ชื่อมีผลกับชีวิตไหมค่ะ

กระทู้: ชื่อมีผลกับชีวิตไหมค่ะ

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. ภัคภร said:

    ชื่อมีผลกับชีวิตไหมค่ะ

    ดิฉันเกิดวัน พฤหัสบดี เดือน มกราคม พ.ศ.๒๕๒๐ คือดิฉันเปลี่ยนชื่อมาสองครั้งแล้วไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้นเลย ชื่อแลกเกิด วิยดา อุปาสโภ พอดิฉันมีสามีก็เปลี่ยนชื่อเป็น สุพิชชา มุ่งเจริญ แล้วพอดิฉ้นเลิกกับสามี มีอาจารย์ท่านหนึ่งบอกดิฉันว่า ชื่อ สุพิชชา มุ่งเจริญไม่ดี ให้เปลี่ยนเป็น ชื่อ ภัคภร อุปาสโภ พอดิฉันเปลี่ยนก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้นหนำซ้ำแย่กว่าเดิมอีก แถมเวลาสมัครงานก็ต้องเตรียมเอกสารเยอะกว่าเก่า ดิฉันเลยอยากเปลี่ยนไปใช้ชื่อแลกเกิดที่พ่อแม่ตั้งให้ อาจารย์คิดว่าดีไหมค่ะ (ชื่อมีผลกับชีวิตจริงไหมค่ะ)
     
  2. Admax said:
    โดยส่วนตัวผมเองก็เปลี่ยนชื่อมาครับ มีคนทักว่าชื่อพ่อแม่ตั้งให้มันมีกาลกิณีเยอะ ทำให้ชีวิตลำบากยากแค้นให้เปลี่ยนชื่อเสีย พอเปลี่ยนปุ๊บผมก็ยังเหมือนเดิม มีชีวิตเหมือนเดิมแถมฉิบหายขึ้นด้วยซ้ำ ขนาดตอนเปลี่ยนได้ถือขันธ์ ๕ ไหว้ขอขมา เตี่ย แม่ ลูก เมีย มันก็ยังเหมือนเดิมแถมซ้ำร้ายกว่าเดิมด้วย

    ดังนั้นการเปลี่ยนชื่อมันเป็นเพียงแค่ความเชื่อในศาสตร์ เป็นที่ยึดเหนี่ยวอย่างหนึ่ง โดยไม่ได้มีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ที่สอนธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ มันเป็นเพียงความเชื่อยึดมั่นของคนที่เอาสุขไปผูกขึ้นไว้กับสิ่งไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน เพราะเข้าไปปารถนาเอาสิ่งไม่เที่ยง ไม่มีตัวตนจึงเป็นทุกข์ ให้เปลี่ยนร้อยชื่อพันชื่อคนๆเดิมมันก็เหมือนเดิมแกหละไม่เปลี่ยน แต่หากเอาชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้แล้วดำรงอยู่ในธรรมอันพระพุทธเจ้าตรัสสอนเพื่อเป็นทางออกจากทุกข์ไว่้ดีแล้วนั้น ย่อมประเสริฐสุด พ่อแม่กว่าจะตั้งชื่อให้ลูกได้ต้องคิดแล้วคิดอีกหาแล้วหาอีกที่ดีงามแก่ลูก ผมเป็นพ่อ ผมรู้ดี

    จนมีปีนี้เมื่อไม่นานมานี้แหละ ผมไปหาครูผมทำบุญตามปกติ เขียนใลปวารณาถวายท่าน ท่านเป็นพระป่าลูกศิษย์ ท่านพ่อลี ธัมมธโร ครูผมคือ หลวงปู่บุญกู้ อนุวัฑฒโน ท่านดูชื่อผมท่านทักเลยไปเปลี่ยนชื่อมาใช่มั้ย ชื่อพ่อชื่อแม่ตั้งให้มันดีอยู่แล้ว ประเสริฐีที่สุด ให้เป็นร้อยชื่อแต่เราไม่มี ศีล ทาน ภาวนา ไม่ทำเหตุให้ดีอันเป็นกำลังให้ มรรค ผล นิพพาน มันจะไปดีได้ไง เมื่อชีวิตเจอปัญหาท่านสอนให้ใช้ปัญญาแก้ไข ใช้ปัญญาให้มาก การเชื่อให้เชื่อด้วยปัญญา สาวกในธรรมวินัยนี้อันมีพระพุทธเจ้าเป็นพระศาสดา มีแต่คนฉลาด เพราะไม่มีใครเชื่อด้วยความเชื่อตามๆกันมา ท่านให้เชื่อด้วยปัญญา พิจารณาไตร่ตรองเหตุและผล ไม่ถือเอาต้นไม้เป็นสรณะ ไม่ถือเอาสิ่งที่ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์สุขอันพ้นจากกองทุกข์และความเบียดเบียนตนเองกรือผู้อื่นเป็นสระ ผมนี่สะอึกเลย 555






