๑. ให้มองเห็นดั่ง บุพการี ญาติ มิตร บุตร บุคคลอันเป็นที่รักที่หวงแหน
- คือ..ทำไว้ในใจโดย พรหมวิหาร ๔ ทาน เข้าถึงศีล ได้แก่
ก. เมตตา ให้ทำไว้ในใจความรู้สึกเหล่าใดอันเป็นกุศลดีงามที่มีต่อเขาประดุจบุคคลอันเป็นที่รัก ที่เคารพ ที่ปารถนาดี มีความเอ็นดู ปรานี ของเรา (กุศล แปลว่า ความฉลาด) มีกุศลมากก็ฉลาดมาก ฉลาดในการปล่อยวางและปลงใจ มีความน้อมไปในการสละคืนอกุศลธรรม มีอกุศลวิตกเป็นต้น น้อมไปในการสละให้ ให้เกียรติ เคารพ ให้กุศลจิต กุศลกรรม กุศลธรรมอันงาม แก่เขา ไม่ตั้งอยู่ในอกุศลธรรมอันเบียดเบียนเขาแม้ กายก็ดี วาจาก็ดี ใจก็ดี ด้วยความเอ็นดูปรานีเสมอด้วยตน
[ตั้งในความสงบ อิ่มเอม สุข ด้วยความเอ็นดู ปรานี ปารถนาดี แทรกไปทั่วทุกอณูธาตุประดุจอากาศที่มีแทรกอยู่ในทุกธาตุไม่เลือกที่รักมักที่ชัง อยู่ในความไม่ยินดี ยินร้ายต่อสิ่งใด บุคคลใดทั้งสิ้น (หากถึงขณิกสมาธิก็ได้กุศลจิตและได้ศีลบริสุทธิ์ ขณิกสมาธิ ขณิกปิตินี้แหละนำมาซึ่งศีลอันเป็นกุศล, หากถึงอุปจาระสมาธิได้เมตตาที่ตั้งมั่นอันสงบใจจากกิเลสนิวรณ์ อันมีเมตตาเป็นฐาน ไม่มีทั้งที่รัก ที่ชัง มีแต่ความเอ็นดูปรานี ปารถนาดีแผ่ไปให้ทั่ว ไม่ลำเอียงเลือกที่รักมักที่ชัง มีความเสมอกันหมด, หากถึงอัปปนาสมาธิได้เมตตาฌาณสละคืนอกุศลทั้งปวง ตั้งอยู่ในความปารถนาดีไปทั่ว ๓ โลก ไม่ลำเอียง ไม่มีรัก ไม่มีเกลียด มีสุภวิโมกข์เป็นผล)]
ข. กรุณา ให้ทำไว้ในใจถึงความมีจิตสงเคราะห์ ตั้งมั่นในใจส่าเราจักเป็นผู้อนุเคราะห์แบ่งปัน เอื้อเฟื้อต่อสิ่งทั้งปวง น้อมไปในกุศลกรรมทาง กาย วาจา ใจ อันเป็นไปเพื่อความอันสละให้
[ตั้งจิตไว้ไม่ยึดด้วยกาย ละความยินดีด้วยกายแผ่ไปประดุจอากาศที่ว่างอันกว้างไม่มีสิ้นสุดแผ่คลุมไปไม่มีประมาณประดุจดั่งอากาศที่ว่างกว้างไปทั่วไม่มีประมาณนั้น หรืออุบายที่หมายเอาว่าอากาศเป็นที่ว่างซึ่งมีอยู่ในทุกที่ มีแทรกในทุกธาตุ มีที่ว่างอยู่ทั่วเป็นอันมากไม่มีประมาณ หากเทียบดูแล้วอากาศธาตุกับธาตุทั้งปวงทั่วทั้งโลกทั้งจักวาลนี้ จะมีอากาศเป็นที่สุด เป็นที่ว่างกว้างไปมีเป็นอันมากหาประมาณไม่ได้ เอาจิตจับที่ความว่างประดุจอากาศธาตุอันเป็นที่ว่างมีมากไม่มีประมาณนั้น(หากถึงขณิกสมาธิได้กุศลทานบริสุทธิ์, หากถึงอุปจาระสมาธิได้จิตที่สงเคราะห์สละให้แผ่ไปไม่มีประมาณปราศจากนิวรณ์น้อมไปในการไม่ตั้งอยู่จำเพาะกาย, หากได้อัปปนาสมาธิทำให้จิตสงัดจากกามถึงความไม่ตั้งอยู่ด้วยกาย ไม่ยินดีด้วยความสำคัญมั่นหมายของใจไว้ที่กาย เข้าในอรูปฌาณ อันมีอากาศเป็นที่ตั้งได้)]
