเป็นนิจปฏิบัติจนจิตนั้นมีเมตตาสูง จิตนั้นมีคุณภาพจิตนั้นมีความประเสริฐ อบายเราปิดทิ้งทันทีเลย เราอยากจะลงไปในอบายก็ยังไม่มีโอกาสเพราะจิตเราดีเลิศเกินเกินขีดขั้นของสิ่งที่เราจะไปเกิด ฉะนั้นความถึงพร้อมของจิตในการปฏิบัติภาวนานั้นจึงสำคัญกว่าอาชีพใดๆ ในโลก การฝืนสังขารฝึกปฏิบัติจนเข้มข้น ก็จะได้มโนสำนึก ได้จิตที่เป็นคุณอเนกอนันต์ ได้ความสงบที่สูงล้น ได้ปัญญาที่ดีเลิศ การนั่งสงบนิ่งเป็นคุณประโยชน์กันใหญ่หลวงยิ่งกว่าการทำมาหากินของเราในทางโลก เพราะจิตวิญญาณเป็นตัวเกิดไม่ใช่ร่างกายเป็นตัวเกิด ร่างกายหล่อเลี้ยงเพียงชั่วให้อยู่ได้ทรงได้เท่านั้น แต่สิ่งที่ดีเลิศที่สุดคือการภาวนา ขจัดความเขลา ขจัดความหนัก ขจัดความหยาบ จึงเห็นว่าการที่เราดำรงชีพอยู่ได้ในโลกนี้ อาหารเป็นหนึ่ง เครื่องนุ่งห่มยารักษาโลกต่างๆ มันก็เป็นแค่ปัจจัย 4 ภายนอก เมื่อหาได้เก็บหอมรอมริบแล้ว สุดท้ายสุดนั้นยังต้องมาปฏิบัติเพื่อหล่อหลอมเลี้ยงดูใจนั้นให้เกิดเมตตาธรรมให้ได้มากที่สุด เราจะต้องเป็นบัวพ้นน้ำให้ได้ อย่าเป็นบัวในโคลนตม เพราะการเกิดถ้าเกิดเป็นบัวในโคลนตมไม่มีโอกาสเกิด พระพุทธเจ้านั้นเปรียบบัว 4 เหล่าเปรียบเหมือนคน 4 จำพวก บัวเหล่าแรกนั้นไม่มีโอกาสเกิด เหมือนกับคนที่เกิดมาแล้วจากความเป็นคนตกไปอยู่อบาย 4 โอกาสที่จะกลับมาเกิดเป็นคนนั้นน้อยมาก แทบจะไม่มีโอกาสเลยก็เปรียบเหมือนบัวเหล่าที่หนึ่ง เพราะไม่สามารถกระทำคุณงามความดีได้ สอนสั่งอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ฟังเท่าไหร่ก็ไม่รู้เปรียบเหมือนบัวในโคลนตมไม่สามารถที่จะงอกงามเจริญเติบโตจนโผล่พ้นน้ำได้ เป็นรากเง้าอยู่ในก้นของโคลนตมรังแต่เป็นอาหารของสัตว์น้ำ สุดท้ายแล้วก็สูญหายไปจากโลกไม่มีวันเกิด แต่ถ้าเราเป็นบัวพ้นน้ำเพราะว่าจิตนั้นมีความประเสริฐสูงสุดก็สามารถรับฟังสิ่งต่างๆ สามารถกระทำคุณงามความดีได้ในทุกเมื่อที่มีโอกาส การปฏิบัติธรรมภาวนานั้นเพื่อให้เราเป็นคนที่สามารถเกิดมาแล้วเป็นบัวพ้นน้ำให้ได้ดั่งที่พระพุทธองค์นั้นได้ทรงสอน ในแก่นธรรมต่างๆ จะล่วงรู้ได้ด้วยความเพียรพยายามเท่านั้นไม่ใช่เกิดจากการอ่าน การอ่านเพื่อให้จิตนั้นมีความสงบเท่านั้นเป็นเบื้องต้นของการภาวนาทั้งสิ้นฉะนั้นเราจึงสังเกตได้จากองค์ภาวนาว่าจิตเรานั้นจะมีความสุข มีความสดชื่น มีความเบา วิธีการต่างๆ เบื้องต้นของภาวนาต่างๆ นั้นมันก็มาจากการอ่านแต่ว่าอ่านเพื่อให้จิตนั้นมีความสงบไม่ใช่เพื่อเพิ่มพูนความรู้ การสวดมนต์ถือเป็นหลักหนึ่งของเบื้องต้นของคำว่า “ภาวนา” ความหมดจดขององค์ศีลนั้นก็เป็นศีลที่ฉโลมใจทำให้เราปฏิบัติได้รุดหน้าได้มั่นคง ปราศจากสิ่งต่างๆ ที่จะมารุมเร้า ปราศจากอกุศลต่างๆ ที่จะเข้ามาขัดขวางเพราะศีลเรางดงาม สมาธิของจิตที่เกิดจากความสงบนั้นเป็นสมาธิขั้นสูง ที่สามารถหล่อเลี้ยงจิตใจหรือเพิ่มพูนกำลังจิตกำลังใจของเรานั้นให้เข้มแข็ง สุดท้ายพลังจิตของเราเข้มแข็งนั้น ในโลกุตรธรรมขั้นต้นถึงขั้นสุดท้ายนั้นไม่ไกล ความสงบเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา ฉะนั้นสิ่งแรกที่เรากระทำจากกรรมฐานหรือสมถะเบื้องต้นนั้นต้องพยายามเข้าให้ถึงความสงบให้ได้มากที่สุด ให้ได้นานที่สุด และต้องพยายามทรงให้ได้นานที่สุด เพราะว่าความสงบนั้นเป็นปากทางที่จะนำเราสู่การตัดภพตัดชาติในที่สุด ย่อมเหนือกว่าสิ่งต่างๆ ในโลก อำนาจใดไม่เทียบเสมือนอำนาจของจิต ไม่มีอำนาจใดในโลกที่จะสูงเกินอำนาจจิตของเราได้ ถ้าบุคคลนั้นเข้มข้นในแนวทางการปฏิบัติจนถึงขั้นโลกุตรธรรม สมถะกรรมฐานนั้นได้ถึงแค่โลกียะ เขาเรียกโลกียธรรมในมวลหมู่มนุษย์หรือในโลก แต่ว่าเป็นปากทางเป็นรากฐานที่จะเสริมสร้างคุณภาพของจิตของเรานั้นให้ข้ามพ้นจากโลกียธรรมนั้นไปได้ วันที่เราเข้าสู่โลกุตรธรรมในเบื้องต้น เราจะรู้ได้เลยว่าสิ่งต่างๆ ในโลกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่บั่นทอนลดถอยจากความเป็นคนของเรา แต่เมื่อถึงวันนั้นแล้ว เราก็ปิดอบายโดยสิ้นเชิง เราจะเป็นคนหนึ่งที่เกิดมาแล้วมีคุณภาพ ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาในวาระนี้ การปฏิบัติต้องอาศัยวันเวลาก็จริง แต่ต้องอาศัยความอดทนอดกลั้นของตัวเราเอง ไม่มีใครช่วยเราได้ พระอรหันต์ก็ไม่สามารถนำความเป็นพระอรหันต์ใส่ตัวเราได้ จิตเราจะเบาบาง จิตเราจะมีความสุข จิตเราจะมีเมตตานั้นไม่สามารถมีสิ่งใดมาซื้อได้เลย นอกจากการอบรมใจของเราเอง สิ่งภายนอกไม่สามารถที่จะนำสิ่งที่ดีดีหรือนำความสงบมาสู่จิตภายในของเราได้ บางคนรวยมากรวยมหาศาล มีเงินเป็นหมื่น เป็นแสน เป็นพันล้านแต่หาความสงบในจิตนั้นไม่ได้ ฉะนั้นเงินทองจึงเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งเท่านั้นแต่ไม่ใช่ทั้งหมด