1.การปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นการเวียนว่ายนั้นตายเกิดต้องมีทานเป็นนิจ รักษาศีลเป็นประจำ การภาวนาอย่างสมำเสมอจึงสามารถหลุดพ้นได้และถือว่าเป็นการกระทำที่ประเสริฐบุคคลใดสามารถกระทำได้บุคคลนั้นย่อมสามารถหลีกพ้นจากวังวนของกระแสโลกที่คลุกเคล้าด้วยกระแสแห่งความทุกข์และสุขที่เป็นต้นเหตุแห่งกรรมที่จะทำให้สภาวะของจิตวิญญานของคนๆนั้นเสื่อมลงตลอด ฉะนั้นการปฏิบัติเพื่อให้เกิดสติก่อเกิดความสงบก่อเกิดปัญญาเพื่อนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องนั้นเป็นส่วนสำคัญที่สุดของการที่ได้มีโอกาสได้เกิดมาเป็นคนในครั้งนี้ หู ตา จมูก ลิ้น กายใจ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่กล่าว ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด สิ่งต่างๆที่สัมผัสรู้จากกระแสแห่งโลกภายนอกล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ทั้งสิ้น เราจะสังเกตได้จากการที่เรานั่งภาวนา สิ่งต่างๆ ภายนอกเราไม่เห็น ความทุกข์ต่างๆ ก็ไม่มี ปกติคนเรานั้นจิตใจไม่ได้รับการอบรมก็จะรู้ไม่เท่าทันในความทุกข์ต่างๆ ที่เกิด เพราะไม่สามารถเข้าไปใช้วิจารณญาณเข้าไปรับรู้ได้ อาศัยความนึกคิดของสมองเข้าปรุงแต่งจำแนกแยกแยะทุกเหตุการณ์ ไม่ใช้เหตุและผล อาศัยสมองในการสั่งการปรุงแต่งนึกคิด บางสิ่งบางอย่างที่กระทำผิดพลาดก็ยังระลึกรู้ไม่ได้ว่าทำผิดพลาด กลับถือว่าทุกสิ่งที่ทำนั้นถูกต้อง ฉะนั้นการที่เรามาหาความสงบเพื่อให้เกิดปัญญาตัวรู้ในยามที่เรานั่งปฏิบัติภาวนา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัสทั้งหลายไม่มี ระลึกรู้อยู่แค่ภายในในดวงจิตของเราในลมหายใจของเราเท่านั้น สิ่งต่างๆ ที่เราปฏิบัติตลอดเวลาที่เรานั่งสมาธิมันก็คือความสงบ ในความสงบจะมีเหตุมีผลอยู่ในความสงบนั้น ความสงบเป็นต้นทางแห่งปัญญาทั้งหมด ความสงบยิ่งมากปัญญาก็ยิ่งเกิดมาก เมื่อความสงบเข้าสู่ความละเอียดมีเหตุผลรองรับเต็มกำลัง จิตวิญญาณนั้นก็จะเกิดความรู้เท่าทันในเหตุและปัญหาต่างๆ ไม่ว่าเหตุนั้นจะเป็นเหตุที่รุนแรงหรือไม่รุนแรงก็ตาม ก็สามารถใช้จิตนั้นเข้าพินิจพิเคราะห์ในเหตุการณ์ต่างๆ ทีเกิด มีเหตุผลมารองรับอย่างถ่องแท้ ไม่ถูไถใช้สีข้างเข้าหา ไม่ใช้สมองเป็นหลัก แต่ใช้สติและกำลังของปัญญานั้นเป็นตัวตัดสิน ความถูกผิดนั้นก็อยู่ที่ตรงนี้ เพราะสิ่งต่างๆ ที่เราคิดด้วยสมองมีโอกาสที่จะกลายเป็นกรรม แต่ถ้าจิตวิญญาณที่ฝึกดีย่อมมีหนทางในการมองให้รู้ว่าสิ่งที่เรากระทำที่ผิดพลาดนั้นถูกหรือผิด