26.11.55
ทุกสิ่งในโลกล้วนอนิจจัง

การอบรมใจ เสริมสร้างพลังจิต พลังสมาธิ พลังที่จะทำให้บังเกิดความสงบ เพื่อนำไปสู่มิติที่เราไม่เคยไป สิ่งใดในโลกที่เราพบพานมาแล้ว ในเมื่อพบพานในสมาธิจิตที่มีความนิ่งที่มีความสงบ สิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในสมาธิจะไม่เหมือนโลกภายนอก และสิ่งต่างๆที่เราได้จากสมาธิก็จะติดตาตรึงใจสถิตแน่นอยู่คู่จิตของเรานั้นไปตลอด ตัวนี้เป็นการส่งหรือเป็นอำนาจผลักดัน ที่จะนำส่งทั้งบุญและกุศลต่างๆ ของเราที่ได้กระทำ ไม่ว่าเราจะเกิดในชาติใดหรืออยู่ในสถานะใด บุญกุศลที่เราสร้างในวาระนี้ก็จะอยู่คู่เราเป็นเครื่องป้องกันช่วยเหลือขจัดปัดเป่าในสิ่งที่เป็นอันตรายทั้งหลาย ให้พ้นผ่านไปได้ด้วยบุญกุศลที่เรากำลังทำ ไม่ว่าโลกนี้หรือโลกหน้า สิ่งที่เรากระทำไม่สูญเปล่า ทำยิ่งมากเกราะคุ้มกันก็ยิ่งมาก หากเราได้เกิดอีกครั้งภูมิธรรมต่างๆ ที่เราเคยมีอยู่ ก็จะเป็นแรงผลักดันทำให้เราสำเร็จ บางคนเกิดมาแล้วปฏิบัติสมาธิได้ในขั้นสูงโดยไม่ต้องมาฝึกในทักษะเบื้องต้น เป็นเพราะว่าบุญที่เขาเคยกระทำ สมาธิที่เขาเคยฝึกมาแล้วในอดีต บุญกุศลจึงไม่หลุดหล่นไปไหน ไม่มีวันหล่นหายไปจากตัวเราในจิตของเรา จะเกาะติดแนบแน่นในกายจิตของเราไปตลอด ถึงแม้ร่างกายจะทิ้งอยู่คู่โลก แต่จิตนั้นเดินทางตลอดเวลา เดินเข้าไปในวัฏฏะ หรือสังสารวัฏ การเวียนตายเวียนเกิดมีอยู่ทุกยุคทุกสมัย จิตของเราล่วงมาแล้วอาจจะหลายหมื่นหลายแสนปี เกิดในทุกสรรพสิ่งอาจจะเคยตกอยู่ในนรกภูมิ ในภพเปรต อสูรกายหรือสัตว์เดรัจฉาน มาแล้วทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องเคยผ่านมาทั้งสิ้น
ฉะนั้นสิ่งต่างๆ ที่ผ่านพ้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี มาถึงวาระนี้กลับมาเกิดเป็นคน เพราะเราหลุดพ้นจากอบายมาแล้วต้องพยายามคงสภาพในการเกิดของเราในวาระนี้ ถึงแม้ว่าเราจะดับจากชาตินี้ไป ชาติหน้าเราจะต้องไม่หล่นจากความเป็นคนเราจะต้องไม่ตกหลุมพลางของกิเลสและตัณหาที่นำพาจิตให้เสื่อมลง ทำให้กลับไปตกอยู่ในอบายอีกครั้ง ฉะนั้นการที่ได้มีโอกาสมาปฏิบัติมาฝึกฝนตัวเราเอง ขัดเกลาจากจิตหยาบให้เป็นจิตที่มีความละเอียด จึงเป็นโอกาสสำคัญที่สุดที่เราพึงทำ ที่เราพึงได้ เวลาอันน้อยนิดนี้ถือว่าเราก็ได้บุญกุศลในส่วนหนึ่ง แต่บุญกุศลจะได้ต่อเนื่องต่อเมื่อเรานั้นเป็นนักปฏิบัติที่แท้จริง ไมใช่เป็นนักปฏิบัติที่ฉาบฉวยทำบ้างไม่ทำบ้าง วันนี้ทำพรุ่งนี้หยุด เที่ยวเอาข้ออ้างว่าเราไม่ว่างเราไม่พร้อม แต่จริงๆ หารู้ไหมว่าการปฏิบัตินั้นเป็นส่วนสำคัญที่สุดของการเกิดมาเป็นคน การงานอาชีพทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นอานิจังเป็นของปลอมทั้งสิ้น เรากินเพื่ออยู่เราไม่ได้อยู่เพื่อกิน ในเมื่อเรากินเพื่ออยู่เวลาของเราก็จะมีมากขึ้น แต่ถ้าอยู่เพื่อกินเวลาเราไม่มีเพราะเราไปอยู่กับของกินทั้งหมด เที่ยวบำรุงบำเรอร่างกายเที่ยวเตร่ ใฝ่หาในโลกภายนอกในสภาวะต่างๆ ของโลก ซึ่งทั้งหลายทั้งสิ้นนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่จะน้อมนำกระแสแห่งกรรมที่ไม่ดีตามวังวนของโลกีวิสัย ที่จะย้อมจิตย้อมใจของเรานั้นให้เกิดกิเลส ให้เกิดความอยากมีอยากได้ เพราะยิ่งได้เห็นมากก็ยิ่งอยากได้มาก เมื่อความอยากมากขึ้นก็ยิ่งกระทำสิ่งต่างๆ มากขึ้นๆ เพื่อหาทรัพย์ในภายนอกทั้งหลายนั้นเพื่อเก็บไว้มาบำรุงกาย สนองความต้องการของสิ่งที่โลกภายนอกมี แต่กลับลืมส่วนสำคัญที่สุดของชีวิตที่กลับมา ทำให้บั่นทอนซึ่งภาวะจิตนั้นให้ตกหล่น วนเวียนอยู่ในความทุกข์ความสุขอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่ได้มาเป็นสุขสิ่งที่ไม่ได้มากลายเป็นทุกข์ สิ่งที่อยากมีไม่ได้มีก็เป็นทุกข์ สิ่งที่ได้มีเกิดมีก็เป็นสุข แต่ไม่ว่าทุกข์หรือสุขทั้งหลายนั้นก็เป็นชั่วประเดี๋ยว ทุกข์ผ่านสุขเข้า สุขผ่านทุกข์เข้า เป็นอย่างนี้อย่างเสมอต้นเสมอปลายไม่มีวันที่สิ้นสุดฉะนั้นหลักใหญ่และหลักการปฏิบัตินั้นเป็นหนทางที่คนที่เกิดมาเป็นคนแล้วต้องพยายามไขว่คว้าหาให้ได้มากที่สุด
สิ่งภายนอกและสิ่งภายในนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง สิ่งภายในนั้นเมื่อฝึกดีฝึกถึงขีดสุดแล้วทุกข์สุขไม่มี เป็นอนัตตาโดยสิ้นเชิงคือความไม่มี แม้ร่างกายสังขารของเราทุกอย่างล้วนอนิจจัง ถ้าเราปฏิบัติถึงที่สุดในจุดหนึ่งเราก็จะรู้ว่ากายนั้นไม่มี จริงๆนั้นคือไม่มี ในสภาวะของจิตที่หล่นเข้าไปอยู่ในปลายอุโมงค์ ในภวังค์จิตนั้นก็จะรู้ทันทีว่าจริงๆ แล้วกายเราไม่มี ทุกสิ่งในโลกล้วนอนิจจัง ล้วนมีแต่จิตที่เป็นปีติสุขในเบื้องต้น เมื่อการขัดเกลาจน ลุล่วงไปถึงในช่วงของจิตที่หลุดจากเวทนาเข้าสู่ปลายอุโมงค์ที่ลึกล้ำ กายจิตแยกต่างคนต่างอยู่ ความหลุดพ้นเริ่มใกล้ ฉะนั้นองค์ประกอบสำคัญที่สุดในการเกิดมาเป็นคนในครั้งนี้มิใช่การทำมาหาเลี้ยงชีพ อาหารใจที่เราไม่เคยส่งให้วันในหลายสิบปี ต้องพยายามหาน้ำเลี้ยงเพื่อหล่อหลอมจิตหล่อหลอมใจของเรานั้นให้คงสภาพความชุ่มชื่น การเกิดนั้นเป็นผลจากกรรม เรามีวิถีชีวิตที่เดินอยู่มาตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันล้วนแล้วแต่มาจากกระแสกรรมทั้งสิ้น เหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมีกรรมเป็นตัวกำหนด