บางคนยากจนแสนเข็ญแต่สำเร็จอรหันต์ก็มีเยอะแยะมีมากมาย เพราะบางคนคิดว่าเกิดมาชาตินี้ลำบากก็เลยไม่ทำในสิ่งที่ดี แต่บางคนเกิดมาแล้วลำบากฝักใฝ่ในการสร้างกุศล ค่อยๆ สะสมค่อยๆ กระทำ จนกระทั่งวันหนึ่งนั้นกรรมมันค่อยๆ หมดไป กรรมมันจางไป มันก็จะทำให้สิ่งต่างๆ ในชีวิตของคนนั้นก็เริ่มดีขึ้นๆ ตลอด แต่จำไว้ว่าเราต้องใฝ่ดี
คำว่า “ดี” อยู่กับตัวทุกอย่างจะดีหมด เราจะไม่ละเลยหรือละล่วงไม่กระทำตามอำนาจกิเลสของตัวเรา จะต้องระงับยับยั้งสิ่งต่างๆ ที่จะทำให้เรานั้นหลงตกสู่อบาย ต้องหลีกให้ไกลหลีกให้พ้น ทุกคนผ่านมาในอดีตจะหยาบหรือละเอียดก็แล้วแต่ แต่เรามีโอกาสเราสามารถนับหนึ่งได้ทุกครั้งถ้าเราตั้งใจ วันหนึ่งเราจะนับได้ถึงร้อยถ้าเรามีความจริงจัง เวลาไม่คอยท่าใคร 5 ปี 10 ปีเดี๋ยวเดียวก็ถึง 10-20 ปีแค่หลับฝันตื่นก็เจอก็ถึงร่างกายของคนไม่คงทน ร่างกายของคนเสื่อมสลายไปในที่สุด การเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีผล ฉะนั้นอย่าทิ้งโอกาสในยามที่เรายังมีกำลังวังชา ร่างกายของเรายังถึงพร้อมที่จะใฝ่หาความสงบ นำความสงบนั้นไปสู่ปัญญาเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ในชีวิต ให้เราเดินทางในทางที่ถูกที่ควร เกิดมาแล้วชาติหนึ่งสร้างคุณค่าให้มาก คนที่มีคุณค่ามีประโยชน์ถือว่าเกิดมาแล้วไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นคนในวาระหนึ่ง ปิดอบายให้สิ้น เหลือแต่กำเนิดเกิดเป็นคน เป็นเทพ เป็นเทวดา เป็นพรหม แต่ต้องอาศัยขันติ วิริยะ สัจจะ และอธิฐาน ของ 4 อย่างนี้พระพุทธเจ้าผ่านมาทั้งหมดทั้ง 10 ทัศนี้ แต่ที่ยกมาก็เพียงแต่เราเป็นปุถุชนธรรมดา ขันติ วิริยะ สัจจะ อธิฐาน ถ้าเรายังมีสัจจะ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปอย่างมั่นคง ความมานะพยายามของเราก็เข้มข้น อธิฐานแต่ละครั้งต้องได้เสมอ ฉะนั้นขอให้ตั้งอกตั้งใจปรับเปลี่ยนวิถีทางการดำเนินชีวิตของเรานั้น เสริมคุณค่าให้กับจิตและวิญญาณของเรา สร้างคุณภาพของจิตวิญญาณของเราให้ดี ต่อให้เราต้องดับไปในวันนี้เราก็ไปเกิดดี มันเป็นธรรมชาติของจิตที่บรรลุแล้วซึ่งความดีทั้งหลาย สถิตแน่อยู่ในดวงจิต ชีวิตในชาติอนาคตข้างหน้าเราจะต้องเกิดในที่สูงล้ำกว่านี้ เกิดมาในที่ดีกว่านี้ สิ่งต่างๆ นั้นมันต่อเนื่อง ภพชาตินั้นก็ต่อเนื่องไม่มีวันขาดตอน อยู่ที่ว่าเรากระทำไว้ในสิ่งใดเท่านั้น ทำสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ไม่ดี ทำสิ่งไม่ดีลงอบาย ทำสิ่งที่ดีอย่างต่ำก็เกิดมาเป็นคน เพราะภพภูมิต่างๆ เหล่านี้ไม่มีวันหนีหายจากวัฏฏะนี้ ตราบใดที่เรายังจิตไม่ถึงพร้อมซึ่งคำวาอรหันต์เจ้าหรือนิพพาน ฉะนั้นขอให้แบ่งเวลาอย่าทำงานอาชีพจนมากมาย คนเราดับแล้วไม่มีสิ่งใดที่นำติดตัวไปได้เราก็เห็นกันอยู่ทุกวัน คนที่จากเราไปขนาดตัวเขายังแข็งทื่อ เสื้อผ้าจะใส่ยังไม่ได้ นับประสาอะไรเราจะนำสิ่งมีค่าต่างๆ ติดตัวไปยังไม่มี ทุกสิ่งล้วนทิ้งในโลก แต่สิ่งที่ดีที่สุดนั้นคือจิตเรานั้นมีความสดใส จิตเรานั้นมีความสว่าง เมื่อจิตนั้นมีความสว่างไสว การเกิดทุกภพเปรียบเหมือนผ้าขาวที่ปูไว้ไม่มืดดำสนิท เมื่อจิตสว่างการเกิดของเราไปดีแน่นอนเมื่อเรามีเวลาสามารถกำกับวิถีแห่งการดำเนินชีวิตและกำกับโลกนี้และโลกหน้าได้อย่างแน่นอน ถ้าเกิดเป็นพรหมทำอย่างพรหม เกิดเป็นเทวดาทำอย่างเทวดา เกิดเป็นคนก็ทำอย่างคน มี 3 สถานะนี้เท่านั้นที่คนเราไปเกิดแล้วเขาเรียกเกิดดี แต่สถานะที่ลงอบายความมืดดำเพราะจิตนั้นมืดบอดจิตนั้นมันมีความเสื่อมตลอดมันก็ลงอบายไปสู่ความดำมืด ไปผุดเกิดอีกครั้งก็ไม่รู้ไปเกิดเป็นอะไร ขณะที่จิตนั้นกำลังจะดับ จะเป็นไปตามอารมณ์ของคนในขณะนั้นเป็นเครื่องชี้สถานที่เกิด ถ้าจิตนั้นมีความทุกข์จิตลงอบาย จิตนั้นมีความสุขจิตก็ไปเกิดเป็นเทพเทวดาหรือสรวงสวรรค์ หรือเกิดเป็นคน ฉะนั้นจิตสุดท้ายจึงเป็นห้วงเวลาที่สำคัญที่สุดระหว่างภพต่อภพไม่มีใครหนีพ้น ในห้วงสุดท้ายของชีวิตขณะที่กำลังจะขาดใจตรงนั้น จะเป็นตัวบ่งบอกชาติกำเนิดในชาติหน้าที่เราจะไป ฉะนั้นจึงต้องบอกว่าภาวนาเป็นนิจ เพื่อสถิตไว้แล้วซึ่งคุณค่าของความประเสริฐของความดีงามทั้งหลายให้ได้มากที่สุด เพื่อเสริมสร้างทางที่เราจะเดินไปในอนาคตชาติ
ความสว่างไสวของจิตนั้น นำพาจิตวิญญาณของเราไปเกิดในสถานะที่ดีที่สุด เราเกิดมาความทุกข์มันก็จะค่อยๆ น้อยลงๆ ตลอด ชาติภพก็จะสูงขึ้นๆ ตลอด จนสุดท้ายแล้วก็หลุดพ้นการเกิดไปได้อย่างถาวร แต่ถ้าจิตเรานั้นปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมโดยไม่มีโอกาสเรียนรู้ในสิ่งที่ดีงามต่างๆ ปล่อยไปตามอำนาจของกิเลสที่หล่อหลอมเราอยู่ทุกวัน ความหยาบ ความโลภ ความหลง ความโกรธ มอมเมาชีวิตของเรานั้นให้มันหมดไปวันๆ โดยที่ไม่คิดที่จะเสริมสร้าง ช่วยเหลือ เยียวยา สุดท้ายแล้วจิตดวงนั้นหล่นอบาย โอกาสผุดเกิดไม่มีหรือน้อยมาก เทียบได้แค่ไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ ต้องไปเสวยความทุกข์ยากลำบาก ภาวะความร้อนของไฟมันร้อน แต่ถ้าอยู่ในอเวจีมหานรกนั้นอีกหลายล้านเท่า