    ทีนี้มามองดูว่า คุณเปลี่ยนชื่อใหม่มาแล้ว ชีวิตคุณดีขึ้นไหม คุณยังเป็นคนเดิมไหม ต่างกับชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ไหม

    - ถ้ามันไม่ต่างกันยังมีชีวิตเหมือนเดิมเหมือนที่พ่อแม่ตั้งให้ คุณก็ลองหวนระลึกดูว่า การเปลี่ยนชื่อนี้ มันทำให้จิตใจคุณเปลี่ยนไหม ไม่ยึดจับเอาความอยากในสิ่งที่ปรนเปรอตน ไม่ยึดจับเอาความความโลภ ไม่ยึดจับเอาความคิดใคร่สิ่งไรๆ ไม่ยึดจับเอาความกระสันกำหนัด ไม่ยึดจับเอาความเงี่ยน ไม่ยึดจับเอาความโกรธไม่ผูกเวรใคร ไม่ผูกแค้นพยาบาทใคร ไม่ลุ่มหลงมึนเมา แต่ดำรงอยู่ด้วยความรู้ตัวในปัจจุบันขณะ ความระลึกรู้ทันความรู้สึกนึกคิดทั้งปวง แล้วไม่เสพย์อกุศลธรรมอันลามกไหม สรุปก็ยังเป็นเหมือนเดิม ยังมีรัก โลภ โกรธ หลง เหมือนเดิมใช่ไหมครับแล้วเหตุนั้นที่ทำให้ชีวิตคุณลำบากมันมาจากอะไร การทำไว้ในใจของคุณเองใช่ไหมครับ ทุกข์มันก็ทุกข์เพราะอารมณ์ความตรึกนึกคิดที่มันเต็มไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลงนี้ใช่ไหมครับ ยิ่งมีมากก็ยิ่งทุกข์มาก ลุ่มหลงเอาจิตไปผูกขึ้นไว้กับสิ่งที่ตนรัก โลภ โกรธ หลงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งกระวนกระวายระส่ำเป็นทุกข์มาเท่านั้นใช่ไหมครับ
    เมื่อรู้ดังนี้แล้ว คุณควรจะเปลี่ยนที่ใดก่อน คงรู้ใช่ไหมครับ..ก็เปลี่ยนที่กายและใจตนเองนี่ใช่ไหมครับ ทำ ศีล ทาน ภาวนาให้มากท่านเรียกทำเหตุสะสม ไม่ต้องไปหวังผล ให้ระลึกว่าขอแค่ได้ทำก็พอแล้ว บางคนทำดีแค่วันสองวัน 1 เดือน 1 ปี แล้วก็มาบ่นว่าทำไมไม่ดีขึ้นเลย ถ้าวิบากกรรมเราเยอะทำเพียงเท่านี้มันจะดีขึ้นได้ยังไง เอาน้ำเพียงหยดเดียวไปล้างเกลือที่เต็มแก้วแล้วแก้วนั้นมันจะเลิกเค็มเพราะเกลือได้ยังไง บางท่านทำมานับอสงไขย นับชาติ ทำมาตลอดชีวิตตั้งแต่จำความได้ ดังนั้นอย่าท้อทำดีในศีล ทาน ภาวนา

    เรื่องบุญบาปและเหตุที่ต้องทำดีอ่านเพิ่มเติมตรงนี้ได้ครับ http://www.watkoh.com/board/showthre...B8%B8%E0%B8%8D


    - ถ้ามันต่างกันมีชีวิตที่ดีขึ้น คุณก็ทำต่อไป ถ้ามันดีขึ้นโดยไม่เบียดเบียนทำร้ายตนเองและผู้อื่น เป็นที่สบายกายและใจคุณ..ก็ทำต่อไปครับ ไม่มีข้อธรรมอันใดห้าม


