เวทนาทางกายเป็นผลแห่งกรรมทั้งหมดหรือ

กระทู้: เวทนาทางกายเป็นผลแห่งกรรมทั้งหมดหรือ

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. ponchario said:

    Lightbulb เวทนาทางกายเป็นผลแห่งกรรมทั้งหมดหรือ

    จากการศึกษาทราบว่า กายวิญญาณจิต เป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรมในอดีต เวทนาที่เกิดร่วมกับกายวิญญาณจิตคือ สุขหรือทุกข์ทางกาย ก็ย่อมเป็นวิบากด้วย เป็นผลแห่งกรรมในอดีตด้วย แต่จากพระสูตร สิวกสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "....ดูกรสิวก เวทนาบางอย่างเกิดขึ้น มีดีเป็นสมุฏฐานก็มี...มีเสมหะเป็น สมุฏฐานก็มี...มีลมเป็นสมุฏฐานก็มี...มีการประชุมแห่งเหตุเป็นสมุฏฐาน ก็มี...เกิดจากความแปรปรวนแห่งอุตุก็มี...เกิดจากบริหารตนไม่สม่ำเสมอ ก็มี...เกิดจากถูกทำร้ายก็มี...เกิดจากผลกรรมก็มี ข้อที่เวทนา...เกิดขึ้น โดยมี (สิ่งที่กล่าวมาแล้ว) เป็นสมุฏฐาน เป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยตนเอง ทั้ง ชาวโลกก็รู้กันทั่วว่าเป็นความจริงอย่างนั้น ในเรื่องนั้น สมณพราหมณ์เหล่าใด มีวาทะ มีความเห็นอย่างนี้ว่า “บุคคลได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม เวทนาทั้งหมดนั้น เป็นเพราะกรรมที่กระทำไว้ในปางก่อน” สมณ พราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าแล่นไปไกลล่วงเลยสิ่งที่รู้กันได้ด้วยตนเอง แล่น ไปไกลล่วงเลยสิ่งที่ชาวโลกเขารู้กันทั่วว่าเป็นความจริง ฉะนั้น เรากล่าว ว่าเป็นความผิดของสมณพราหมณ์เหล่านั้นเอง " เลยไม่ทราบว่า พระสูตรกับพระอภิธรรม อธิบายเรื่องนี้ต่างกันอย่างไร วานผู้รู้ให้ความกระจ่างด้วยครับ ขอบคุณมาก
     
  2. tewada said:
    สมุฐานที่มีผลต่อกายเวทนาก้มี กรรม จิต อุตุ อาหาร อย่าไปโทษกรรมอย่างเดียวแล้วอภิธรรมกับพระสูตก้ต่องมีความเห้นไปในทางเดียวกันไม่ขัดแย้งกัน
     
  3. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:
    .
    สวัสดีครับ คุณ Ponchario, คุณ Tewada

    ต้องขอโทษด้วยที่เข้ามาช้า
    เพิ่งกลับจากเดินสาย ตจว. น่ะครับ

    จากพระสูตรที่อัญเชิญมานั้น
    ได้แสดงไว้แจ่มแจ้งดีแล้วครับ
    ถ้าจะยกตัวอย่างเช่นเรื่องของความเจ็บไข้ได้ป่วยทั้งหลาย
    นั้นก็เกิดได้จากหลายมูลเหตุ

    แต่...ไม่ว่าจากมูลเหตุใด
    แม้ไม่ใช่จากกรรมเป็นสมุฏฐานโดยตรง
    อาจจะเกิดจากอากาศเปลี่ยนแปลง
    กินอาหารไม่ดี ดูแลตนเองไม่ดี ตรากตรำเกินไป ฯลฯ หรือใดๆ ก็ตาม
    เมื่อทุกขกายวิญญาณซึ่งเป็นวิบากจิตเกิดขึ้น
    ก็ย่อมมีกรรมเป็นปัจจัยหนุนเนื่องให้วิบากจิตนี้เกิด
    จะเป็นกรรมจากอดีตชาติหรือปัจจุบันชาติก็ตาม