เราว่าเราเป็นคนลำบากแต่สัตว์เดรัจฉานลำบากกว่าเรา มือก็ไม่มีทุกอย่างก็ไม่มียกเว้นบางชนิด อย่างเช่น งู หมา ทุกสิ่งทุกอย่างเราก็เห็นอยู่ในทุกๆ วัน ฉะนั้นสภาวะเช่นนี้เราต้องพยายามหลีกหนีให้ได้ไกลที่สุด การนั่งสมาธิจึงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด ที่จะขัดเกลาความหยาบของเรานั้นให้มันหมดไปหรือเจือจางไปได้เรื่อยๆ ปฏิบัติจนถึงพร้อมถึงความสงบขั้นสูง กายจิตถึงแยก ถ้ากายจิตแยกแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จะรู้เอง เมื่อไปถึงฝั่ง หรือเป้าหมายที่เรากำหนด วันหนึ่งเราจะได้และวันหนึ่งเราจะรู้ความสว่างในโลกที่หาดูไม่ได้ และความสุขในโลกก็หาไม่ได้เราไม่เคยพบพาน แต่เมื่อถึงวาระนั้นเราจะรู้เลยว่าสุขแท้นั้นคืออะไร เมื่อดับสุขดับทุกข์ ทุกข์สุขไม่มีเราก็จะรู้อีกว่ามันเป็นอย่างไร บางคนเขาบอกว่าความสุขนั้นดีแต่จริงๆ ไม่ใช่ ทั้งสุขทั้งทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดีสิ่งที่พระพุทธเจ้านั้นบอกไม่ดี แต่ว่าในโลกสงสารนี้คนเราเป็นปุถุชนย่อมถือความสุขเป็นเลิศ แต่ถ้าในทางจิตวิญญาณแล้ว ความสุขที่เป็นเลิศนั้นคือสุขไม่มี ทั้งทุกข์ทั้งสุขไม่มี นั่นแหละคือความเป็นเลิศ เพราะทั้งสองอย่างถ้าสิ้นสลายไปเมื่อไหร่ การเกิดของเราจบบริบูรณ์เมื่อนั้น เราไม่เกิดในวัฏฏะนี้ ฉะนั้นขอให้ใช้ความเพียรให้มาก ถ้าเราปฏิบัติมากๆ เราจะรู้แจ้งชัดไม่มีหลอกหลอนหรอก เป็นของจริงที่ปรากฏในกายภายในของเรา ทุกข์ทรมานต่างๆ เกิดขึ้นแก่ตัวเรา ความทุกข์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นมันมีขั้นมีตอน มันมีจังหวะจะโคลน ทำให้เราสามารถล่วงรู้ในทุกสิ่ง ในธรรมขั้นสูง ฉะนั้นธรรมขั้นสูงนั้นเกิดจากกายภายในของเราทั้งสิ้น ในสมถะเบื้องต้นนี้มันเป็นของภายนอกที่เราจะต้องเรียนรู้ แต่ในขั้นสูงนั้นไม่ใช่ เราเรียนรู้จากภายในกาย เมื่อธรรมภายในเกิดทุกอย่างเราจะเห็นแจ้งเห็นชัด แต่ในสมถะนั้นเป็นเบื้องต้นเป็นของภายนอกที่จะต้องขจัดและกำจัด ทุกขเวทนาต่างๆ มันก็เกิดขึ้นอยู่ตลอด