ฉะนั้นวันเวลาที่เราเริ่มนับ 1 2 3 4 5 ได้ในครั้งนี้นั้น ต้องพึงพยายามสร้างในคุณงามความดีต่างๆ เมื่อกรรมดีเกิดมากๆ ขึ้น กุศลกรรมทั้งหลายที่เราสร้างนั้นก็สามารถผลักดันชีวิตและจิตวิญญาณของเรานั้นให้โลกนี้หรือโลกหน้าเป็นไปอย่างราบรื่น เพราะกรรมดีกรรมใหม่ที่เราสร้างเป็นผลอาจจะปัจจุบันในชาตินี้เลย เพราะฉะนั้นองค์ประกอบในการดำรงชีวิตที่สำคัญนั้นจึงเป็นมหาบุญมหากุศลที่เราก็ต้องกระทำ เราอาจจะไม่มีทรัพย์ในช่วงการดำเนินชีวิตนี้ แต่ถ้าเรากระทำความดีมากๆ ภูมิธรรมต่างๆ บังเกิดเทวดาที่ปกป้องคุ้มครองเรานั้นมีพลังที่เข้มแข็ง ย่อมเปิดทางเปิดโอกาสให้เรามีความสำเร็จในทางโลก สุดท้ายแล้วสำเร็จในจิตภายใน ฉะนั้นความสำคัญที่สุดในชีวิตจริงๆ แล้วก็คือการปฏิบัติภาวนาเพื่อให้ถึงแก่นแท้ ปัดกวาดสร้างสรรค์เสริมสร้างคุณภาพของภาวะจิตนั้น ให้เป็นจิตที่มีความเย็น มีความละเอียด มีความสงบ
ความสงบในการภาวนามีผลมหาศาล ความมีปัญญานั้นเป็นปัญญาที่สูงล้ำยิ่งกว่าการเรียน ไม่ว่าจะเป็นขั้นด๊อกเตอร์หรือขั้นใดก็ตามก็สู้การภาวนาไม่ได้ เพราะภูมิรู้ต่างๆ ในการภาวนานั้นเป็นจิตที่ละเอียด เป็นวิถีของความละเอียดที่นำมาใช้แก้ไขทุกสิ่งในชีวิตประจำวัน ความสงบเย็นเป็นหลักและเป็นแก่นที่จะทำให้เรานั้นเป็นผู้มีภูมิปัญญาที่เฉียบแหลม สามารถนำภูมิปัญญาต่างๆ นั้นไปวางรากฐานของการดำเนินชีวิตของเราในทุกๆ วัน เป็นไปด้วยความละเอียดอย่างที่สุด สามารถนำพาความสำเร็จมาสู่ตัวตนของเราและบุตรหลานของเรา บริวารรอบข้างของเรา การภาวนาจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดทั้งโลกนี้และโลกหน้า ในโลกหน้าก็เป็นบุญกุศลที่หนุนส่ง ในโลกนี้ก็เป็นกำลังสำคัญของปัญญาในการแก้ไขสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นการค้าการลงทุน กิจการต่างๆ การงาน ทุกสภาวะนั้นต้องอยู่ที่ปัญญาทั้งนั้น แต่ถ้าบ่อเกิดแห่งปัญญาไม่มีความนิ่งพอ จิตนั้นไม่มีความละเอียดพอ สิ่งต่างๆ ที่เราแก้ไขนั้นย่อมผิดพลาด แต่ถ้าเราปฏิบัติจนได้ความละเอียดในขั้นภูมิของปัญญาที่เฉียบแหลมแล้ว ไม่ว่าการงานอาชีพต่างๆ เราก็ยังมองได้ทะลุปรุโปร่ง เขาเรียกรู้แจ้งเห็นจริงเห็นชัด สิ่งที่รู้แจ้งเห็นจริงเห็นชัดแล้วไม่มีสิ่งใดที่เราจะทำไม่ได้ เวลาที่มีค่าที่สุดก็คือเวลาที่เราปฏิบัติ ที่เราละวางจากสิ่งต่างๆ ภายนอกเข้ามามองจิตภายในของเรา ขัดเกลาความหยาบในดวงจิตดวงเดิมของเรานี้ให้มันหมดจดงดงาม บังเกิดความละเอียดความสงบสูงสุด อันว่าความสงบนั้นป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา ปัญญาเป็นบ่อเกิดแห่งการควบคุมสถานการณ์ต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตของเรา ทำให้เราสามารถพ้นผ่านในสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาพัวพันในชีวิตของเรานั้นได้อย่างถูกต้อง