    ถ้าเป็นโรคที่มีสมุฏฐานจากกรรมโดยตรง
    แม้รักษาอย่างไรก็ไม่หาย
    จนกว่าจะหมดวาระการให้ผลของกรรมนั้น
    แต่ถ้าเป็นโรคที่เกิดจากสมุฏฐานอื่นๆ ทำให้เกิดความเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้น
    ก็คงจะหายได้หากได้รับการรักษาที่ดีตรงตามสมุฏฐาน

    ในพระสูตรได้แสดงให้เห็นถึงสมุฏฐานที่เป็นมูลเหตุต่างๆ
    แต่หากไม่มีกรรมเป็นปัจจัยหนุนส่งให้ทุกขกายวิญญาณเกิด
    ทุกขเวทนาทางกายในขณะนั้นก็เกิดขึ้นไม่ได้เลย
    บางคนแม้ตากแดดตากฝนก็ไม่เจ็บป่วยแต่อย่างใด
    แต่บางคนโดนละอองฝนหน่อยเดียวก็เป็นหวัดได้

    ดังนั้น พระสูตรและพระอภิธรรมจึงแสดงไว้เพื่อเกื้อกูล
    ให้เกิดความเข้าใจที่กว้างขวางและละเอียดยิ่งขึ้นนั่นเองครับ




    เดฟ

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  4. ponchario said:
    -ขอบคุณครับคุณ dev ที่ช่วยให้ความกระจ่าง จากที่คุณ dev อธิบายมา "หากไม่มีกรรมเป็นปัจจัยหนุนส่งให้ทุกขกายวิญญาณเกิด
    ทุกขเวทนาทางกายในขณะนั้นก็เกิดขึ้นไม่ได้เลย" ฟังดูมันก็ยังไม่ลงกับคำกล่าวที่ว่า "เวทนา(ทางกาย)บางอย่าง อาจจะไม่ได้มีกรรมเป็นสมุฏฐาน" คือคล้ายกับพูดว่า A ทำให้เกิด B, B ทำให้เกิด C (และถ้าไม่มี B, C ก็เกิดไม่ได้), แต่ C อาจไม่ได้มีเหตุมาจาก A ก็ได้... ทำนองนี้อะครับ ตรรกะมันทะแม่งๆชอบกล ช่วยอธิบายเพิ่มอีกนิดได้มั้ยครับ ....
     
  5. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:
    .
    ตัวอย่างเช่น.....


    เวลานี้ อากาศกำลังหนาวเย็น
    เย็นมากเกินไปจนทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่สบาย
    เกิดเวทนาอันเนื่องด้วยกายที่รู้สึกเป็นทุกข์
    เพราะอากาศที่แปรปรวนเป็นสมุฏฐาน

    แต่ถ้าไม่มีกายปสาทอันเป็นรูปทีี่เกิดจากกรรม
    ก็จะไม่มีการกระทบกับโผฏฐัพพารมณ์ใดๆ เลย
    ถ้าไม่มีกายวิญญาณอันเป็นวิบากจิตเกิดขึ้นเป็นผลของกรรม
    ก็จะไม่มีการรับรู้โผฏฐัพพารมณ์ใดๆ
    ไม่มีเวทนาใดๆ เกิดร่วมกับกายวิญญาณเลย






    เดฟ

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  6. ponchario said:
    ขอบคุณคุณ dev มากนะครับ เข้าใจมากขึ้นครับ แต่ยังไม่สุด ... พอดีเห็นยกตัวอย่างเรื่องเจ็บป่วยพอดี ผมขอสมมุติเหตุการณ์ดังนี้นะครับ นาย ก. นาย ข. เป็นเพื่อนกัน พอดีช่วงนี้อากาศเปลี่ยน นาย ข.ล้มป่วยนอนซมอยู่ นายก.เลยมาเยี่ยม หลังจากทักทายกัน นาย ก.ก็สนทนากับนายข.ว่า...
    ก. นั่นแหละอกุศลวิบาก แกคงเคยไปทำอกุศลกรรมในอดีตมาแน่นอน เลยต้องมานอนซมอยู่อย่างนี้ อดทนไปละกัน ไม่นานก็หาย(หมดกรรม)
    ข. เฮ้ย..อากาศมันเปลี่ยนกระทันหัน ใครๆ เขาก็ป่วยกันเยอะแยะไป แกจะบอกว่า คนพวกนี้ไปทำอกุศลกรรมกันมาทุกคนเลยหรือไง?
    ก. ก็ฉันเรียนมาอย่างนั้นนิ ทุกขกายวิญญาณจิต เป็นอกุศลวิบาก ทุกขเวทนาทางกายก็เป็นอกุศลวิบาก แล้วถ้าแกไม่ทำอกุศลกรรมมาก่อน แล้วอกุศลวิบากมันจะมาเกิดได้ยังไงล่ะ
    ข. จะบ้าเหรอ ใครจะไปทำกรรมอะไรเหมือนกันหมด แล้วก็ดันมาให้ผลพร้อมกัน ตอนไข้หวัดระบาดพอดี
    ก. ก็ตำราเขาว่าอย่างนั้นนี่นา ไม่เชื่อไปเปิดตำราดูสิ
    ข. ?!?!?!