ค. มุทิตา ให้ทำไว้ในใจถึงความยินดี เป็นสุขไปกับเขาเมื่อเขาพ้นจากทุกข์ประสบสุข คงไว้ซึ่งกุศลดีงามและสิ่งอันเป็นที่รักที่มีค่าแก่ของเขา เหมือนบุลคลที่เรารักให้ความสำคัญใจคงไว้ซึ่งความสุขของเขาฉันนั้น หรืออุบายว่าความอิ่มเอมเป็นสุขนี้มีอยู่ที่ใจ จะสุขได้ก็ด้วยใจนี้แหละ แลเวทำใจไว้ตั้งอยู่ที่ใจ จับสุขที่ใจนั้น [ทำไว้ในใจตั้งมั่นจับอยู่ที่วิญญาณอันตั้งอยู่แต่ความอิ่มเอมสุขยินดีอันปราศจากอกุศลธรรมความอิสสาริษยาทั้งปวงต่อเขาทั้งหลาย (หากได้ขณิกสมาธิกขาดจากความอิสสาริษยาในขณะนั้นมีจิตอันยินดีประกอบไปด้วยสุขแห่งกุศล, หากได้อุปจาระสมาธิมีความอิ่มใจเป็นสุขด้วยกุศลปราศจากนิวรณ์ มีจิตน้อมจับจำเพาะจิตอันอิ่มเอมสุขแผ่ไปให้เขา(บ้างเกิดนิมิตเห็นจิตมีใจน้อมยึดที่จิตที่ผ่องใสนั้นเป็นอารมณ์), หากได้อัปปนาสมาธิ ย่อมเห็นว่าสุขนี้เกิดขึ้นที่ใจ จิตตั้งอยู่ที่ใจไม่เนื่องด้วยกาย ถึงวิญญานัญจายตนะ มีวิญญาณเป็นอารมณ์อันเป็นสุขที่มากไม่มีประมาณอยู่จับอยู่วิญญาณ)]
ง. อุเบกขา ให้ทำใจไว้ว่า เราตั้งอยู่ด้วยความกุศลอันปารถนาดี มีความทำในการสงเคราะห์ ยินดีที่เขาเป็นสุขแล้ว เขาจะทำอย่างไรต่อไปก็อยู่ที่กรรมของเขา เรามีกรรมเป็นของๆตน มีกรรมเป็นผล เป็นืี่ติดตามอาศัย ไม่ว่าเขาหรือเราจะสุขหรือทุกข์ต่างอยู่ที่กรรมในปัจจุบันและวิบากกรรมอันสะสมมา ติดข้องใจสิ่งไรๆไปก็ไม่เกิดประโยชน์สุขอันใดนอกจากทุกข์ หรืออุบายว่าจะสุขจะทุกข์ก็เนื่องอยู่ด้วยใจ รู้ ได้ด้วยวิญญาณ ความเนื่องอยู่ด้วยใจย่อมเป็นทุกข์ ตั้งมั่นในความสละคืนสังขารธรรมทั้งปวง(ขันธ์ ๕, ธาตุ ๖) วางจิตไว้ปลงจิตให้ไม่ยึดไม่จับเอาสิ่งใดอีก หรืออุบายว่าด้วยวิชาธาตุคืออากาศ(ความว่าง) มีมากในใจ ความไม่มีสุขไม่มีทุกข์ไม่มีความยินดียินร้ายคือความว่างที่มีอยู่ในใจ ตั้งมั่นว่าใจนี้ประดุจเป็นอากาศที่ว่างไม่มีความยินดียินร้ายแผ่ไปทั่วไม่มีประมาณ [ทำไว้ในใจตั้งอยู่ด้วยความไม่ยึดจับเอาสิ่งใดๆเลยทั้งสิ้น (หากได้ขณิกสมาธิ ย่อมได้ความสงบใจอันตั้งอยู่ด้วยกุศล มีวูบหรึ่งเกอดขึ้นด้วยขณิกปิติที่อิ่มใจด้วยความสงบนั้น มีความผ่องใสเบาๆ จิตจับที่ลมหายใจเอง ลมหายใจละเอียดขึ้นไม่สุขไม่ทุกข์อีก, หากได้อุปจาระสมาธิจะมีจิตอันปราศจากนิวรณ์ไม่ยึดจับเอาสิ่งใดทั้งสิ้น มีแต่ใจที่เสพย์ว่างอยู่ด้วยกุศลแผ่ไปทั่วไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นมักก็สักแต่รู้ไม่ยึดไม่เสพย์เกิดความเป็นผู้แลอยู่ได้ ไม่ยึดเอากายหรือสิ่งที่จิตรู้อีก, หากได้อัปปนาสมาธิเข้าถึงอากิญจัญญายตนะ ไม่มีกาย ไม่มีใจ มีแต่ความว่าง ความไม่ยึด ไม่ตั้งเอาสิ่งไรๆทั้งสิ้น]
๒. ปฏิกูลสัญญา หรืออาการทั้ง ๓๒ ประการ (ม้างกาย)
- คือ..ทำไว้ในใจโดย เริ่มจากเห็นเป็นปฏิกูลสัญญาของน่าเกลียดเน่าเหม็น จนม้างกายออกทีละชิ้นๆทีละอาการถอดออกมาเริ่มจาก ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ลอกออกมาจนไม่เหลือกระดูก จนไม่เห็นมีตัวตนบุคคลใดเราหรือเขาในนั้น ในนั้นไม่มีตัวตนบุคคลใดที่เป็นเราเป็นเขา ก็สักแต่ว่าอาการหนึ่งๆอวัยวะอันเน่าเหม็นทั้งปวงเกาะกุมกันขึ้นเป็นกลุ่มก้อนเท่านั้น เป็นแค่ก้อนธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศที่มีแทรกทั่วในกลุ่มธาตุที่เกาะกุมกันนั้น ไม่มีตัวตนบุคคลใดของใครทั้งสิ้น ไม่ใช่เขาไม่ใช่เรา ไม่มีเขาไม่มีเรา ไม่ใช่ของเขาไม่ใช่ของเรา สักแต่ว่าอวัยวะทั้ง ๓๒ ประการ อันเป็นธาตุ ๕ เหล่านั้นเกาะกุมกันเกิดขึ้น อาศัยวิญญาณะาตุเข้าไปครอง ให้ธาตุเหล่านั้นมีใจครองเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากธาตุ อันมีความเสื่อมเป็นธรรมดาไม่เที่ยงแท้ยั่งยืน ไม่มีตัวตนบุคลใดเป็นเราหรือเขาในนั้นทั้งสิ้น ควรไหมหนอจะติดใจปารถนาเอาในสิ่งที่ไม่ใช่เขาไม่ใช่เรา ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน ย่อมหาประโยชน์สุขใดๆไม่ได้นอกจากทุกข์ เป็นแต่ที่ประชุมทุกข์เท่านั้น
๓. อินทรีย์สังวรณ์ มีสติปัฏฐาน ๔ เป็นเบื้องหน้าตั้งอยู่ในความสำรวมระวังตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่กัยปัจจุบัน
- คือ..ทำไว้ในใจโดย ไม่คิดไม่ยึดไม่ถือเอาความเข้าไปมองด้วยสัญญาในส่วนเล็กส่วนน้อยคืออนุพยัญชนะที่ตนสำคัญใจอันเป็นไปในสมมติกิเลสทางกามเมถุนมาเป็นที่ตั้งแห่งใจ ไม่ตรึกนึกคิดเอากิเลสสมมติสืบต่อ