บางคนเกิดมาแล้วในสภาวะแวดล้อมที่หล่อหลอม ทำให้กำลังปัญญานั้นอ่อนด้อย บางคนเกิดในตระกูลสูงมีพ่อแม่เป็นกำลัง หรือพ่อแม่ถือท้ายก็จะเพาะบ่มนิสัยใจคอ ให้เป็นคนถือตนถือตัวเป็นใหญ่ ตัดสินใจต่างๆ ก็ขาดความยั้งคิด ฉะนั้นสิ่งต่างๆ ในสภาวะแวดล้อมอย่างนั้นทำให้บุคคลนั้นตกสู่อบายทันที ก็จะกระทำสิ่งที่ไม่ดีได้ตลอด เปรียบเหมือนคนเราที่ถืออารมณ์เป็นใหญ่แล้ว ความโกรธเป็นเหตุ ความหลงเป็นตัวนำพา ความโลภเป็นตัวปัญหา คนเราเกิดมาตั้งแต่เด็ก หนุ่มสาว แก่เฒ่าชรา วันเวลาที่พ้นผ่านล้วนแต่ใช้ชีวิตไปตามวิถีทางของปัญหาทั้งสิ้น สิ่งต่างๆ ที่เข้ามาพัวพันในชีวิตมีทั้งกระแสแห่งความดีและกระแสแห่งความชั่วที่เข้ามาคละเคล้าเจือปน อยู่ในแวดวงในวงล้อมชีวิตของเรา ฉะนั้นถ้าคนใฝ่ดีก็จะเลือกสรรสิ่งที่ดีมาเป็นกำลัง แต่ถ้าคนใฝ่ไม่ดีคิดไม่ดีก็นำสิ่งที่ไม่ดีสิ่งที่ชั่วร้ายต่างๆ เข้ามาสิงสถิตอยู่ในภายในจิตในใจ ยิ่งนานวันก็ยิ่งเพาะบ่มนิสัยจนกระทั่งเกิดความเคยชิน บางคนก็โมโหดุร้าย ขาดแล้วซึ่งเหตุผลถือตัวเองนั้นเป็นใหญ่ สิ่งต่างๆ ที่เพาะบ่มนั้นเป็นกรรมทั้งสิ้น ความโกรธทำให้เหตุการณ์ต่างๆ นั้นพลิกผันไปสู่ทางเลวร้ายที่สุด เปรียบเหมือนไฟที่ย่อมเผาทำลายทุกสิ่ง ไฟถึงแม้มีคุณประโยชน์แต่ก็มีโทษมหันต์ การที่เรามีอารมณ์ที่รุนแรงตลอดเวลาที่เรามีชีวิตอยู่นั้น ทำให้จิตของเรานั้นเกิดความเสื่อมขาดหลักใจที่มาหล่อเลี้ยงทำให้ใจเราชุ่มชื่น กลายเป็นคนที่มีความทุกข์อยู่ตลอดเพราะไฟนั้นเผาตัวเอง การที่เราปฏิบัติเพื่อค้นหาสิ่งต่างๆ สิ่งไม่ดีที่เคลือบแฝงอยู่ในจิตใจของเรา ค้นให้พบค้นให้เจอ เพื่อจะได้ละวางทิ้งเสียให้หมด ส่วนใหญ่เหตุการณ์ต่างๆ ในโลกล้วนแล้วแต่เกิดจากอารมณ์ที่ร้อนแรง เมื่อเรารู้ว่าอารมณ์นั้นเป็นตัวบั่นทอนที่จะทำลายชีวิตของเราทำลายจิตใจของเรา สร้างความทุกข์ให้เรา เราจึงต้องพยายามงดเว้นด้วยการปฏิบัติเพื่อใฝ่หาความสงบ นำความสงบนั้นเข้าสู่ปัญญาขั้นพื้นฐานจะได้จำแนกแยกแยะในสิ่งดีชั่วทั้งหลาย ให้มันหมดไปจากจิตใจโดยไว ชีวิตคนเราเกิดมาไม่ยืนยาวเท่าไหร่ 70-80 ก็ล่วงละลับไปแล้ว การเกิดของเราแต่ละครั้งต้องใฝ่หาสิ่งที่ดีเพราะว่าเสริมสร้างชีวิตของเราให้มีความสดชื่น มีความสุขได้ตลอดวันเวลาที่เรามีชีวิตอยู่ อย่าให้ความร้อนของไฟต่างๆ เข้ามาเผาผลาญทำลายสิ่งที่ดีงามของเรา อารมณ์นั้นเป็นตัวกำหนดซึ่งกาย วาจา ใจ ทั้งสิ้น การกระทำต่างๆ ของเรานั้นมันเป็นไปด้วยความนุ่มนวล เรียบร้อย หรือโผงผางรุ่มร้อน