แผ่น 7 วันที่ 27/8/55

คนดีที่ถึงพร้อม ด้วยกาย วาจา ใจ โดยป.จิตธรรม
คนดีไม่ได้อยู่ที่รูปร่างหน้าตา ไม่ได้อยู่ที่การพูดวาจาไพเราะ แต่คนดีนั้นต้องดีพร้อมด้วยใจที่มีคุณค่ามีความสุข การที่เราจะฝึกตนให้เป็นคนดีนั้นจึงมีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตของเรา หน้าฉากเราเป็นคนดีแต่หลังฉากเรากลับกลายเป็นคนที่ไม่ดี หรือเราเป็นคนดีแต่ก็ไม่สามารถคงความดีที่มีอยู่ ฉะนั้นจึงเป็นดีที่ไม่เต็มสมบูรณ์ทั้งหมดคนจะดีได้ด้วยใจที่มีความปรารถนาดีต่อสิ่งต่างๆ ในรอบข้างของเรา มีจิตใจที่มีเมตตาโอบอ้อมอารีย์ ช่วยเหลือผู้อื่น สนใจความทุกข์ร้อนของหมู่คนรอบข้างหรือต่อบุคคลอื่น สามารถรักษาทรงไว้ซึ่งการกระทำในสิ่งที่เป็นคุณงามความดีได้ทุกเมื่อและได้ตลอดเวลาโดยไม่มีวันละทิ้ง อันนี้จะเป็นดีแท้และเป็นคนดีที่สมบูรณ์ได้ การกระทำต่างๆ ไม่ว่ากาย วาจา หรือใจ ถ้าขาดสติขาดความยั้งคิด พูดจาเลอะเลือนกระทำสิ่งใดก็สะพร่าเสียหายย่อมบังเกิดจากจิตใจที่ยังไม่ได้รับการฝึกอบรม
ฉะนั้นทุกวันนี้คนที่กระทำความดีนั้นมีมาก แต่ก็ไม่สามารถที่จะคงความดีนั้นไว้ได้ตลอด บางคนก็ตัดพ้อว่าทำดีไม่ได้ดีทำชั่วนั้นได้ลาภมากหลาย คนทำชั่วนั้นกลับได้ดี แต่จริงๆ แล้วบางครั้งคนชั่วยิ่งทำยิ่งมีผล อันนั้นเพราะว่าระหว่างกรรมใหม่และกรรมเก่าสิ่งที่หนุนส่งเขามาในอดีตที่เราไม่อาจสามารถรับรู้ได้ว่าเขาทำสิ่งใดมา ในชีวิตชาตินี้กระทำแต่สิ่งที่ไม่ดีแต่กลับได้ดิบได้ดีในทุกด้าน อันนี้สันนิฐานได้ว่าเพราะว่าบุญเก่าที่เขาเคยกระทำมาในอดีตส่งผลในชาตินี้ที่เขายังมีบุญกุศลที่หนุนนำอยู่
ส่วนคนที่ทำความดีมากๆ นั้นบางครั้งในอดีตอาจเคยทำสิ่งที่ไม่ดีมามากๆ ซึ่งก็เป็นผลที่ทำให้ชีวิตนั้นตกต่ำอยู่ตลอดเวลาถึงแม้จะสร้างคุณงามความดีไว้มาก ในทางกลับกันเมื่อจิตวิญญาณที่อยู่ในชาตินี้ตายดับจากโลกนี้ไป สิ่งต่างๆ ที่เขาทำมาก็จะกลับกลาย คนที่ทำความดีมากๆจิตวิญญาณไม่ตกหล่นไม่ลงสู่อบาย ส่วนคนที่กระทำกรรมชั่วมากๆ ทำกรรมไม่ดีมากๆ ย้อนกลับลงไปสู่อบายแน่นอน เพราะว่าผลกรรมที่เขาก่อผลกรรมที่เขาสร้างมันก็จะติดอยู่ในจิตในใจของเขา การทำความดีต้องให้ทรงคุณค่าแห่งความดีนั้นให้คงอยู่ให้ได้ตลอด ให้เป็นวิถีจิตที่ทำโดยธรรมชาติของจิตของเรานั้นให้ถึงพร้อมจึงเป็นความดีที่แท้จริง และจะเป็นคนดีที่สมบูรณ์ได้ก็ด้วยสิ่งที่เรากระทำได้อย่างสม่ำเสมอ คนดีเป็นง่ายแต่ทรงไว้ยาก มีข้อยกเว้นอย่างเดียวคือถ้าเราปฏิบัติจนกระทั่งถึงความละเอียดของวิถีแห่งจิตนั้นย่อมมีหิริโอตัปปะหรือความละอายต่อบาปได้ตลอดเวลา