การวางระบบการวางระเบียบในการดำเนินชีวิตของเรานั้นเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด คนเราจะชนะหรือพ่ายแพ้อยู่ที่การวางระบบวางระเบียบ อยู่ที่วิถีทางแห่งการกำหนดในการกระทำของเรา จิตที่มีความละเอียดปราศจากความโลภ ปราศจากความโกรธ และปราศจากความหลง ย่อมมองเข้าถึงแก่นแห่งเหตุและผลที่มีอยู่ในสถานะนั้นๆ หรือในการประกอบอาชีพนั้นๆ จะเข้าใจหลักเกณฑ์หลักการต่างๆ ความผิดพลาดจึงหาได้น้อยมาก แต่ถ้าเราเอาวันเวลาทั้งหมดไปทุ่มเทกับการทำมาหากินโดยตลอด ความสำเร็จนั้นก็อยู่ปลายอุโมงค์เท่านั้น เพราะเราไม่เคยได้มานั่งวิเคราะห์ นั่งสงบจิตสงบใจ วิเคราะห์สิ่งต่างๆ ที่เรากระทำ และก็มัวแต่หลงเรียกว่าหลงทางไปในส่วนต่างๆ ที่เรากระทำโดยไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักของความเป็นจริง ความผิดพลาดย่อมบังเกิดขึ้น ความสูญเสียยิ่งบังเกิด แต่จิตที่เป็นภาวนามีเหตุผลรองรับอยู่ในตัว ทุกสิ่งที่กระทำนั้นต้องเป็นความจริงเสมอไปไม่หลอกลวงตัวเอง ความสูญเสียจะค่อยๆ น้อยลง สิ่งที่ทำให้เสียหายต่อตัวเราก็จะน้อยลง แม้กระทั่งสุขภาพจิตและร่างกาย
ความโลภทำร้ายจิตใจ ทำลายอนาคตที่สมควรเป็นไปด้วยดี ฉะนั้นต้องหยุดยั้งความโลภ ความโกรธ ความหลงให้ได้มากที่สุด ทำในสิ่งที่ควรทำละในสิ่งที่ควรละ และชีวิตภายนอกของเราในสังสารวัฏนี้ก็จะไม่มีวันอับปางลง และยิ่งถ้ามาฝึกจิตภายในค้นกายจิตภายในแล้ว เราย่อมพ้นสภาวะของความล้มเหลวในชีวิต เพราะปัญญาที่เข้ามาควบคุม เป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุดที่จริงๆ แล้วทุกคนมีอยู่ในตัว แต่ขาดการดูแลเอาใจใส่ทำให้หลงทางไปในทิศทางที่ผิดพลาด กระแสของกรรมดีย่อมนำพาสิ่งที่ดีเข้ามาในชีวิตของเรา การที่เราพักจิตพักใจมาใฝ่หาความสงบนั่งสมาธิก็เพื่อรู้แนวทางในการดำรงชีวิตต่อไปในวันข้างหน้า เป็นไปได้ด้วยคุณภาพและอัตภาพที่ดีงาม ความสำเร็จรอเราอยู่ข้างหน้าไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม เพียงแต่การจัดวางต้องวางให้ถูกวางให้เป็น ใน 24 ชั่วโมง ถ้าเราวางการงานอาชีพไปแล้ว 22 ชั่วโมง เราจะหาความสำเร็จไม่ได้เลย คนทำมากมิใช่มีความสำเร็จเสมอไป บางคนทำน้อยมีเวลาคิดมากสำเร็จลุล่วงไปได้อย่างรวดเร็ว การก้าวขึ้นบันไดนั้นจะขึ้นทีละ 3-4 ขั้นหาได้ไม่ เพราะมันมีโอกาสที่จะทำให้เราก้าวตกหกล้มไปได้ แต่ถ้าเราก้าวไปทีละก้าวโอกาสพลาดไม่มี ต่อให้เป็นร้อยขั้นบันไดก็ไม่มีวันผิดพลาด ฉะนั้นการขจัดการวางกฎเกณฑ์ระเบียบรู้ถ่องแท้ในวิถีทางการกระทำต่างๆ ย่อมมีผลทำให้เรานั้นประสบผลสำเร็จ ทั้งชีวิตในโลกและชีวิตในทางธรรม