วาจาที่พูดอ่อนหวานนอบน้อม หรือกระโชกโฮกฮากหรือด่าทอได้ตลอด ความนึกคิดคิดด้วยอารมณ์เคียดแค้น จริงจัง อาฆาต มาดร้าย สิ่งต่างๆ เหล่านี้นั้นถ้ามองเข้าไปลึกๆ จริงๆ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นไปภายในจิตใจของเราเท่านั้น คนอื่นจะหารับรู้ในสิ่งต่างๆ ที่เราเป็นนั้นคงไม่มี ฉะนั้นคนเราเมื่อเกิดมาแล้ว ห้วงเวลาอันน้อยนิด ทำไมเราจะต้องเอาภายนอกทั้งหมดสิ่งต่างๆ ที่เกิดภายนอกทั้งหมดนั้นเข้ามาฝังรากอยู่ในจิตในใจของเรา ทำให้เราร้อนรุ่มทำให้เรามีความทุกข์อยู่ตลอดทุกๆ วัน การวางทุกข์เป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นสิ่งที่เราพึงควรกระทำ ความทุกข์แบกใส่บ่ามันย่อมหนัก หนักทั้งร่างกายและจิตใจของเรา ร่างกายทรุดโทรมหน้าตาหมองคล้ำดำเครียด ทุกสิ่งในโลกล้วนอนิจจังแปรปรวนแปรเปลี่ยนได้ตลอด อย่าให้ความแปรเปลี่ยนของเรานั้นมากำหนดชะตาชีวิตของเรา อย่าให้อารมณ์นั้นมาเป็นตัวบ่อนทำลายความสุข ต้องพยายามใฝ่หาสิ่งที่ดีงามสิ่งที่ดูแล้วสบายใจ สิ่งที่ดูแล้วมีความสุข ในห้วงชีวิตหนึ่งของเรานั้นจะหาความสุขได้สักกี่ครั้งในชีวิต ถ้าจิตเราไม่ละวางจิตนั้นก็เป็นทุกข์ตลอดกาล ไม่สามารถหลีกลี้หนีความทุกข์ไปได้ เมื่ออารมณ์ก่อเกิดทุกสิ่งทุกอย่างย่อมสามารถกระทำได้ ไม่ว่าจะสร้างกรรมสร้างเวรต่างๆ ก็สามารถทำได้โดยอำนาจแห่งความหลงงามงายที่ไม่รู้เท่าทันทั้งหมด แต่คนเราเมื่อเกิดมาแล้วใฝ่หาความสุขตลอด จิตใจก็มีแต่ความอิ่มเอิบ ปีติ มีความสุข มีความยินดี จิตใจก็อ่อนโยนทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตก็จะดีทั้งหมด ไม่ว่าจะไปสถานที่ใดสถานที่ไหนใครๆ ก็นิยมชมชอบ ฉะนั้นการที่เราใฝ่หาซึ่งความดีรับไว้ในจิตใจของเรา 1.ให้บังเกิดแล้วซึ่งความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ 2. การช่วยเหลือเอื้ออาทร 3. ความมีเมตตาจิตต่อสิ่งต่างๆ ในโลก เมื่อเรามีสามสิ่งนี้ครบถ้วนเราจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก เมื่อเราไปช่วยเหลือคนคนหนึ่งให้รอดพ้นจากความทุกข์ยากจากความลำบาก ถ้าบุคคลนั้นประสบผลสำเร็จ ผู้ที่ช่วยเหลือนั้นย่อมมีความสุข แม้ว่าจะช่วยเหลือไม่ได้เราก็เป็นสุข เพราะเราได้ทำในสิ่งที่มีคุณค่าทำในสิ่งที่ดีงาม ฉะนั้นการที่เราเริ่มต้นใฝ่หาซึ่งความดีงามประดับในกายจิตของเราให้มากเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน มองทุกอย่างในโลกล้วนเป็นสิ่งที่ดีถึงแม้สิ่งใดๆ ที่ทำให้มีทุกข์ ก็พยายามปล่อยวางเมื่อเราวางได้ทุกข์นั้นก็ไม่มี