    ใช้ปัญญาพิจารณาเอานะครับว่าคุณควรจะทำสิ่งใดยังไงต่อไป เพราะไม่มีใครลิขิตชีวิตคุณได้ว่าจะเป็นคนแบบไหนดีหรือร้ายแม้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ว่าเราจะต้องเจอเรื่องร้ายๆ ดีบ้างร้ายบ้างก็ตาม คุณต้องเลือกทำเองครับ ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ยั่งยืนนานในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะบังคับให้เป้นไปดั่งใจได้ แม้แต่ กายและใจเราเอง แล้วจะไปเอาอะไรกับภายนอกที่ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตนได้เล่า



    ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
    ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
    รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
    การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ
     
  3. Admax said:
    หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านเจ้าของกระทู้ได้นะครับ
    ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
    ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
    รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
    การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ
     
  4. Admax said:
    ลืมบอกไปอย่างซึ่งสำคัญมาก เพราะเมื่อกี๊ทำงานเลยรีบ Save

    ที่ผมอธิบายตอบกระทู้ยาวๆนี้เพื่อให้ท่านเจ้าของกระทู้ได้พิจารณาด้วยเหตุและผลตามจริง เกิดปัญญาด้วยตนเอง หากตอบสั้นๆแค่ว่า ดี ไม่ดี หรือพูดแค่ปลงๆมันเสียแล้วถือศีล ทาน ภาวนาเท่านั้น อย่างนี้ท่านก็คงจะไม่รู้เหตุผลว่าเพราะอะไรจึงกล่าวเช่นนั้น จึงได้นำคำสอนของพระศาสดา พระออรหันต์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายมาเทียบให้เห็นเหตุปละผล เพื่อความกระจ่างแก่ตัวท่านเจ้าของกระทู้เอง และสามารถทวนอ่านพิจารณาได้ทุกเมื่อ เพราะผมไม่ใช่พระอริยะเจ้า ถ้าจะกล่าวโดยย่อไปแล้วทำให้ท่านเจ้าของกระทู้เข้าใจผิดๆบิดเบือนพระธรรมของพระศาสดาผมจะกรรมหนัก

    คนเราไม่สามารถเปลี่ยนชะตากรรมชีวิตได้ว่าจะเจออะไร ดีหรือร้าย แม้แต่พระศาสดาก็ยังต้องเจอทั้งเรื่องดีเรื่องร้าย คนหมายชีวิต หมายทำร้ายให้ฉิบหาย เจอเรื่องราวแย่ๆ ไม่ใช่ว่าจะเจอเรื่องที่ดีงามทั้งหมด แต่พระศาสดาทรงได้อบรมกาย วาจา ใจ มาดีแล้ว จนถึงความหลุดพ้นจากกองทุกข์ ไม่ยินดียินร้ายในสิ่งใดๆในโลกอีก จึงไม่มีสิ่งใดๆใน ๓ โลกนี้จะทำให้พระองค์ถูกความทุกข์หยั่งเอาได้ การเปลี่ยนชีวิต อยู่ในวังที่เป็นบรมสุข พระบิดาทรงเปลี่ยนพระนามให้จากอังคีรสเป็นเจ้าชายสิทธัทถะ พระองค์ก็ยังทรงเจอทุกข์แล้วออกบวชอยู่ดี ดังนั้นแล้วคนเราทุกคนต้องเจออยู่ ๓ สิ่ง ไม่ว่าจะเป็นใครใดๆในโลกนี้ นั่นคือ สุข ทุกข์ เฉยๆ ไม่มีใครล่วงพ้นสิ่งนี้ไปได้ เว้นเสียแต่ประพฤติตามทางที่พระศาสดาตรัสสอนไว้เพื่ออกจากทุกข์ ด้วยเหตุดังนี้เมื่อเจอสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี ไม่สุชไม่ทุกข์หรือเฉยๆก็ดี ก็ไม่ถูกทุกข์หยั่งกายใจได้ จะสมหวังปารถนา ผิดหวัง พรักพรากจากบุคคลหรือสิ่งของอันเป็นที่รักที่พอใจไป ประสบพบเจอสิ่งอันไม่เป็นที่รักที่จำเริญใจทั้งหลาย ก็ไม่เสพย์อกุศลธรรมอันเป็นกิ่งก้านทุกข์ และทำการขุดรากต้นทุกข์ออกได้ การเปลี่ยนชื่อนี้อาจจะเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจ แต่ตัวเลข 14 41 54 105 104 มันก็แค่ตัวเลข ชื่อเป็นสิ่งที่บัญญัติขึ้นมาให้เรารู้จักนาม(ชื่อ)ที่ใช้เรียกแทนตนเอง พ่อแม่ย่อมสรรหาสิ่งที่ดีงามให้ลูกทุกคนอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นท่านคงเอาขี้เถ้ายัดปากคุณตายตั้งแต่คลอดออกมาแล้ว พระท่านจึงสอนว่าให้ คิดดี พูดดี ทำดี สะสมเหตุทำศีล ทาน ภาวนาไว้เสมอๆ ลองพิจารณาม้างกายเราออกดูนะครับ