ฉะนั้นการสร้างกุศล การบำเพ็ญเพียร การสร้างทาน การรักษาศีล จึงเป็นปากทางเป็นต้นทางของบุญกุศลทั้งหมด ถ้าเราอยากเกิดมาดีอยากเกิดมาแล้วมีอาการครบ 32 เกิดมาแล้วมีหน้าตาผุดผ่องสดใสเราย่อมจะต้องกระทำให้ถึงพร้อมด้วยความดีทั้งปวง สิ่งใดที่เห็นสิ่งใดที่เรากระทำต้องพยายามทำให้ถึงที่สุด ซึ่งมาจากแหล่งของจิตของใจของเราให้เต็มสมบูรณ์ได้ที่สุดเท่านั้น
การปฏิบัติเพื่อขัดเกลาจิตเพื่อให้บรรลุล่วงซึ่งกรรมกิเลสทั้งหลายให้หลุดพ้นจากจิตใจของเราให้ได้มากที่สุด จึงจะทำให้เรานั้นสามารถพัฒนาตัวเองพัฒนาสิ่งที่เรามีอยู่ให้มันดีและสมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้น ฉะนั้นวันเวลาที่ผ่านวันเวลาที่ยังไม่มาถึง จึงเป็นเวลาที่สำคัญที่สุดที่เราจะมาเจียระไนตัวเราขุดรากถอนโคนกิเลส ความหยาบ อารมณ์ ความร้อนรุ่มทั้งหลายให้หมดไป ถ้าเราสามารถหลุดพ้นจากบัวเหล่าที่หนึ่งคือบัวในโคลนตม เราสามารถหลุดพ้นผ่านพ้นบัวในกลางน้ำจนกระทั่งถึงบัวที่ปริ่มน้ำ สุดท้ายก็เป็นบัวพ้นน้ำได้ในที่สุด เพราะพุทธองค์นั้นตรัสสอนโลกเปรียบคนเหมือนบัวสี่เหล่าฉะนั้นเราต้องพยายามถึงบัวที่พ้นน้ำให้ได้ ตอนนี้เราอยู่ในท่ามกลางเราไมถึงปริ่มน้ำ แต่ถ้าเราพยายามปฏิบัติให้ถึงพร้อมความเคยชิน เรียนรู้ สะสม สดับตรับฟังและนำมาปฏิบัติ วันหนึ่งเราจะถึงบัวที่ปริ่มน้ำ และก็จะพ้นน้ำได้ในที่สุด
วันที่บัวปริ่มน้ำเป็นวันที่เรามีความรู้สึก มีสติ มีความสุขที่เต็มพร้อมทั้งจิตทั้งใจทั้งกาย และรวมเป็นหนึ่งเดียว สุขนั้นหาที่ใดในโลกไม่มี แต่สุขนี้ไม่สามารถที่จะไปติดได้เพราะถ้าเราติดสุขเราก็จะไม่มีความก้าวหน้าในการพัฒนาของการปฏิบัติไปได้ ถ้าเราละทิ้งเมื่อไหร่ใจเราก็จะเป็นอิสระ เมื่อใจเป็นอิสระการสร้างบุญต่างๆ ก็ย่อมพัฒนาขึ้นตามลำดับ ตามความสามารถ ตามความวิริยะและความพยายามของเรา เมื่อจิตเป็นอิสระจิตนั้นก็ไม่มีสิ่งใดที่จะมาควบคุม คำว่า “บรรลุธรรม” นั้นก็ใกล้เข้ามาเต็มที