คนเราเกิดมาเดี๋ยวก็ไปจากโลกนี้ไม่มีใครสามารถยืนหยัดอยู่ได้ตลอด สิ่งที่สูญเสียสิ่งที่อยากได้แล้วไม่ได้ก็ไม่ต้องกังวล ทุกสิ่งในโลกล้วนเสื่อมไปในที่สุด แม้กระทั่งร่างกายของเราก็เหมือนกัน ต้องพยายามจัดการในทุกสิ่งให้ดี ใช้สติปัญญาให้มาก ปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าย่อมแก้ไขได้ในที่สุด ต้องจำไว้ว่าอารมณ์ต้องอยู่หลังเหตุผล สติต้องมาก่อน ถ้าเราฝึกภาวนาขั้นพื้นฐานจนได้ความสงบ จนได้สติ เราก็สามารถที่จะลุล่วงทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างแน่นอน ภาวนาจึงเป็นหลักใหญ่ในการบริหารจัดการชีวิตของเรา บริหารจัดการจิตวิญญาณของเรา บริหารจัดการการกระทำของเรา บริหารจัดการคำพูดของเรา และบริหารจัดการความนึกคิดของเรา ภาวนาเป็นต้นและเป็นเหตุที่สามารถนำพาชีวิตของเรานั้นไปสู่ความถูกต้องและดีงาม ไปสู่ศีลที่หมดจดบริสุทธิ์ ไปสู่จิตใจที่เมตตากรุณาสูงสุด พระอริยะเจ้าต่างๆ ในอดีตก็ดี ในปัจจุบันก็ดีล้วนแล้วแต่มีความสดใส สดใสเพราะเหตุแห่งภาวนาทั้งสิ้น ไม่ได้กินยาหรือทานยาใดๆ ที่จะเป็นอายุวัฒนะ แต่อาศัยวิถีแห่งการภาวนาเท่านั้น ในการจำกัดซึ่งกิเลสทั้งหลายให้เจือจางไปในที่สุด ความโลภบั่นทอนชีวิตคนเรามาก็มาก ความหลงพาเราหลงทางมาก็มาก เราหลงในวัฏฏะ หลงในการเกิด หลงในความดีมาตลอด ความโกรธนั้นก็ทำลายในทุกสิ่งที่เรามี เพราะสิ่งต่างๆ จริงๆ แล้วมันเป็นของที่มีอยู่แล้วในโลกในจิตของคนเรานั้นทุกคนต้องมีเพียงแต่ว่าเราสามารถที่จะระงับยับยั้งได้ขนาดไหน มีสติที่จะประคอง ที่จะปรับได้มากน้อยแค่ไหน ฉะนั้นการดำเนินชีวิตจริงต้องอาศัยพลังสติและพลังปัญญาเราถึงจะสามารถจำกัดในวิถีทุกสิ่งที่จะก่อกรรมได้ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนอาศัยหลักเหตุและผลทั้งสิ้น ถ้าเราเป็นคนมีเหตุมีผลในตัวเราจะเข้าใจตรรกะในทุกสิ่งไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเรื่องใดเหตุการณ์ใด
2. การภาวนาจึงเป็นเบื้องต้นของผู้ที่กระทำแล้ว ต่อไปในภายภาคหน้าก็สามารถเป็นคนที่สมบูรณ์ได้ จะมีหิริโอตัปปะคือการละอายต่อบาปต่อกรรมที่จะสร้าง ไม่ว่าจะเป็นศีล สมาธิ ปัญญา หรือเนกขัมมะในการบวช เนกขัมมะคือการบวชหรือบวชใจ ฉะนั้นถ้าเราเข้าถึงสิ่งต่างๆที่กล่าว บุคคลนั้นย่อมมีโอกาสที่ดีในการครองชีวิตและในการดำเนินชีวิตต่อไปในภายภาคหน้า เพราะสิ่งต่างๆที่เรากระทำล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ การนั่งสมาธิเพื่อจะให้มีปัญญาที่จะรู้เท่าทันเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของเราหรือเกิดขึ้นกับคนรอบข้างของเรา พลังปัญญานี้มีคุณค่ามหาศาลยิ่งกว่าทรัพย์ใดๆในโลก ปัญญาความคิดความรู้ต่างๆ ฉะนั้นการภาวนาต้องพยายามรักษาไว้ให้คงที่เปรียบเหมือนเกลือรักษาความเค็ม ชิวิตจิตวิญญาณต้องอาศัยอาหารแห่งปัญญาเข้ามาหล่อเลี้ยงทำให้มีภูมิคุ้มกัน เป็นภูมิที่จะปกป้องต่อชาติกำเนิดของเรา การกำเนิดถ้ามีภูมิคุ้มกันเราก็ไม่ต้องห่วง อำนาจแห่งจิตทั้งหลายย่อมมีกำลังนำพาสิ่งต่างๆที่เข้ามาในชีวิตของเรา อำนาจจิตที่เข้มแข็งสามารถดลบันดาลได้ทุกสิ่ง สิ่งที่ปรารถนาก็จะลุล่วงไปได้ด้วยดี เป็นกำลังจิตและกำลังใจขั้นสูง อย่างโรคาพยาธิทั้งหลายโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายที่เราเป็นอยู่ จะอาศัยยารักษาโรคอย่างเดียวนั้นไม่ได้ วิถีแห่งการภาวนาเป็นวิธีหนึ่งในการรักษาโรคภัย ไม่ว่าโรคนั้นจะรุนแรงร้ายแรงขนาดไหน ถ้าเราภาวนาจนได้จิตที่สงบ การบริหารจัดการร่างกายของเราเป็นไปอย่างดีเยี่ยมเราก็สามารถบรรเทาสิ่งต่างๆ ความเจ็บปวดทรมานต่างๆไปได้ด้วยดี ฉะนั้นการบริหารจัดการด้วยการภาวนาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเหลือเราในยามที่เราทุกข์ร้อน ในยามที่ร่างกายเรามีปัญหา ฉะนั้นการภาวนาต้องทำให้บ่อยขึ้นมากขึ้น อย่าเอาเวลาไปเสียโดยเปล่าประโยชน์อย่างอื่นซึ่งเราหาค่าไม่ได้ ถ้าเราภาวนาแล้วเหตุใดจะเกิดก็จะไม่มีผลใดๆทั้งสิ้น ถึงแม้สุดท้ายเราจะหยุดไม่ได้เราต้องไป เราก็ไปในสถานที่ๆดีขึ้น แต่สิ่งต่างๆที่เรากระทำนั้นเป็นบุญกุศล บางครั้งสิ่งต่างๆที่เราคาดไม่ถึงก็ปรากฎและเกิดขึ้นได้ ถ้าเราสามารถกระทำให้ถึงพร้อมต้องมีศรัทธาอย่างแรงกล้าที่จะกระทำ เราก็สามารถหลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์นี้ไปได้ แต่ถ้าเราคิดว่าสิ่งต่างๆที่เราทำนั้นมันหาค่า มันไร้ประโยชน์ มันก็หมดความหมายที่จะทำ คนเราตั้งสัจอธิษฐาน จิตเป็นกำลัง จิตเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถเกื้อกูลช่วยเหลือ หาวิธีการต่างๆแล้วมาช่วยเราพ้นภัยนี้ได้แต่ต้องมีศรัทธา ต้องมีความเชื่อ จิตเมื่อมีกำลังก็สามารถบริหารจัดการได้ทุกอย่างไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่เราคาดไม่ถึง มันก็จะเป็นไปโดยธรรมชาติที่กำลังจิตของเรานั้นไปได้ถึง อย่าปล่อยวันเวลาให้เสียเปล่าประโยชน์โดยการมุ่งหาซึ่งเงินทองต่างๆซึ่ง มันหาค่าไม่ได้ในยามที่เราต้องจากโลกนี้ไป