    เอาเส้นผมที่ร่วงหล่นของคุณขึ้นมาดูสิว่า
    เกศา คือ เส้นผมนี้หรือที่เป็นคุณ
    คุณนั้นหรือที่เป็นเส้นผมเส้นนี้ๆ
    หากคุณเป็นเส้นผมเส้นนี้..เมื่อมันร่วงออกมาจากร่างกายคุณแล้วทำไมคุณยังไม่ตายตามมันไปด้วย เอามันไปเผาไฟคุณก็ไม่ยังปวดแสบปวดร้อนตามมันไป เอามันไปตัดเป็นเสี่ยงๆตึณก็ไม่แสบปวดถูกตัดขาดตามมันไป แล้วจะเอาสิ่งใดมาพูดได้ว่าผมนั้นเป็นคุณ เส้นผมนั้นเป็นของคุณ
    ทีนี้เส้นผมทั้งหมดบนหัวคุณมันมีคุณในนั้นไหม ก็ไม่มีเลยใช่มั้ยครับ เราไม่มีในนั้น
    เมื่อคุณถอดอาการทั้ง ๓๒ ประการออกมา ผม ขน เล็บ ฟัน หนังเป็นต้น ออกมากองๆอยู่เบื้องหน้า มันมีสิ่งใดที่เป็นคุณ มีคุณในนั้นไหม ใช่ตัวตนของคุณไหม

    ผมหรือที่เป็น วิยดา อุปาสโภ
    ขนหรือที่เป็น สุพิชชา มุ่งเจริญ
    เล็บหรือที่เป็น ภัคภร อุปาสโภ

    ก็ไม่มีสิ่งใดที่เป็นนั้นเป็นนี่ เป็นเรา เป็นใคร ชื่อนั้นชื่อนี้ใช่ไหมครับ ไม่มีชื่อเหล่าใดในสิ่งนั้นๆเลย เราจึงไม่มีในสิ่งนั้น สิ่งนั้นไม่มีเรา


    อวัยวะทั้ง ๓๒ ประการนี้แม้หลุดขาดหรือถอดออกเอาของเทียมใส่แทนคุณก็ยังไม่ตายใช่ไหมครับ สมองเทียม กหัวใจเทียม แขนเทียม ขาเทียม ตัดลำไส้ออก ปอด ไต คุณก็ยังไม่ตายใช่ไหมครับ คุณเห็นมันมีคุณในนั้นไหม ในนั้นไม่มีคุณเลย เมื่อถอดออกมากองๆเป็นกองปฏิกูลสิ่งนั้นๆก็ไม่มีในเราใช่ไหมครับ นี่ขนาดอวัยวะน้อยใหญ่ อาการทั้ง ๓๒ ประการในกายคุณแท้ๆยังไม่ใช่คุณ ไม่ใช่ตัวตน คุณไม่ใช่มัน เราไม่มีในสิ่งนั้น สิ่งนั้นไม่มีใจเรา เราไม่ใช่สิ่งนั้น สิ่งนั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา แล้วทีนี้คุณจะไปยึดอะไรกับชื่อที่เป็นแค่คำนามใช้เรียกให้เข้าใจตรงกันว่านี่เป็นใครๆได้เล่า ขนาดร่างกายตนเองยังถือว่าเป็นตนเป็นของตนไม่ได้เลย เพราะอาศัยอาการทั้ง ๓๒ ประการนั้นแหละมารวมๆเอาเข้าร่วมกันไว้แล้วมีหนังหุ้มเป็นที่สุดรอบจึงได้ชื่อว่าเป็นคุณ เป็นเขา เป็นใคร เป็น วิยดา สุพิชชา ภัคพร