ขั้นตอนของภูมิธรรมต่างๆ มีขั้นมีตอนเป็นลำดับ ไม่สามารถที่จะเดินอ้อม เดินย้อนหรือถอยหลังหรือเดินหน้าข้ามขั้นตอนไปได้ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติจึงมีขั้นตอน 1 3 2 3 4 5 เป็นลำดับชั้น ไม่ใช่ 1 ไป 5 ไม่มี 1 ไป 10 ไม่มี การเห็นจะต้องเห็นด้วยจิตและเห็นด้วยวิถีความละเอียดของจิตเท่านั้น ถ้าเราลัดขั้นตอนไปใช้ความนึกคิดเข้าปรุงแต่งหล่อหลอมย้อมจิตย้อมใจว่าเห็น หลงทางไปไหนไม่ได้
การปฏิบัติขั้นพื้นฐานนับ 1 2 3 4 5 จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการปฏิบัติภาวนาของเรา จะทำให้เรามีความสำเร็จเต็มภูมิไม่ผิดเพี้ยน เมื่อขั้นภูมิต่างๆ ของเราสูงขึ้นๆ ความเป็นคนดีของเรานั้นก็ยิ่งเต็มขั้นๆ เมื่อเราผ่านพ้นเข้าถึงเป็นหนึ่งเดียว เราก็จะเข้าถึงความดีที่สูงสุดของโลกี หรือโลกียะธรรมในขั้นต้น ถ้าเราเข้าถึงโลกุตรธรรม ความดีนั้นจะแผ่ขยายแผ่ซ่านไปไกล ทุกอณูของการดำเนินชีวิตจะเป็นไปด้วยความถูกต้อง ไม่มีวันตกหล่นสู่อบายได้อีก จะปิดอบายโดยสิ้นเชิง
ในขั้นภูมิของโลกุตรธรรมนั้นการเกิดสั้นลง ไม่เกิน 7 ชาติหรือ 700 ปีเราก็จะหลุดพ้นจากการเกิดแน่นอน แต่ถ้าเราอยู่ในขั้นของโลกียะโอกาสที่จะหล่นยังมีสูง ถ้าเราพลั้งพลาดพลั้งเผลอหล่นไปเมื่อไหร่เราจะไม่สามารถเดินแนวทางกลับมาของที่เป็นเส้นทางเดิมได้ สิ่งที่เราได้จากคุณธรรมขั้นสูงนั้นมันก็จะตกหล่นและหายไปที่สุด
ฉะนั้นห่วงเวลาที่สำคัญที่สุดคือการรักษาและทรงไว้ซึ่งภูมิธรรมที่เราได้มาให้ได้มากที่สุด ถ้าเราละทิ้งหล่นไปเมื่อไหร่แล้วไม่สามารถกลับคืนได้เลย เพราะอะไร เพราะสิ่งที่เราได้ปฏิบัติมาเป็นขั้นภูมิที่เรารู้มานั้น มันจะหลอกหลอนใจเราไดยตลอด เพราะว่าถ้าในรอบสองนี้มันจะเหมือนกับท่องอ่านหรือลักจำหนังสือมาเหมือนกัน สิ่งใดที่เราเคยผ่านในห้วงของสมาธิ ถ้าหลุดหรือหล่นเมื่อไหร่ไม่มีวันหวนกลับ ขั้นภูมิต่างๆ ที่เราเรียนรู้ ที่เราฝึกมา ที่เราผ่านพ้นจึงต้องรักษาให้ดีอย่าให้มันตกหล่น ถ้าจิตตกสู่ความดำมืดเมื่อไหร่จะกลับมาสว่างอีกได้ยากเย็นแสนเข็ญ ยกเว้นต้องหาแนวทางใหม่เพื่อเดินให้ถึงที่เก่า เส้นทางเดิมนั้นเดินไม่ได้ ถึงได้สอนว่าการอ่านหนังสือนั้นเป็นตัวลักจำไม่สมควรเอามาใช้ การอ่านหนังสือก็เหมือนการเดินทางของเรา การเดินทางแห่งวิถีแห่งจิตของเราในเชิงปฏิบัติ ถ้าเราประสบผลสำเร็จในครั้งแรกต้องพยายามทรงไว้ให้ได้มากที่สุด ทรงไว้อย่าให้มันตกหล่นเพราะว่าจะไม่มีครั้งที่สองอีก