แต่เวลาการฝึกจิตของเรานั้นมีความสำคัญมากในยามที่จิตแตกดับต้องจากโลกนี้ไปจิตที่ฝึกมาดีย่อมมีที่เกิดที่ดี สัตว์ทั้งหมดในโลกล้วนอนิจจังเกิดมาตั้งอยู่ดับไปในที่สุด ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดหรือของสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะสามารถยืนหยัดอยู่ได้เกิดมาต้องดับไปเป็นธรรมดา ของๆโลกก็ทิ้งไว้ในโลกไม่สามารถนำพกติดตัวไปได้ การภาวนาจนได้กำลัง เลือดลมทุกอย่างเดินดี กระแสแห่งเลือดมีประสิทธิภาพในการขจัดสิ่งเลวร้ายต่างๆให้หมดไปได้ เราจึงพึงกระทำด้วยกำลังแห่งศรัทธาที่กล้าแข็ง เราจะไม่มีวันผิดพลาดและผิดหวังเลย ถ้าเราเริ่มต้นและกระทำไปด้วยอำนาจของจิตที่กล้าแข็ง เท่ากับเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ยาใดในโลกไม่เทียบเท่าภาวนา ไม่เทียบเท่าจิตที่รักษา มีจิตตัวเดียวเท่านั้นที่จะสามารถรักษาเยียวยา สร้างความปลอดภัยให้กับตัวของเราเองได้ ก็ขอให้มั่นใจ แต่ต้องกระทำให้ได้อย่างต่อเนื่อง ทำด้วยกำลังใจที่เข้มแข็ง การย่อท้อต่อสิ่งที่เกิดทำให้เราหมดหวัง คนเราทุกนาทีมีค่า ทุกนาทีที่เราอยู่ ทุกลมหายใจที่เรายังมีอยู่นั้นย่อมมีคุณค่าเสมอ ถ้าเรารู้จักละวางซึ่งความทุกข์ที่กำลังเกิด รู้จักวางเฉยแต่พยายามกระทำ พยายามหาแนวทางต่างๆที่จะรักษาตัวเรา ไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะแก้ไขไม่ได้เพียงแต่เรามีกำลังใจพอที่จะเข้าไปกระทำหรือเปล่า เพราะฉะนั้นไม่มีสิ่งใดในโลกหรือยาขนานใดในโลกจะเป็นยาขนานเอกเท่าภาวนา วงจรของเลือดของลมในตัวเรานั้น เมื่อความสงบเกิด ทุกสิ่งทุกอย่างช้าลง การบริหารจัดการการเคลื่อนไหวต่างๆทุกสิ่งทุกอย่างนั้นช้าลง การไหลเวียนเลือด 1 ชั่วโมงเท่ากับ 1 นาที ถ้าเราอยู่สักห้าปีถามว่ากี่นาที เลือดจะเดินช้าไปกี่นาที เลือดยิ่งเดินช้าความหมดจดของเลือดภายในนั้นยิ่งสะอาดหมดจดเพราะมันจะไม่ร้อนแรง มันจะไม่มีอาหารไปเลี้ยงเชื้อร้ายต่างๆในร่างกายของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างจะช้าลง เมื่ออาหารช้าลง อาหารไม่เต็มกำลัง โรคต่างๆมันก็จะหายไปโดยอัศจรรย์ อาจจะเป็นไปได้หรืออาจจะเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าถ้าเราไม่ทดลองทำเราจะรู้ได้ไงว่าเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ นักภาวนาทุกคนจะมีสีหน้าที่อิ่มเอิบเพราะว่าเลือดของเค้าเดินช้า ช้ากว่าความเป็นจริงในโลก การภาวนา 1 ชั่วโมงเท่ากับ 1 นาที ก็ลองนับไปคูณไป 10 นาทีเท่ากับ 10 ชั่วโมง 24 นาทีเท่ากับ 24 