- เห็นก็สักแต่ว่าเห็น (เขาก็อยู่อย่างนั้นของเขามีอิริยาบถอยู่อย่างนั้นๆเท่านั้นแต่เรานี่ติดสมมติมาตรึกนึกคิดต่อจนเกิดความอยาก ให้มองออกไปว่าที่เราเห็นนี้หนอ มีสีอะไรอยู่บ้างในเบื่องหน้านี้เท่านั้น ธรรมชาติของตาก็ย่อมเห็นอยู่ในปัจจุบันในที่ใกล้ที่ไกลสีสันต่างๆเท่านั้น แต่อาศัยใจนี้เข้าไปยึดครองเอาสมมตอบัญญัติให้เห็นเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้อาศัยมโนวิญญาณนี้เข้ายึดปรุงแต่งสมมติกับสัญญาและสังขารตรึกนึกสมมติไปทั่วให้เห็นเกินเลยจากสิ่งที่เห็นในปัจจุบันที่มีสีนั้นๆเคล้าโครงนั้นๆอยู่ในลักษณะอาการนั้นๆเท่านั้น หรืออุบายว่าตั้งสติไว้แต่เบื้องหน้าโดยวิชาธาตุ ไฟมีมากในตาผัสสะเหล่าใดมีเกิดขึ้นเหมือนที่เราเคยรับรู้นั้นคือเป็นเหมือนไฟแลบแปล๊บเท่านั้น ดังนั้นให้ทำเหมือนไฟแลบแปล๊บเผารูปทางตาดับไปเสีย)
- ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน (ธรรมชาติของหูก็ย่อมได้ยินเสียง จริงๆแล้วมันก็เป็นเพียงเสียงทุ้มแหลมดังเบาเท่านั้น เป็นเสียงเกิดจากลมที่เปล่งออกมาผ่านช่องเสียงที่กว้าง แคบ ลึก สั้น ออกมาเป็นรูปเสียงที่เป็นไปในลักษณะต่างๆเท่านั้น เหมือนลมที่พัดช่องเขา ช่องว่างมีเสียงออกมาในลักษณะต่างๆเท่านั้นแต่เราไปสำคัญใจเอาว่ามันเป็นนั่นเป็นนี่คำนั้นคำนี้หมายความไปอย่างนั้นอย่างนี้)
- ได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น (ธรรมชาติของจมูกย่อมได้กลินเป็นธรรมดา รู้กลิ่นที่มีอาการนั้นๆก็สักแต่รู้ว่าได้รู้อาการนั้นๆทางจมูกเท่านั้น กลิ่นนี้เป็นเพียงสิ่งที่โชยมาตามลมเท่านั้น รับรู้ทางจมูกที่หายใจเข้าไปเท่านั้น สุดลมหายใจเข้าก็ไม่รู้กลิ่นแล้ว หายใจออกก็ไม่รู้กลิ่นแล้ว กลิ่นที่รัก ที่เกลียดก็สักแต่มีอยู่ด้วยลมเท่านั้น จะไปยึดเอาสิ่งใดหนอที่พัดไปพัดมาเท่านั้น ลมก็ไม่ได้มีความรักความชอบในกลิ่นไรๆทั้งสิ้น ทำใจประดุจลมก็สักแต่ว่าลมเท่านั้น ไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งใดๆ หรืออุบายว่าตั้งสติไว้แต่เบื้องหน้าโดยวิชาธาตุ ดินมีมากในจมูกทำให้ประดุจดั่งดินที่จมูกก็จักไม่รู้กลิ่นจักละกลิ่นที่ชอบใจและไม่ชอบใจเสียได้)