การเข้าถึงจิตแห่งกุศลจิตต้องพยายามยึดแนวทางของคำว่าเมตตาให้มาก มีความเมตตา ขั้นแรกต่อคนรอบข้าง อันที่สองต่อบุคคลภายนอก อันที่สามต่อสรรพสัตว์ ทั้งหลาย เมื่อความเมตตาเต็มภูมิ ความกรุณาที่จะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ย่อมตามมา ถ้าเราสามารถทรงและรักษาไว้ได้ตลอดเวลา ด้วยจิตที่เป็นธรรมชาติเราย่อมเป็นคนดีที่สมบูรณ์ สิ่งใดก็แล้วแต่ที่เป็นภัยต่อการปฏิบัติของเราต้องพยายามหลีกเร้นหลีกหนีให้ได้ไกลที่สุด ไม่ว่าคำพูด ความนึกคิด และการกระทำ ภัยร้ายแรงของนักปฏิบัติประกอบด้วยกาย วาจา ใจ ความนึกคิดที่ปรุงแต่ง ถือเป็นภัยร้ายแรงที่จะสกัดขัดขวางที่จะไม่ให้การเจริญสมาธิของเรานั้นก้าวขึ้นไปสู่ในที่สูงสิ่งใดที่คิดว่าไม่สมควรก็ต้องพยายามหยุดและตัดตอนให้ได้เร็วที่สุดเราจึงจะเป็นนักปฏิบัติที่ดี ไม่ว่าวจีกรรม มโนกรรม หรือกายกรรม การกระทำแม้เพียงน้อยนิดก็เป็นกรรม คำพูดพูดแล้วก็เป็นกรรม ความนึกคิดแค่นึกก็เป็นกรรม เพราะฉะนั้นนักปฏิบัติที่ดีจะต้องสำรวมซึ่งกาย วาจา ใจ ให้ได้มากที่สุด พูดให้ได้น้อยที่สุด คิดให้น้อยที่สุด กระทำให้น้อยที่สุด พยายามวางกายใจของเราให้สงบให้ได้มากที่สุด
พื้นเพของคนเราเกิดมานั้นย่อมหยาบมาโดยกำเนิด มาสู่ในสภาวะแวดล้อมที่หยาบก็ยิ่งหยาบขึ้น มาสู่ในสกุลที่มีธรรมเป็นเครื่องชูใจ เป็นผู้นำใจ บุคคลเหล่านั้นย่อมเป็นบุคคลที่ดีในสภาวะที่ดี ฉะนั้นการเกิดของเราแต่ละชาติแต่ละภพนั้นเป็นตามวิถีกรรม แหล่งกำเนิดที่เรากำเนิดก็อยู่ที่วิถีของกรรม แต่ไม่ใช่ว่าแหล่งกำเนิดไม่สามารถที่จะบังเกิดปุถุชนที่เป็นเลิศได้มิใช่อย่างนั้น บางครั้งคนเราเกิดมาจากกระแสกรรมเพียงส่วนหนึ่งหรือส่วนน้อยนิดซึ่งดลบัลดาลให้เกิดในสถานที่ที่ไม่ดี แต่ก็สามารถพัฒนาตัวเองจนหลุดพ้นจากสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ มากลายเป็นคนดีเป็นบุคคลที่สูงส่งในสังคมนี้ ตราบเช่นบุคคลที่เกิดในสถานะที่ดี แต่กลับไม่สามารถพัฒนาในสิ่งที่ดีได้ กลายเป็นตกต่ำอย่างร้ายแรงก็เรียกว่าสว่างมาแต่มืดไป อันแรกคือมืดมาแต่สว่างไป มันจึงเป็นเหตุและเป็นสิ่งที่แตกต่างที่เราได้เห็นในหลายๆ เรื่องที่เห็นในหนังสือพิมพ์ก็มี ในโทรทัศน์ก็มี บางคนผู้ดีแต่มีปัญหาร้อยแปด บางคนยากจนข้นแค้นแต่กลับมีความสุขอย่างมหาศาล เพราะการมีเงินมีทองไม่ใช่จะซื้อหาความสุขได้ทุกเรื่อง ชื่อเสียงเกียรติยศ คุณงามความดีอยู่ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มิได้อยู่ที่ทรัพย์สินเงินทองมากมาย