    ลองพิจารณาตามพระนาคเสนท่านตอบปัญหาพระเจ้ามิลินดูนะครับ http://www.dharma-gateway.com/dhamma/dhamma-25-01.htm

    กายนี้เราได้มาจากพ่อแม่ให้มา ก่อนหน้านี้ดวงจิตคุณไปเกิดเป็นสัตว์ เป็นคน เป็นเทวดา เป็นสัตว์นรก เป็นเทพธิดา เป็นมหาเทพ เป็นสัตว์เดรัจฉาน มาไม่รู้มากน้อยเท่าได้ ไม่รู้นับกี่อสงไขย เมื่อเกิดมาชาตินี้นี้คุณก็อาศัยร่างกายจากดินของแม่จากน้ำของพ่อ เคี่ยวด้วยไฟของแม่ออกมาเป็นน้ำหยดหนึ่งขึ้นมาเป็นรูปร่างเป็นตัวคุณ มีพ่อและแม่เป็นคนตั้งคำนามที่เรียกว่าชื่อเพื่อเรียกบุตรที่มีเลือดเนื้อของท่านว่าชื่อนั้นชื่อนี้ให้เข้าใจตรงกัน ซึ่งท่านก็ย่อมหาชื่อที่ดีงามมาเรียกก้อนเลือดก้อนเนื้อที่ออกจากกายท่าน เกิดแต่ท่านทั้งสองคนอยู่แล้ว คอยเลี้ยงดูฟุมฟักด้วยความรักใคร่เมตตาประดุจพรหมของลูก บางที่ท่านว่าเป็นพระอรหันต์ในบ้าน ท่านยอมอดเพื่อให้ลูกอ่ม เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้ เป็นครูคนแรกที่สอนเรา แล้วคุณก็อาศัยกายที่พ่อแม่ให้มานี้ดำรงชีพอยู่จนทุกวันนี้เท่านั้น แต่เมื่อตายคุณก็ไม่อยู่ในกายนี้แล้ว คุณนั่นแหละที่เป็นอนัตตา คือ ไม่มีตัวตนต่อกายนี้ เมื่อคุณเหลือเพียงดวงจิตกายนี้ก็เป็นเพียงอนัตตาต่อคุณแล้ว แล้วจะเอาอะไรกับสิ่งไม่เที่ยงไม่มีตัวตนได้เล่า

    ทำคุณประโยชน์ให้พ่อแม่ให้มากที่ท่านมองร่างกายเลือดเนื้อให้เรา เลี้ยงดูเราเช็ดขี้ เช็ดเยี่ยวให้มาตั้งแต่เกิดไม่ดีกว่าหรือ มัวไปหวังอยากได้เงินบ้าง สามีหล่อๆบ้าง เป็นที่รักของคนทั้งหลายบ้าง ครอบครัวที่ดีบ้าง จึงเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนแล้วมันมีอะไรได้ดังใจทั้งหมดไหมล่ะ มันก็ไม่เปลี่ยนแปลงชีวิตคุณให้เป้นไปตามต้องการทั้งหมดเลยใช่ไหมครับ ยังต้องเจอสิ่งที่รัก ที่ชัง ที่เฉย ผิดหวัง สมหวัง เจอสิ่งที่ไม่รักไม่พอใจ เจอสิ่งที่จำเริญใจ แล้วก็มีความพรัดพรากเป็นที่สุด หลีกเลี่ยงไม่ได้ใช่ไหมครับ ในชีวิตทุกวันๆคุณต้องเจออย่างนี้ทุกวันใช่ไหมครับตั้งแต่จำความได้จนถึงตอนนี้ ดังนั้นควรชินกับมันได้แล้ววางเฉยกับมันเสียมันเป้นสัจจะในโลก

    หากอยากจะให้ชีวิตดีขึ้นให้กราบ ๕ ครั้งทุกวัน

    ครั้งที่หนึ่ง ระลึกถึงพระพุทธเจ้า
    ครั้งที่สอง ระลึกถึงพระธรรม
    ครั้งที่สาม ระลึกถึงพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า
    ครั้งที่สี่ ระลึกถึงคุณของบิดา มารดา บุพการี
    ครั้งที่ห้า ระลึกถึงคุณครูบาอาจารย์ผู้ประสิทธิวิชาทั้งทางธรรมและทางโลกให้


    สิ่งทั้งปวงผมผ่านพ้นมาก่อนและสัมผัสมาแล้วจึงแบ่งปันต่อครับ
    ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
    ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
    รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
    การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ
     