- ได้รู้รสก็สักแต่ว่ารู้รส (ธรรมชาติของลิ้นย่อมรู้รส รู้ว่ารสชาติอย่างนั้นๆเกิดขึ้นทางลิ้นก็สักแต่รู้ว่ามีอาการนั้นๆเกิดขึ้นทางลิ้นเท่านั้น ที่ทั้งรสพอใจและไม่พอใจ ก็สักแต่มีอาการจำเพาะอย่างนี้ๆเท่านั้น หรืออุบายว่าตั้งสติไว้แต่เบื้องหน้าโดยวิชาธาตุ น้ำมีมากในลิ้นรสใดก็ตามรู้ได้ด้วยน้ำ ทำตัวประดุจน้ำให้ตั้งน้ำไว้ที่ลิ้นก็จักดับรสที่รักที่เกลียดได้)
- ได้รู้สัมผัสทางกาย (ตั้งสติไว้เบื้องหน้าก็สักแต่รู้ว่ามีสัมผัสทางกาย ก็รู้สักแต่ว่าร้อน เย็น สักแต่แข็ง อ่อน นุ่มเท่านั้น ธาตุ ๔ มีมากในกาย ทำใจไว้ให้เห็นกายนี้เป็นประดุจดั่งธาตุ ๔ ไม่ยินดียินร้ายด้วยธาตุภายนอกภายในก็มีเสมอกัน รู้ผัสสะก็สักแต่เพราะว่ากายเป็นธาตุ ๔ ที่มีใจครอง ทำตัวเป็นธาตุ ๔ ธาตุนั้นย่อมไม่มีความรู้สึกนึกคิดไรๆ เมื่อถอนคือไม่เอาจิตจับยึดครองธาตุทุกอย่างที่สัมผัสย่อมไม่มีอะไรให้รู้สึกทางกาย จักละเวทนาทางกายได้)
- ได้รู้สัมผัสทางใจ (ก็สักแต่รู้ว่ามีสัมผัสทางใจ ไม่ว่าจะมีความรู้สึกเสวยอารมณ์ความตรึกนึกคิดใดๆก็สักแต่รู้ว่ามีสิ่งนี้เกิดในมโนทวารให้จิตรู้เท่านั้น เป็นแค่อาการความรู้สึกอย่างหนึ่งเข้ามาให้จิตรู้ไม่มีเกินนี้ แต่เพราอาศัยคิดอาศัยสัญญาที่สมมติกิเลสสร้างขึ้นทำให้เกิดเป็น สุข ทุกข์ เฉยๆ ชอบ ชัง รัก โลภ โกรธ หลง ติดข้องใจสิ่งที่จิตรู้ไปก็หาประโยชน์ใดๆไม่ได้นอกจากทุกข์ ปลงจิตเสียไม่ยึดสิ่งที่จิตรู้ก็จะไม่ทุกข์ หรืออุบายว่าตั้งสติไว้แต่เบื้องหน้าโดยวิชาธาตุ อากาศมีมากในใจ ความไม่สุขไม่ทุกข์หรืออุเบกขาก็เป็นที่ว่างในใจ ทำใจประดุจเหมือนอากาศอันเป็นที่ว่างไม่มีประมาณ ไม่ยินดียินร้ายในสิ่งไรๆ ก็จักถึงอุเบกขาไม่ทุกข์อีก)
*** แต่ไม่ว่าจะทางทวารใด ย่อมอาศัยจิต อาศัยวิญญาณ อาศัยมโนวิญญาณเข้าไปรู้ในทางนั้น หลังจากที่รู้ผัสสะอันเป็นประดุจฟ้าแลบแปล๊บนั้นแล้วที่มีแต่อาการลักษณะหนึ่งๆเท่านั้น หลังจากนั้นล้วนรู้ด้วยสมมติกิเลสอันเนื่องด้วยความหมายรู้อารมณ์ตรึกนึกปรุงแต่งอารมณ์ด้วยสมมติทั้งสิ้น แม้แต่เวทนาก็ตาม ซึ่งล้วนเป็นสมมติทั้งหมด ดังนั้นไม่ยึดจิต ไม่ยึดสิ่งที่จิตรู้ สละคืนสังขารทั้งปวง สละคืนขันธ์ ๕ ไปเสีย ก็ไม่มีทุกข์ ของจริงมีอยู่ที่ลมหายใจเท่านั้น จิตจะจับที่ลมหายใจเอง***
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