เพราะว่าเป็นความหยาบเป็นความหยาบของจิตภายนอกที่ทำให้เราล่วงรู้ถึงเวทนาต่างๆ แต่ถ้ากำกับถึงจิตภายในเขาเรียกกายในกาย จิตในจิต ธรรมในธรรม กาย เวทนา จิตธรรมต่างๆ นั้นมันก็ปรากฏชัดแจ้ง และขึ้นกับสรีระของเราในร่างกายของตัวตนของเรานั้นไม่มีวันที่เราจะไม่รู้ เพราะขณะเกิดขึ้นทุกอย่างมันอยู่กับเรา อยู่กับจิตภายในของเราทั้งสิ้นเรารับรู้ทั้งหมด แต่เป็นความรับรู้ด้วยความละเอียด ส่วนสมถะเบื้องต้นหรือสมถะกรรมฐานที่เรากำลังปฏิบัติอยู่ เรียกว่าจิตภายนอกจิตมันสอดส่ายอยู่ภายนอก มองถึงความทุกข์เวทนาต่างๆ ในขั้นของพื้นฐาน ที่จะทำให้เรานั้นเกิดความทรมานเกิดความเวทนา เกิดความทุกข์ร้อน เกิดความกระสับกระส่าย เกิดความไม่สงบ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ที่พูดจะต้องผ่าน ต้องพยายามผ่านตรงนี้ให้ได้ เพราะเป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่จะสามารถนำพาจิตวิญญาณของเรานั้นไปสู่ความละเอียดในบั้นปลาย ถ้ากายภายนอกเราไม่รู้กายภายในเรายิ่งไม่รู้ เพราะความละเอียดของกายภายในเป็นความละเอียดสูงสุด แต่กายภายนอกมันแค่นั่งสมถะนั่งสมาธิทั่วไป หลับตาภาวนา แต่เพราะความหยาบมันเลยทำให้เราเกิดทุกข์เวทนา แต่ถ้าจิตเรามีความละเอียดสูงขึ้นๆ ตลอด เวทนาทั้งหลายไม่สามารถรบกวนเราได้เลย เราจะนั่งสัก 3 วัน 7 วัน นั้นธรรมดาไม่ได้มีผลกับเรา นั่ง 1-5 วันนั้นธรรมดา เวทนาไม่เกิด
ฉะนั้นเรามีเบื้องต้น มีท่ามกลาง และสุดท้ายต้องมีบั้นปลาย ต้องอาศัยวันเวลาในการขจัดความเมื่อยล้าต่างๆ เวทนาต่างๆ ความปวดความร้าวความชา วันหนึ่งเราจะหลุดพ้นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่เกิดกับเรา ไม่มีความสำเร็จใดที่ได้มาโดยง่ายถ้าเราขาดความเพียรและขาดความตั้งใจ แต่ถ้าเรามีสัจจะ วันนี้เราจะนั่งสมาธิ 1 วันเต็ม เราจะไม่ลุกจากที่ถ้าจิตเราไม่มีความสงบ วันหนึ่งเราจะต้องสำเร็จ เพราะเรามีความเพียร เรามีสัจจะ เรามีปณิธานที่ตั้ง เมื่อถึงวาระนั้นทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จ สิ่งที่สำเร็จนั้นทรงคุณค่าอย่างมหาศาล ทรงความประเสริฐอย่างสูงสุด สภาวะของเรานั้นแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง จิตวิญญาณของเรานั้นเข้าสู่ขั้นของความละเอียดที่สูงสุด ไม่มีสิ่งใดที่เราไม่รู้ ไม่มีอดีตที่เราไม่เข้าใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันที่ขาดการกลั่นกรองมาตลอดผิดถูกทั้งหลายนั้นผ่านมา วิเคราะห์วิจารณ์ได้ทั้งหมด สมถะกรรมฐานเบื้องต้นนี้ จึงต้องพยายามยกระดับจากวันเวลาที่น้อยนิดเพิ่มขึ้นให้ได้มากทุกๆ วันหรือทุกๆ เดือน ไม่จำเป็นต้องเร่งร้อน แต่จำเป็นจะต้องทำให้มาก วันหนึ่งเราจะรู้ว่าสิ่งที่เรากระทำนั้นมีคุณค่าขนาดไหน เมื่อถึงวาระนั้นเราจะรู้ว่าไม่เสียเวลาเปล่าที่เราทำ
เรากินอยู่ไปวันหนึ่งข้าวสามเมื้อเท่านั้น บางคนก็กินเมื้อเดียว แต่ในด้านสมาธิภาวนานั้นยิ่งทำยิ่งมากยิ่งดี ยิ่งทำยิ่งมากยิ่งหลุดพ้น ความละเอียดของวิถีจิตจิตนั้นมีอานุภาพ จะตกในสถานที่ใดจิตนั้นสามารถอธิฐานได้ตลอด ไม่ว่าจะอยู่ห้วงคับขันภูมิต่างๆ ที่อยู่ในสถานที่นั้นก็ต้องมาปกป้อง มาช่วยเหลือ มาคลี่คลาย ฉะนั้นอำนาจของจิตนั้นจึงเป็นอำนาจสูงสุดในโลก ไม่มีอำนาจใดที่จะเหนือกว่าอำนาจของจิตได้ แต่เราพยายามปฏิบัติให้ได้จิตถึงพร้อมซึ่งความมีพลังของจิตที่เข้มข้นที่เข้มแข็งให้ได้ในที่สุด ขอให้หมั่นภาวนา สิ่งที่ได้จากในถ้ำนั้นมีค่าสูงสุดสิ่งที่ผ่านมาจึงมีความละเอียดสูง จึงอยากให้ทุกคนนั้นปฏิบัติให้ได้ทำให้ถึง แต่จะบอกกล่าวทั้งหมดเลยก็ไม่ได้เพราะบางสิ่งมันสูงเกินที่เราจะเข้าใจ แต่วันหนึ่งถ้าเราปฏิบัติไปเราจะรู้เอง เหมือนดั่งครูบาอาจารย์ต่างๆ ที่ล่วงจากโลกนี้ไปแล้วท่านก็รู้เสมออย่างนี้ไม่ผิดเพี้ยน เพราะมันเป็นสัจจะความเป็นจริงที่เกิดขึ้นขณะภาวนา ไม่มีสิ่งแปลกปลอมใดๆ ที่จะเข้ามาเสริมหรือมาแต่งให้เราไขว่เขวได้ เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นในสรีระร่างกายของเราทั้งสิ้น เราจะรู้ถึงทุกขเวทนา คนป่วยไข้ชราคนแก่เฒ่าชราต่างๆ คนเป็นโรคต่างๆ คนเป็นอัมพาตต่างๆ การไม่สามารถช่วยเหลือตัวเอง เปรียบเหมือนคนอัมพาต ไม่สามารถออกจากสถานที่กักกันเหมือนกับสิ้นอิสรภาพ แต่จิตนั้นไม่โดนการควบคุม จิตนั้นกลับเบิกบานกลับสดใสกลับสดชื่น ภูมิรู้ต่างๆ บังเกิด ถึงแม้จะอยู่ในสถานที่แคบ กายนั้นถูกบีบแต่จิตนั้นสว่างไสว สิ่งที่ได้มีคุณค่ามหาศาล เป็นประสบการณ์ของการภาวนาที่มีคุณค่ามาก ที่สามารถนำมาปรับปรุงแก้ไขเสริมแต่งให้ถึงที่สุดได้ในวันหนึ่งแน่นอน เพราะสิ่งที่ผ่านพ้นเป็นครูผู้สอน เราไม่เคยเข้าก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ แต่เมื่อเข้าแล้วอุปสรรคต่างๆ บังเกิดเราก็รู้ ปัญหาที่มีเรารู้ ฉะนั้นความไม่พร้อมจึงทำให้เราไปไม่ถึงจุดหมายแต่ถ้ามีโอกาสคงจะได้ถึงที่อันนั้น