  5. tewada said:
    อรรถกถา นามสิทธิชาดกว่าด้วย ชื่อไม่เป็นของสำคัญ

    พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้หวังความสำเร็จโดยชื่อ รูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า ชีวกญฺจ มตํ ทิสฺวา ดังนี้.
    ได้ยินว่า กุลบุตรผู้หนึ่ง โดยนามชื่อว่า ปาปกะ บวชถวายชีวิตในพระศาสนา เมื่อถูกพวกภิกษุเรียกว่า มาเถิดอาวุโส ปาปกะ หยุดเถิดอาวุโส ปาปกะ ก็คิดว่า ในโลกผู้ที่มีชื่อว่า ปาปกะ เขากล่าวกันว่า ลามกเป็นตัวกาฬกรรณี เราต้องให้พระอุปัชฌาย์อาจารย์หาชื่อ ที่ประกอบไปด้วยมงคลอย่างอื่น เธอเข้าไปหาอุปัชฌาย์อาจารย์ กราบเรียนว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ชื่อของผมเป็นอัปมงคล กรุณาตั้งชื่ออย่างอื่นให้กระผมเถิด. ครั้งนั้น อาจารย์และอุปัชฌาย์ ก็กล่าวกะเธออย่างนี้ว่า ชื่อเป็นเพียงบัญญัติสำหรับเรียกกัน ขึ้นชื่อว่าความสำเร็จประโยชน์ไรๆ มิได้มีเพราะชื่อเลย เธอจงพอใจชื่อของตนนั้นเถิด. เธอคงยังอ้อนวอนอยู่ร่ำไป ความที่เธอมุ่งความสำเร็จโดยชื่อนี้ เกิดแพร่หลายกระจายไปในสงฆ์.
    อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งประชุมกันในธรรมสภา ตั้งเรื่องสนทนากันว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ได้ยินว่า ภิกษุโน้นมุ่งความสำเร็จโดยชื่อ ขอให้ช่วยหาชื่อที่เป็นมงคลให้ พระบรมศาสดาเสด็จมาสู่ธรรมสภา ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร.
    เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน เธอก็มุ่งความสำเร็จเพราะชื่อเหมือนกัน แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
    ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ บอกมนต์กะมาณพ ๕๐๐ ในพระนครตักกสิลา มาณพผู้หนึ่งของท่าน ชื่อ ปาปกะ โดยนาม ถูกเขาเรียกอยู่ว่า มาเถิดปาปกะ ไปเถิดปาปกะ คิดว่า ชื่อของเราเป็นอัปมงคล ต้องขอให้อาจารย์ตั้งชื่ออื่นให้ใหม่ เขาไปหาอาจารย์ เรียนว่า ท่านอาจารย์ขอรับ ชื่อของกระผมเป็นอัปมงคล โปรดตั้งชื่ออย่างอื่นให้เถิดขอรับ ครั้งนั้น อาจารย์ได้กล่าวกะเขาว่า ไปเถิดพ่อ เจ้าจงเที่ยวไปตามชนบทแล้ว กำหนดเอาชื่อที่เป็นมงคล ชื่อหนึ่งที่ตนชอบใจอย่างยิ่งแล้วมา เราจักเปลี่ยนชื่อของเจ้าเป็นชื่ออย่างอื่น. เขารับคำว่า ดีแล้ว ขอรับ ถือเอาเสบียงออกเดินทางไปท่องเที่ยวไปตามคามนิคมชนบท ลุถึงนครแห่งหนึ่ง
    ในพระนครนั้นแหละ มีบุรุษผู้หนึ่ง ชื่อว่า ชีวกะ (บุญรอด) โดยนาม ตายลง เห็นหมู่ญาติกำลังหามเขาไปสู่ป่าช้า จึงถามว่า ชายผู้นี้ชื่ออะไร? หมู่ญาติตอบว่า จะชื่อว่า ชีวกะ(บุญรอด) ก็ดี อชีวก(ไม่รอดก็ดี) ก็ตายทั้งนั้น ชื่อเป็นเพียงบัญญัติสำหรับเรียกกัน เจ้านี่ เห็นจะโง่กระมัง. เขาฟังคำนั้นแล้วมีความรู้สึกเฉยๆ ในเรื่องชื่อ เดินทางกลับเข้าเมืองของตน.