ฉะนั้นสิ่งต่างๆ ที่ล่วงมาแล้วถือว่าเป็นบทเรียนเป็นครูผู้สอน แต่ถ้าเราไม่มีเวลามาพักจิตพักใจและมาขัดเกลา มาดูย้อนอดีตมาดูความผิดพลาด เราก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ในชีวิตที่ผ่านพ้นมาได้ ทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยความละเอียด ทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยปัญญา การกระทำต่างๆ ในโลกไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ไม่ดี ต้องพยายามค้น พยายามหาพยายามดู ผิดพลาดบ่อยไม่ได้เพราะทุกสิ่งที่เรากระทำในทุกๆ วันนั้นมันเป็นกระแสของกรรม ในวาระจิตสุดท้ายที่แตกดับทุกสิ่งตามเราไป วันที่เราจะตายจากโลกนี้ทุกสิ่งจะปรากฏให้เห็น ในห้วงเวลาละครชีวิตที่เข้าฉากในฉากสุดท้ายของชีวิตเรานั้นเป็นตัวกำหนดเกณฑ์ชะตาในชาติภพที่เราไป
ฉะนั้นการฝึกอบรมจิตนั้นเพื่อให้เข้าถึงแก่นแห่งความดีที่สูงสุด ทำให้ความดีนั้นสถิตอยู่ในดวงจิตของเรา ละครฉากสุดท้ายที่เราจะเดินผ่านนั้น ก็เป็นจังหวะของชีวิตที่เรากระทำคุณงามความดีทั้งสิ้น เราถึงว่าการปิดอบายไม่ยาก เพียงแต่ว่าเราจะต้องทำอย่างไรถึงจะปิดอบายได้ ก็การสร้างคุณงามความดีและคงความดีให้อยู่ในสถานะในการจดจำสถิต ณ.จิตวิญญาณของเราให้แน่นแฟ้นให้เป็นของที่คู่กายคู่จิตของเราไปตลอด วันที่เราตายจากโลกนี้อารมณ์แห่งสมถะกรรมฐานหรือวิปัสสนากรรมฐานที่เราได้จากการปฏิบัติ ย่อมเป็นแสงสว่างที่จะนำพาจิตของเรานั้นไปเกิดในที่สถานะที่ดี แสงสว่างแห่งจิตวิญญานเป็นแสงส่องทางในการนำพาชีวิตจิตวิญญาณไปเกิด จิตสุดท้ายที่แตกดับนั้นไม่มีความหมองเศร้าไม่มีความทุกข์ระทมอันนั้นเรียกว่าเกิดดี ฉะนั้นการกระทำของเรานั้นมีผลต่ออนาคต มีผลต่อการเกิดของเราในทุกชาติ เราจึงเห็นได้ชัดแจ้งว่าการปฏิบัตินั้นสำคัญไหม หรือว่าการทำมาหากินนั้นสำคัญกว่า ทุกสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ไม่มาสิ่งใดที่เรานำติดตัวไปได้ เรามองดูคนเฒ่าคนแก่ปู่ย่า ตายาย ที่จากเราไป ญาติพร้อมบริวารทั้งหลายที่เคยอยู่ที่เราเคยเห็น ในวาระที่เขาจากนั้นไม่มีสิ่งใดที่นำไปได้เลย ไม่สามารถขยับแม้กระทั่งกายสังขารของตัวเอง ทุกอย่างทิ้งไว้ในโลก แต่ส่วนภายในดวงจิตวิญญาณนั้นไม่ได้อยู่ในโลก ไปเกิดตามวาระเกิดตามกระแส ไปเกิดตามสิ่งที่กระทำ ฉะนั้นเราต้องพยายามเลือกแฟ้นควบคุมการกระทำของเราให้ได้มากที่สุด ทั้งกาย วาจา ใจ ซึ่งเป็นตัวก่อเกิด พูดดีกระทำดีไปเกิดดี ทำไม่ดีคิดไม่ดีพูดไม่ดีตกอบาย ฉะนั้นเราต้องเลือกเราเป็นคนแล้วมีโอกาสเลือก มีโอกาสที่จะทำให้ถึงพร้อม มีโอกาสที่จะทำความดีมากๆ เพื่อสถิตในแก่นจิต ในช่วงที่ขับคันชีวิตกำลังจะแตกดับส่งผลให้ไปเกิดในที่ดีให้ได้