ฉะนั้นขอให้ทุกคนหมั่นปฏิบัติ สิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวที่มีคุณค่าที่สุดที่เราเกิดมาแล้วชาตินี้ ไม่ใช่เงินทองบางครั้งบางคนคิดว่าเงินทองนั้นมีคุณค่ามากที่สุดในชีวิต บางครั้งเงินทองก็หาความหมายมิได้ ถ้าเราอยู่ในถ้ำผาอย่างนี้ อยู่ในป่าเขาลำเนาไพรอย่างนี้ ประสบพบพาสิ่งที่เป็นเหตุอันตรายต่างๆ เงินทองไม่สามารถซื้อ อย่างชีวิตกำลังจะแตกดับเราจะเอาเงินทองไปซื้อขอชีวิตเพื่อให้ยืดยาวก็เป็นไปไม่ได้ บางครั้งเงินทองมีคุณค่าก็จริง แต่บางครั้งเงินทองก็หาคุณค่าไม่ได้ แต่จิตวิญญาณที่มีความเปี่ยมล้น เต็มไปด้วยคุณธรรม เต็มไปด้วยน้ำใจ เต็มไปด้วยเมตตาธรรม อันนี้แหละมีคุณค่าที่สุดในความเป็นคนของเรา ขอให้ปฏิบัติด้วยกาย วาจา และใจของเราให้ถึงพร้อมให้ได้มากที่สุด เพิ่มวันเวลาในการปฏิบัติให้ได้มากที่สุด 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมง 3 ชั่วโมง จิตความสงบนั้นจะเกิดภายใน 2 ชั่วโมง จิตนั้นจะเบาภายใน 3 ชั่วโมง จิตนั้นจะหลุดพ้นใน 1 วัน ฉะนั้นทุกอย่างมีจริงเป็นของจริง ปฏิบัติแล้วไม่เสียดายที่เราได้ฝึกฝนและปฏิบัติ ขอให้ตั้งอกตั้งใจ มีโอกาสมีเวลาแล้วทำให้ถึงทำให้พร้อม ถึงวาระสุดท้ายที่จิตกำลังจะดับเราจะไม่มีวันเสียดายเลย เราจะดีใจอย่างหาที่สุดมิได้ที่เราได้เกิดมาแล้วสร้างคุณค่าให้กับจิตวิญญาณของเรานั้น นำพาจิตวิญาณของเรานั้นไปเกิดต่อภพต่อชาติได้อย่างมั่นคงได้อย่างดีเลิศ สิ่งที่ทรงคุณค่าที่สุดในชีวิตและการเกิดของเรานั้นคือจิตที่เป็นภาวนาให้ได้มากที่สุด เหนือสิ่งใดในโลกขอให้ทุกคนตั้งจิตตั้งใจให้มั่นคง กระทำความดีให้ถึงพร้อม สร้างเมตตาจิตให้ได้มาก สร้างทาน ศีล ภาวนาให้ได้อย่างสม่ำเสมอ และชีวิตของเราจิตวิญญาณของเรานั้นจะไม่มีวันตกต่ำ ไม่ว่าในโลกนี้หรือในโลกหน้า เราจะเป็นคนที่สมบูรณ์ที่สุด เป็นอริยบุคคลคนหนึ่งของโลก สุดท้ายเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐที่สุดในโลก ขอให้มีความเพียรมีความอดทนให้มาก แล้วสิ่งที่ดีดีในชีวิตก็จะปรากฏชัดให้เราเห็นแจ้งอย่างแน่นอน
ป.จิตธรรม
9-7-56
........................................................................