ชั่วโมงในหนึ่งวัน ถ้าเลือดเราเดินช้าไป 24 นาทียังไม่ถึง 1 ชั่วโมง แค่ครึ่งชั่วโมง เพราะสิ่งต่างๆที่ช้าลง โรคภัยไข้เจ็บต่างๆก็ช้าลงไปด้วย สุดท้ายแล้วลมหายใจที่เราเข้าออกนั่นแหละจะเป็นตัวช่วยฆ่าเชื้อทั้งหลายที่มี เพราะฉะนั้นต้องพยายาม ร่างกายเราไม่เข้มแข็งก็ต้องพยายามฝึกพยายามฝืนต้องทำให้ได้ ไม่ว่ายามหลับ ยามตื่น ยามนอน หรือว่ายามเดิน หรือยามที่เรานั่งแม้กระทั่งเราทำงานเราก็สามารถกระทำได้อย่างต่อเนื่องโดยตลอด ลมหายใจนั้นเป็นชีวิต ฉะนั้นทุกคนมีลมหายใจอยู่แล้วเพียงแต่การกำกับดูแลให้มันดีให้มีประสิทธิภาพนั้นบางคนทำได้ยาก แต่ถ้าเราฝึกเราปฏิบัติไปเรื่อยๆ ลมหายใจคือชีวิต คือสิ่งที่ติดตัวเราไปตลอด เราจะระลึกรู้ทันทีว่าเรากำลังหายใจหรือไม่หายใจ แม้ยามทำงานยามพูดคุย สมาธิเกิดตลอด เมื่อกำลังสมาธิกล้าแข็ง สิ่งที่พูดสิ่งที่กระทำนั้นมีประสิทธิภาพ ความผิดพลาดไม่มี แม้กระทั่งคำพูดคำจาทุกสิ่งทุกอย่างนี้มีความละเอียด มีเหตุมีผลรองรับอยู่ในตัว การกระทำต่างๆก็ละเอียดรอบคอบ ความผิดพลาดน้อยลงหรือไม่มีเลย ร่างกายก็แข็งแรงสมบูรณ์ตลอด ฉะนั้นไม่ต้องห่วงว่าเราเป็นอะไรแต่เราจะเริ่มภาวนา ภาวนาให้มากกว่าเวลาทำงานของเรา ขอให้เราตั้งจิตตั้งใจทำกำลังใจให้เข้มแข็ง ละทิ้งความหมดหวังทั้งหลายให้หมดไป ทุกนาทีมีค่าเพียงแต่ว่าใช้นาทีต่างๆให้มีคุณค่าให้มากที่สุด แล้วเราจะประสบพบเห็นแต่ความสำเร็จ รู้ลึกรู้ละเอียดในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน ขอให้ทุกคนถึงพร้อมด้วยกายวาจาและใจ ที่ถึงพร้อมซึ่งความหมดจดงดงาม มาปฏิบัติแล้วเพื่อให้มีปัญญาควบคุมในการกระทำของเราต่างๆ ขอให้ถึงพร้อมด้วยความหมดจดอย่างที่สุด ถึงพร้อมด้วยการเป็นบุคคลที่เกิดมาแล้วมีคุณค่าต่อโลก กระทำทุกสิ่งเพื่อสภาวะต่างๆแล้วให้มีความสงบ มีความสุขทั้งต่อตัวเองและคนรอบข้าง ฉะนั้นการปฏิบัติจึงจะสมบูรณ์ได้ถึงขีดสุดนั้น จิตเราจะต้องมีความอ่อนโยน มีความสงบและมีความสบาย เราจึงได้ชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติที่ดี เป็นนักปฏิบัติที่เข้าถึงแก่นธรรมอย่างแท้จริง ขอให้อย่าละโอกาส อย่าทิ้งเวลาให้เสียเปล่า วันเวลาไม่คอยท่าใคร เวลาเดินเร็วเหมือนพายุหมุน ปีข้ามปี เดือนข้ามเดือน วันข้ามวัน นี่ของเรา 48 ครั้งชั่วประเดี๋ยวเดียว 48 เดือนแล้ว ฉะนั้นขอให้ตั้งจิตตั้งใจให้มั่งคง กระทำภารกิจทุกสิ่งอย่างมีเหตุผลรองรับ ทำด้วยสติกำลังของปัญญาทั้งสิ้นแล้วเราจะไม่พบกับความผิดหวังในชีวิตเลย

ป.จิตธรรม 3-7-2556