    อยากทราบว่า ทั้ง ก. และ ข. ใครเข้าใจคลาดเคลื่อนตรงไหนอย่างไร คุณ dev ช่วย ทำให้แจ้งทีครับ ขอบคุณมากๆๆๆๆ
     
  7. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:
    .
    นาย ก..........เป็นไง นอนซมเชียว อากาศเปลี่ยนแปลงแบบนี้ คนไม่สบายกันเยอะเลย

    นาย ข..........น่านสิ อยู่ๆ ก็หนาวยะเยือกขึ้นมาซะงั้น

    นาย ก..........นี่แหละ อากาศที่แปรปรวนเป็นเหตุให้เจ็บไข้ได้ป่วย
    ไม่สบายแล้วก็ต้องรักษานะ หาหมอ กินยาซะ เดี๋ยวก็หาย

    นาย ข..........ไม่เอาอ่ะ กลัวหมอ เป็นเองก็หายเองได้น่า

    นาย ก..........แหม พูดยังกะเป็นโรคที่เกิดจากกรรมเลยนะ ไม่สบายก็ต้องรักษา
    รู้จักดูแลตัวเองด้วยสิ (เพื่อนหรือแฟนเนี่ย ห่วงกันจัง)

    นาย ข..........อ้าว ก็นายเคยบอกว่าการที่เราต้องได้รับสิ่งที่ไม่ดี เกิดเวทนาที่ไม่ดี
    ก็เพราะอกุศลวิบากซึ่งเป็นผลของอกุศลกรรมที่เคยกระทำมานี่

    นาย ก..........ก็ใช่ เพราะเราทุกคนเกิดมาก็ด้วยกรรม ปฏิสนธิจิต เป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรม
    แล้วกรรมเดียวกันนี้ก็หล่อเลี้ยงรักษาไว้ไม่ให้ตายจนกว่าจะหมดวาระ
    ภวังคจิตที่ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงรักษาไว้ให้ดำรงอยู่ก็เป็นวิบากจิตเช่นกัน
    เวลาที่เรานอนหลับสนิท เป็นภวังคจิตใช่มั้ย ? แปลกใจมั้ยล่ะ
    ว่าขณะนั้นเราก็กำลังเสวยวิบากอันเป็นผลของกรรมนะเนี่ย

    นาย ข..........อื่มม งั้นหรอ

    นาย ก..........เออ งั้นสิ แต่ผลของกรรมไม่ได้มีเพียงเท่านั้นนะ
    ถ้านายเข้าใจเรื่องของ วิบากจิต ก็จะรู้ได้ว่าขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส
    นี่ก็เป็นวิบากจิต เป็นผลจากกรรมทั้งสิ้น ทันทีที่ตื่นลืมตาก็เห็นสิ่งต่างๆ
    ได้ยินเสียงต่างๆ รับรู้สัมผัสต่างๆ ฯลฯ

    นาย ข..........อ้าว งี้เราเลือกที่จะเห็นสิ่งเพลิดเพลิน อย่างเช่น ไปดูหนัง
    เลือกที่จะฟังเสียงไพเราะ เช่น เปิดเพลงที่ชอบฟัง เลือกกินของอร่อยๆ อยากกินอะไรก็ไปซื้อมากิน ฯลฯ
    อย่างนี้เราก็บังคับการให้ผลของกรรมได้สิ ไหนว่าเป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้อ่ะ