คนดีมิได้อยู่ที่มีทรัพย์ มิได้อยู่ที่ทรัพย์สิน มิได้อยู่ที่มีเกียรติ แต่คนดีในที่นี้หมายถึงผู้ที่ประกอบแต่กรรมดี สร้างคุณงามความดีอยู่เป็นนิจ กระทำทุกครั้งก็เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนร่วมโลกอันนี้แหละจึงเป็นดีแท้ มิใช่มีทรัพย์มีหน้ามีตามีเกียรติในสังคมแล้วคือคนดี อาจจะเป็นผู้ที่ไม่ดีสุดๆ ก็ได้ หรือว่าเป็นผู้ที่มีความดีกึ่งๆ กลางๆ ก็ได้ แต่ก็ไม่ใช่คนดี
ฉะนั้นความดีคนดีนั้นเกิดจากจิตเกิดจากใจเท่านั้น ถึงจะเป็นบุคคลที่มีความดีเป็นคนดีที่สมบูรณ์ เป็นคนที่ประเสริฐ เพราะฉะนั้นรากฐานที่เรามาแต่ละคนไม่ทัดเทียมกัน แต่แนวปฏิบัตินั้นเราสามารถกระทำได้ทั้ดเทียม สามารถไปในข้างหน้าได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าฐานะต่างกัน การบรรลุหรือการรู้ธรรมนั้นอาจจะไม่เท่าเทียมกัน อาจจะช้าบ้างเร็วบ้างแล้วแต่สภาวะแล้วแต่กรรมที่ปรุงแต่ง แต่ก็มีโอกาสที่จะสำเร็จได้ทุกคนถ้าเราไมท้อเราไม่ถอย ถ้าเรามีความเพียรมีความพยายาม โอกาสแห่งความสำเร็จถึงช้าก็ยังไปได้ด้วยดี อย่าคิดว่าช้าแล้วจะไม่ได้ความ ถึงช้าก็มีวันสำเร็จได้ถ้าเราไม่ละทิ้งโอกาสเสียก่อนในแนวทางที่เรากระทำสิ่งที่เราทำอยู่นั้นรักษาคงสภาพไว้ให้ได้
“ธรรม” เป็นเครื่องจรรโลงเป็นเครื่องอุ้มชูจิตใจของเราให้ชุ่มชื่น จิตใจของเรานั้นให้เบิกบาน กระแสของโลกในปัจจุบันมีทุกข์มากกว่าสุข ฉะนั้นพยายามมองโลกให้น้อยลงให้น้อยที่สุด แล้วเราจะเป็นผู้ที่มีสุขมากขึ้น สิ่งต่างๆ ที่ย้อมจิตย้อมใจของเราทุกวันนี้เป็นกิเลสที่จะทำให้จิตใจของเราเสื่อมลงทุกวัน ถ้าเราไม่เหลียวหลังกลับมาดู หรือไม่มาคิดมาตรองให้ถ่องแท้ เราก็จะตกอยู่ในวังวนแห่งความทุกข์ตลอด เพราะความอยากได้อยากมีเป็นตัวทุกข์ทั้งสิ้น ถ้าเราสามารถวางมีระดับความพอดีของเราความทุกข์ของเรานั้นก็ไม่มี ถึงว่าเราไม่มีแต่เราก็ดีกว่าคนอื่น มองของที่ต่ำอย่ามองของที่สูงแล้วชีวิตเราจะมีความสุข การปฏิบัติของเรานั้นปฏิบัติให้สม่ำเสมอ การปฏิบัติเป็นบุญกุศลที่นำมาเสริมสร้างชะตาชีวิตของเรานั้นให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นตลอด ถ้าจิตเรามีความสุข จิตเรามีความเบิกบาน จิตเรามีความปล่อยวาง การกระทำหน้าที่ต่างๆ ของเราทั้งหลายย่อมสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีอุปสรรคต่างๆ ก็จะไม่มี ความทุกข์ทั้งหลายก็จะคลายลง