องค์ประกอบสำคัญที่สุดในการเกิดเป็นคนในชาตินี้ คือ การภาวนา การรักษาศีล การให้ทานกุศลอย่างสม่ำเสมอ เป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะรักษาระดับในการเกิดของเราได้ ขอให้ทุกคนนั้นตั้งอกตั้งใจพยายามใฝ่หาในคุณงามความดีต่างๆ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ สะสมบุญกุศลเป็นทุนรอนในการเดินทางในการที่จะไปท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏได้ตลอดไป โดยไม่ตกหล่นสู่อบาย เราขึ้นจากอบายแต่เราจะไม่ตกจากสภาวะที่เราเกิดมาในชาตินี้ สรรพสัตว์ทั้งหลายที่เกิดล้วนเป็นจิตวิญญาณของคนไปเกิด แต่กระทำคุณงามความดีไม่ได้ถึงพร้อม จึงต้องตกหล่นไปสู่อบายกลายเป็นสัตว์ต่างๆ ที่เราเห็นอยู่ตำตาทุกวัน ไม่ว่าหมูหมา กาไก่ นั้นเป็นจิตวิญญาณของคนไปเกิดทั้งสิ้น มีเชื้อพันธุ์คือกระแสของกรรมเป็นตัวนำเกิด อบายต่างๆ ที่เราผ่านพ้นมา เราย่อมไม่อยากเหลียวกลับหรือกลับไปเกิดเป็นในสรรพสิ่งต่างๆ เหล่านั้นอีก แต่การรักษาระดับความเป็นคนนั้นต้องพยายามฝึกตัวเอง ฝึกจิตของเราขัดเกลาตัวเรา ฝึกจนมีความละเอียดจิตเกิดเมตตาโดยธรรมชาติ ความเมตตานั้นฝืนไม่ได้ถ้าฝืนแล้วไม่ใช่เมตตา จิตเป็นเมตตาโดยธรรมชาติคือจิตที่ถึงพร้อม จิตที่มีความเย็นสบาย จิตที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่โอบอ้อมอารี ช่วยเหลือเกื้อกูล นั่นแหละคือจิตแท้ แต่ถ้าฝืนทำทุกอย่างของปลอมทั้งสิ้น ไม่ได้อานิสงส์ ไม่ได้คุณธรรม ไม่ได้ในทุกสิ่ง ล้วนแต่เป็นของปลอมก็จะได้ของปลอมตลอด ในยามจิตแตกดับของพวกนี้ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรจิตเราได้ แต่ถ้าจิตเราถึงพร้อมโดยธรรมชาติ เป็นธรรมชาติของจิตไดยอัตโนมัติ เป็นไปตามธรรมชาติที่จิตนั้นถึงพร้อมอันนั้นเป็นกุศล เป็นบุญมหาศาลและสามารถนำติดตัวไปเกิดในชาติภพใหม่ที่ดีขึ้น แต่การแสแสร้างแกล้งทำนั้นตกหล่นอบาย ไม่สามารถนำไปบวกไปช่วยเหลือ ขอให้พวกเราพยายามฝึกจิตให้มีความละเอียดให้ถึงพร้อมในความเมตตากรุณา มีมุทิตา อุเบกขา ให้ได้ถึงพร้อมที่สุด เราจึงเป็นนักภาวนาที่ดี สมควรแก่การเสียเวลาที่เรามากระทำ แต่วันเวลาอันน้อยนิดในไม่กี่วันนี้ไม่สามารถจรรโลงหรือช่วยเหลือเราได้ถ้าเราไม่กระทำอย่างต่อเนื่องในทุกๆ วัน ภูมิธรรมต่างๆ จะเกิดได้จากความวิริยะ ขันติ และความอดทน เป้าหมายต่างๆ จึงจะสำเร็จลุล่วงไปได้ ด้วยขันติและวิริยะและสัจจะอธิฐาน เพราะฉะนั้นขอให้เราทุกคนถึงพร้อมปฏิบัติต่อเนื่องให้ได้ยาวนานที่สุดและเราจะเป็นผู้สำเร็จคนหนึ่งในโลก
ป.จิตธรรม
15-5-56
.................................................
[/B]