    นาย ก..........หลายคนก็คิดเหมือนนายอ่ะนะ เพราะส่วนใหญ่เมื่อเราอยากดูหนัง
    ฟังเพลง หรือกินของอร่อยๆ ก็จะจัดหาและได้เสพสิ่งเหล่านั้นตามที่ต้องการ
    แต่นายอย่าลืมว่าเราเกิดในสุคติภูมิด้วยผลของกุศลกรรม เป็นภพภูมิที่ยังมีความรื่นรมย์
    จึงไม่แปลกที่จะได้รับกุศลวิบาก ได้รับสิ่งดีๆ เมื่อมีเหตุนำพา

    นาย ข..........อ๋อ อื่มมม

    นาย ก..........แล้วเคยเอะใจบ้างมั้ยล่ะ บางทีอยากกินของอร่อยๆ แต่ไม่ได้กินอ่ะ
    ไปถึงร้านปิดหรือของหมด บางทีซื้อใส่ถุงว่าจะกลับมากินที่บ้าน
    ดันทำถุงตกหรือแกะถุงแล้วพลาด ตกกระจายหมดอดกินอ่ะ แม้จะไม่บ่อยก็เหอะ
    แต่ก็แสดงให้เห็นว่า หากกุศลวิบากยังไม่ให้ผล แม้อยากจะกินของอร่อยๆ ก็ไม่ได้กิน

    นาย ข..........อื่มม เคยแกะถุงฮานามิ กระจายหมดถุงเลย 555

    นาย ก..........โสนะหน้า เอ๊ย น่าเสียดายฮานามิ
    เออ แม้เราจะเกิดในสุคติภูมิด้วยผลของกุศลกรรม
    แต่เราก็ได้กระทำทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรมมามากมายนับไม่ถ้วน
    ดังนั้น เราจึงได้รับสิ่งที่ดีบ้างไม่ดีบ้าง สุขบ้างทุกข์บ้าง สลับกันไปเป็นเรื่องธรรมดา

    นาย ข..........เนอะ นี่แหละรสชาติของชีวิต (รสชาติเขียนถูกแล้ว ไม่ใช่รสชาด)

    นาย ก..........งั้นแหละ การที่นายต้องเจ็บไข้ได้ป่วย
    ปวดหัว ตัวร้อน ไม่สบายเนื้อตัว ก็เพราะอากาศแปรปรวนเป็นเหตุ
    แต่ถ้าไม่มีอกุศลวิบากหนุนส่งให้เกิดทุกขกายวิญญาณ
    ทุกขเวทนาอันเนื่องด้วยกายนี้ก็เกิดขึ้นไม่ได้เลย

    นาย ข..........อ้าว งั้นเราพูดผิดตรงไหนล่ะ ก็เพราะกรรมหนุนส่ง
    ก็เลยไม่ต้องรักษาไง เดี๋ยวหมดกรรมมันก็หายเองไงล่ะ

    นาย ก..........ก็ถ้าเป็นโรคที่เกิดจากกรรมเป็นเหตุโดยตรง
    ที่นายพูดมาก็ถือว่าไม่ผิดหรอก แต่นี่เป็นเพราะอากาศแปรปรวน
    อกุศลวิบากสบช่องนำพาก็ให้ผล ถ้านายแก้ไขให้ตรงตามเหตุ
    คือกินยา รักษาร่างกายให้อบอุ่น ก็หายจากเจ็บป่วยได้อ่ะนะ

    นาย ข..........แล้วงี้คนอื่นๆ ทั่วบ้านทั่วเมืองที่ป่วยๆ กันเนี่ย
    แสดงว่าทำอกุศลกรรมมาเหมือนๆ กัน...พร้อมๆ กัน...งั้นหรอ
    ถึงได้มาเจ็บป่วยพร้อมๆ กันเพราะลมหนาวนี้เนี่ย

