สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) มรณภาพแล้ว



สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) (นามเดิม: เกี่ยว โชคชัย) เป็นพระสงฆ์มหานิกาย และเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เคยเป็นผู้รักษาการแทนสมเด็จพระสังฆราช และปัจจุบันเป็นประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นพระเถระที่มีอาวุโสโดยสมณศักดิ์สูงสุดของมหาเถรสมาคม ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดฯ สถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระราชาคณะ ชั้นสุพรรณบัฏ เมื่อปี พ.ศ. 2533 มีนามตามจารึกในสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ ภาวนากิจวิธานปรีชา ญาโณทยวรางกูร วิบูลวิสุทธิจริยา อรัญญิกมหาปริณายก ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี

สมเด็จพระพุฒาจารย์ เกิดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2471 ณ บ้านเฉวง ตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดภูเขาทอง อำเภอเกาะสมุย ได้อุปสมบทที่วัดสระเกศ เมื่อปี พ.ศ. 2492

สมเด็จพระพุฒาจารย์ ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 9 และเป็นเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เมื่อปี พ.ศ. 2508 เมื่อปี พ.ศ. 2516 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานแต่งตั้งเป็น รองสมเด็จพระราชาคณะ ที่ พระพรหมคุณาภรณ์ และเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม เมื่อปี พ.ศ. 2533 สมเด็จพระพุฒาจารย์ ได้เลื่อนเป็น สมเด็จพระราชาคณะ ที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ในปี พ.ศ. 2540 ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการฝ่ายเผยแผ่พระพุทธศาสนามหา เถรสมาคม

ที่มา : วิกิพีเดีย

*******************************************

หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านกล่าวสอนว่า

" ขอให้ระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า พระพุทธองค์ผู้ทรงบริสุทธิ์ สูงสุดประเสริฐสุด ทรงชี้ทางแห่งความสุขให้ เมื่อสามารถน้อมใจระลึกอย่างนี้ จิตใจเข้าถึงพระพุทธเจ้า ก็จะเป็นบุญกุศลอย่างยิ่งอีก ที่จะอุ้มชูประคับประคองกายและใจที่มีอยู่เท่านี้ ให้ไปในทางดีเรื่อยไป จนกระทั่งบรรลุมรรคผลนิพพาน เป็นพระอรหันต์ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดกันอีกต่อไป หมดทุกข์โดยประการทั้งสิ้น

แต่ถ้ายังไม่หมดทุกข์โดยประการทั้งสิ้น ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ เช่นเกิดอยู่ในชาตินี้ บุญกุศลอย่างที่พยายามทำอยู่ในขณะนี้ ก็จะอุ้มชูประคับประคองไม่ให้ตกต่ำจนเกินไป ไม่เป็นทุกข์จนเกินไป พอมีชีวิตอยู่ได้ แต่จะมีชีวิตยาวนานเท่าไหร่ ไม่มีใครสามารถทราบได้ทั้งนั้น จะมีอายุน้อย หรืออายุมากก็ตาม พระพุทธองค์ตรัสบอกไว้ เพื่อจะได้ไม่ประมาท

อย่านึกว่ายังอยู่อีกนาน รีบเร่งสร้างความดี สร้างบุญสร้างกุศล ให้สูงยิ่งขึ้นไป เพราะชีวิตนี้ต้องถึงความสิ้นสุดแน่นอน แต่ถ้าสิ้นความสุดด้วยมีบุญกุศลนำอยู่อย่างในขณะนี้ ก็จะไม่ไปเกิดในที่ไม่ดี เป็น สัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน อย่างน้อยก็มาเกิดเป็นมนุษย์อีก

อย่างที่เกิดอยู่ในชาตินี้ และเป็นมนุษย์ที่ดี จะได้สร้างความดีสร้างบุญกุศล ให้สูงยิ่งขึ้นไป ไปสู่ความพ้นทุกข์โดยประการทั้งสิ้นให้จงได้ จิตใจก็จะสูงขึ้นไป เรื่อยๆไม่วกวนกลับมาทางต่ำ จนเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ สูงขึ้นไปจนกระทั่งมองเห็นไปเอง เข้าใจเองว่าสิ่งนี้เป็นบุญเป็นกุศล ต้องรีบทำรีบพูดรีบคิด อย่างที่ทำอยู่ในขณะนี้ พยายามทำให้เป็นบุญ คิดให้เป็นบุญ พูดให้เป็นบุญ..."

หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านเมตตาสอน(ต่อ)อีกว่า"...ให้บุญกุศลนำความรู้สึกนึกคิดอยู่เสมอ จิตใจจะได้สงบ ปลอดโปร่ง แจ่มใส ได้ง่าย ที่จัดเป็นเหตุให้มองเห็นความเป็นจริงของชีวิตที่เหมือนกันทุกคน คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา พระพุทธองค์ตรัสบอกไว้ เพื่อจะได้เข้าใจ สามอย่างนี้ และอยู่กับสามอย่างนี้ ด้วยความเข้าใจชัดเจน

เมื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง ได้ปรากฏขึ้นแก่ชีวิตของตน ก็ไม่ตกใจ ไม่สะทกสะท้าน ไม่หวั่นไหว กลับมีจิตใจเข้มแข็ง ปลอดโปร่งสูงยิ่งขึ้นไป จนกระทั่งมองเห็นกว้างไกลออกไป ถึงความดีต่าง ๆ มองเห็นรอบคอบ รอบด้าน อย่างละเอียดมีเหตุผล และเพราะจิตมีบุญกุศล ก็จะมองเห็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด ซึ่งปกตินั้น ไม่ค่อยได้มองเห็น แม้แต่กายของตนที่นั่งอยู่นี้ แก้วแหวนเงินทองเพชรนิลจินดา จะมีมากหรือน้อยก็ตาม มองเห็นแล้วเพราะจิตเป็นกุศล ก็จะเข้าใจถูกต้อง ว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นของดี แม้แต่กายนี้ก็เป็นกายดี จึงได้มาด้วยบุญ

เมื่อกำหนดได้ว่า ได้มาด้วยบุญ จิตใจก็จะอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด สามารถนำสิ่งเหล่านี้ แม้แต่กายนี้ ไปสร้างความดีสร้างบุญสร้างกุศล ให้สูงยิ่งขึ้นไป ซึ่งไม่ได้หมายแต่เฉพาะการให้ทาน การรักษาศีล แม้แต่การระลึกถึงความดีของบิดามารดาเป็นต้น แม้แต่เพียงเล็กน้อยก็เป็นบุญกุศล มารดาบิดาอนุเคราะห์บุตรธิดาของตนก็กำหนดได้ว่านี้แหล่ะ เป็นบุญกุศลแล้ว บุญกุศลปรากฏเกิดอยู่ในจิตของตนเพิ่มขึ้นๆ จิตใจก็จะสงบปลอดโปร่งแจ่มใสมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งบรรลุมรรคผลนิพพานเป็นพระอรหันต์จนได้

ไม่ต้องสงสัยโดยประการใด ๆ ทั้งสิ้น จะได้หมดทุกข์กันโดยประการทั้งสิ้น ไม่ต้องทุกข์แล้วทุกข์อีก จึงควรพิจารณาไว้เสมอ จิตใจจะได้พอใจยินดี ในความดีบุญกุศล เกิดห่างออกมาจากสิ่งที่ไม่ดี ที่เป็นบาปเป็นอกุศล แล้วไม่ต้องรอให้ผู้อื่นสอน สอนตนเอง ให้ตนเองได้เข้าใจว่าอย่างนี้แหล่ะ เป็นบุญเป็นกุศลแล้ว โดยเฉพาะที่ทำอยู่ในขณะนี้แหล่ะ เป็นกุศลแล้ว แล้วก็สอนตนเองด้วยความเข้าใจและมั่นใจในตนเองว่าเป็นบุญจริง ๆ นะ"

ที่มา : โอวาทของหลวงพ่อสมเด็จฯ กล่าวสอนหลังสวดมนต์ทำวัตร (นำมาถ่ายทอดโดยพระอุเบกขา)

แหล่งข่าว
http://board.palungjit.org