จิตเป็นสุขมิได้อยู่ที่เงินทองแต่อยู่ที่เราสามารถวางได้ขนาดไหน จิตที่เป็นทุกข์นั้นเพราะไปยึดติดในทุกสิ่ง ทุกสิ่งที่เคยมีทุกสิ่งที่เคยได้ แต่ถ้าเราสามารถวางได้ทั้งหมดทุกข์สุขนั้นเท่ากัน ปล่อยวางทุกข์ก็ได้สุข ฉะนั้นทุกข์และสุขเป็นของคู่กัน อยู่ที่ว่าเราจะจัดวางอย่างไร เราจะอยู่กับความทุกข์หรือเราจะอยู่กับความสุขก็อยู่ที่เราเลือกสรร การปฏิบัติเป็นหนทางเดียวที่จะพัฒนาภาวะจิตภาวะใจของเรา ทั้งกายทั้งใจ ความนึกคิดและวาจาทั้งหลายของเรา จะได้รับการพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีงามในอนาคต เรากระทำใน 1 วัน 2 วัน 3 วัน ถือว่าได้อานิสงส์แห่งบุญกุศลที่เราเพียรสะสม ถึงแม้จะเป็นเวลาน้อยนิด แต่ก็ได้กุศลของบุญ อันนี้เป็นบุญโดยแท้ มิได้เป็นสิ่งที่หาได้ด้วยเงินทอง แต่เป็นสิ่งที่ได้มาจากกำลังจิตกำลังใจของเรา ในการมุ่งหามุ่งเน้นในการปฏิบัติภาวนาของเรา ฉะนั้นไม่ต้องคิดหรืออาจจะต้องเสียดายเวลานั้นไม่ใช่ สิ่งที่เรากระทำเราย่อมได้ ใครทำใครได้ใครทำใครรับ ไม่สามารถแบ่งปันยัดเยียดให้ใครได้ ปลูกข้าวได้ข้าวปลูกอ้อยได้อ้อย ไม่มีวันที่จะปลูกอ้อยได้ข้าว กินข้าวก็อิ่มท้องไม่กินก็หิวโหยเป็นสัจธรรมความเป็นจริงที่เป็นอยู่ ฉะนั้นถ้าเราปฏิบัติอย่างไรก็ย่อมได้ สิ่งต่างๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตของเรานั้น ล้วนแล้วแต่ละเป็นสิ่งที่ดีดีในอนาคต ตอนนี้เราอาจจะลำบาก วันนี้เราอาจจะทุกข์ร้อน แต่วันหนึ่งถ้าเราปฏิบัติไปเรื่อยๆ สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันจะเจือจางไปในที่สุด อนาคตของบุตรหลานของเราจะดีขึ้นไปโดยลำดับขอให้ตั้งใจจริงเท่านั้นจิตใจตั้งให้มั่นคง การกระทำให้กระแวดระวังอย่าพลั้งพลาดอย่าพลั้งเผลอไปก่อกรรม เพราะถ้าเราปฏิบัติซึ่งความดีมากๆ ทำได้ตลอดวันเวลา ชีวิตเรามีแต่สิ่งที่ดีเข้าหา สิ่งที่เป็นอัปมงคลนั้นย่อมน้อยลงในที่สุด ขอให้ตั้งจิตตั้งใจให้ดี
ป.จิตธรรม
28-7-56
.....................................................