    ครั้งนั้น พวกนายทุนกำลังจับนางทาสีผู้หนึ่งซึ่งไม่ให้ดอกเบี้ยให้นั่งที่ประตู เฆี่ยนด้วยเชือก และนางทาสีผู้นั้นก็มีชื่อว่า ธนปาลี(คนมีทรัพย์) เขาเดินเรื่อยไปตามท้องถนน เห็นนางถูกเฆี่ยน ก็ถามว่า มันไม่ยอมให้ดอกเบี้ย เขาถามว่า ก็นางมีชื่ออย่างไรเล่า? พวกนายทุนตอบว่า นางชื่อ ธนปาลี(คนมีทรัพย์). เขาถามว่า แม้จะมีชื่อธนปาลี โดยนาม ก็ยังไม่อาจให้เงินแค่ดอกเบี้ยหรือ? พวกนายทุนตอบว่า จะชื่อธนปาลี คนรวยก็ดี จะชื่ออธนปาลี คนจนก็ดี เป็นคนเข็ญใจได้ทั้งนั้น ชื่อเป็นเพียงบัญญัติสำหรับเรียกกัน เจ้านี่เห็นจะโง่แน่. เขายิ่งรู้สึกเฉยๆ ในเรื่องชื่อยิ่งขึ้น เดินออกจากเมืองไปตามทาง
    ในระหว่างทางพบคนหลงทาง ถามว่า ผู้เป็นเจ้าเที่ยวทำอะไรอยู่เล่า? เขาตอบว่า ข้าพเจ้าหลงทางเสียแล้ว เขาย้อนถามว่า ก็คุณชื่อไรเล่า? เขาตอบว่า ข้าพเจ้าชื่อ ปันถกะ(ผู้เจนทาง) เขาถามว่า ขนาดชื่อปันถกะ ยังหลงทางอีกหรือ? คนหลงทางกล่าวว่า จะชื่อปันถกะ(ชำนาญทาง) หรือชื่ออปันถกะ (ไม่ชำนาญทาง) ก็มีโอกาสหลงทางได้เท่ากัน ชื่อเป็นบัญญัติสำหรับเรียกกัน ก็ท่านเองเห็นจะโง่แน่. เขาเลยวางเฉยในเรื่องชื่อ ไปสู่สำนักของพระโพธิสัตว์.
    ครั้นพระโพธิสัตว์ถามว่า อย่างไรเล่า พ่อคุณ เจ้าได้ชื่อที่ถูกในมาแล้วหรือ? ก็เรียนท่านว่า ท่านอาจารย์ขอรับ
    ธรรมดา คนเราถึงจะชื่อว่าชีวก แม้จะชื่ออชีวก คงตายเท่ากัน
    ถึงจะชื่อ ธนปาลี แม้จะชื่อ อธนปาลี ก็เป็นทุคคตะได้ทั้งนั้น
    ถึงจะชื่อปันถกะ แม้จะชื่ออปันถกะ ก็หลงทางได้เหมือนกัน
    ชื่อเป็นเพียงบัญญัติสำหรับเรียกกัน ความสำเร็จเพราะชื่อมิได้มีเลย ความสำเร็จมีได้เพราะการกระทำเท่านั้น พอกันทีเรื่องชื่อสำหรับกระผม กระผมขอใช้ชื่อเดิมนั่นแหละต่อไป. พระโพธิสัตว์เทียบเคียงเรื่องที่เขาเห็น และกรรมที่เขากระทำ แล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า :-

    "เพราะเห็นคนชื่อชีวกะตาย นางธนปาลีตกยาก นายปันถกะหลงทางในป่า เจ้าปาปกะจึงกลับมา" ดังนี้.

    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุนราคโต ความว่า เพราะเห็นเหตุ ๓ อย่างเหล่านี้ จึงหวนกลับมา ร อักษร ท่านกล่าวไว้ด้วยอำนาจแห่งสนธิ.

    พระบรมศาสดาทรงนำอดีตนิทานนี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในปางก่อน เธอก็มุ่งความสำเร็จ เพราะชื่อมาแล้วเหมือนกัน
    แล้วทรงประชุมชาดกว่า
    มาณพผู้มุ่งความสำเร็จเพราะชื่อในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุผู้มุ่งความสำเร็จเพราะชื่อในบัดนี้
    บริษัทของอาจารย์ได้มาเป็น พุทธบริษัท
    ส่วนอาจารย์ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.