    นาย ก..........ก็อย่างที่บอกไปในตอนต้นไงล่ะ (เอื้อมมือไปลูบหัวด้วยความเอ็นดู)
    เราทุกคนได้กระทำกรรมกันมามากมายทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม
    จะกรรมเดียวกันพร้อมกันหรือไม่ก็ช่าง เพราะถ้าจะระบุว่าการให้ผลของกรรมนี้ๆ มาจากกรรมใด
    ก็เป็นเรื่องเกินวิสัยที่เราจะรู้ได้ แต่ที่เรารู้ได้แน่ๆ ก็คือ กรรมดีทั้งหลายย่อมให้ผลที่ดี
    กรรมไม่ดีทั้งหลายก็ย่อมให้ผลที่ไม่ดี เราทั้งหลายก็ได้ดูหนัง ฟังเพลง
    กินของอร่อยๆ ไปพร้อมๆ กันมาแล้ว นี่ก็เป็นกุศลวิบากที่ทุกคนได้รับเพราะสั่งสมกรรมดีกันมา
    จึงไม่แปลกถ้าจะเจ็บป่วยด้วยกันเพราะลมหนาวในครั้งนี้ เพราะอากาศแปรปรวนไปทั่วเป็นเหตุ
    กรรมไม่ดีที่ทุกคนได้สั่งสมกันมาก็สบช่องนำพาให้ผล
    เกิดทุกขกายวิญญาณ เกิดทุกขเวทนาอันเนื่องด้วยกาย อย่างที่นายนอนซมอยู่นี่ไงล่ะ

    นาย ข..........อื่มม เออ เอ (จะเข้าใจหรือสงสัยดีน้าาา)

    นาย ก..........เราว่าถ้านายพิจารณาในเรื่องของวิบัติ 4 ประกอบด้วย
    ก็น่าจะช่วยให้เข้าใจได้ยิ่งขึ้นนะ...ว่ามั้ย

    วิบัติ 4
    http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=176

    นาย ข..........อื่มๆ เดี๋ยวไว้เราทำความเข้าใจก่อนละกันนะ

    นาย ก..........ได้สิ เราก็ต้องขอตัวไปทำงานแล้วนะ อยู่รอดปลอดภัยหายไวๆ น้าาา





    เดฟ
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดย D E V : 01-28-2016 เมื่อ 11:32 PM

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  8. tewada said:
    อ้างอิง โพสต์ต้นฉบับโดยคุณ tewada ดูโพสต์
    สมุฐานที่มีผลต่อกายเวทนาก้มี กรรม จิต อุตุ อาหาร อย่าไปโทษกรรมอย่างเดียวแล้วอภิธรรมกับพระสูตก้ต่องมีความเห้นไปในทางเดียวกันไม่ขัดแย้งกัน
    น่าจะบอกวิธีไม่ให้กรรมดีถูกกรรมชัวตัดรอนจะดีมากๆ
     
  9. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:

    ดูสมบัติ 4 ประกอบกันนะครับ
    http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=177




    เดฟ
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดย D E V : 01-28-2016 เมื่อ 08:01 AM

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  10. ponchario said:
    สาธุธรรมครับคุณ DEV ที่ช่วยให้ความกระจ่าง นึกไม่ถึงว่าคุณ dev จะมีอารมณ์สุนทรีย์ไปกับผมด้วย 555
    แต่อ่านสำนวนของคุณ dev แล้วผมต้องม้วนเสื่อกลับบ้านไปเลย hat off to you..
    จากการสนทนาทั้งหมด ทำให้ผมนึกถึงคำสอนของท่านพุทธทาสได้คร่าวๆขึ้นมา ท่านปรารภว่า ถ้าจะมาถามว่าเวลาเราเจ็บป่วยโน่นนี่ เราไปทำกรรมอะไรมา
    ก็อย่าไปเสียเวลาหาคำตอบเลย ถ้าจะตอบก็ตอบได้เพียงว่า กรรมที่มาเกิดเป็นมนุษย์ นั่นแหละ ซึ่งมันก็จะได้อัตภาพร่างกายมา ที่พร้อมจะได้รับผลกระทบจากความเจ็บ
    ความไข้ตามมา ถ้าไม่อยากเจ็บป่วยก็อย่ามาเกิด หรือทำความเกิดให้จบสิ้นไปเสีย.... ดูเหมือนคำสอนท่านจะเข้ากันได้กับพระอภิธรรมได้ดีเลย
    ...ขอบคุณอีกครั้งสำหรับการสละเวลาให้คำอธิบายอย่างละเอียด ถ้ามีปัญหาอะไรเพิ่มเติมจะแวะเวียนมาถามใหม่นะครับ ... อนุโมทนา