จิตกับสมอง

กระทู้: จิตกับสมอง

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. Peerawit said:

    จิตกับสมอง

    สวัสดีค่ะ อ.เดฟ
    ไม่ได้เข้ามาที่วัดนานแล้วแต่ละลึกถึง อ.เดฟเสมอค่ะ
    วันนี้มีคำถาม เรื่องจิตกับสมอง
    การฝึกสติปัฏฐานไปเรื่อยๆจนสติเกิดอัตโนมัติแล้วสมมุติว่าถึงวันนึงถ้าร่างกายเราป่วยหรือสมองเสื่อม สติฟั่นเฟือน ถึงวันนั้น สภาพจิตที่จะเกิดขึ้นจะเกิดขึ้นตามความเคยชินในการสั่งสมมาใช่หรือไม่คะ จะไม่ก่อบาปกรรมที่เป็นอกุศลเพราะสภาพจิตที่สั่งสมมาส่วนใหญ่คือจิตที่เป็นกุศล

    ขอบพระคุณค่ะ
     
  2. Peerawit said:
    แล้วก็ต้องขอบคุณ อ.เดฟ สำหรับของขวัญปีใหม่ที่ส่งมาให้ทุกปี ภวนาไม่คุ้มค่าของขวัญเลยค่ะ 555
     
  3. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:
    .
    สวัสดีครับ คุณ Peerawit
    ดีใจที่ยังไม่ลืม และแวะมาเยี่ยมเยียนวัดเกาะฯ นะครับ

    ตามปรกติแล้ว ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น มีสภาพจิตใจอย่างไรๆ
    ก็มักจะโน้มนำไปตามที่แต่ละคนสั่งสมมาจนเป็นอุปนิสัยน่ะครับ
    ผู้ที่สั่งสมกุศลจิตมาก กุศลจิตก็มีโอกาสเกิดได้มาก
    ถ้าเป็นสติปัฏฐาน ซึ่งเป็นกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญา
    ก็ยิ่งต้องสั่งสมอบรมบ่อยๆ เนืองๆ
    ส่วนผู้ที่สั่งสมอกุสลจิตมาก อกุศลจิตก็มีโอกาสเกิดได้มาก

    กรณีที่มีสภาพผิดปรกติไป เช่น วิกลจริต ฟั่นเฟือน หลงๆ ลืมๆ
    เป็นสภาพของโมหมูลจิตที่เกิดขึ้นมาก
    ซึ่งก็เอื้อต่อการที่โลภมูลจิต โทสมูลจิต จะเกิดตามมาได้มาก

    อกุศลจิตที่เกิดขึ้นนั้น
    ยังไม่ถึงขั้นกระทำอกุศลกรรม หรือถึงขั้นกระทำอกุศลกรรม
    ก็ต้องแล้วแต่กำลังของอกุศลจิตนั้นน่ะครับ
    อย่างเช่น คนที่ฟั่นเฟือน หรือหลงๆ ลืมๆ
    แต่ยังสามารถขยับเคลื่อนไหวได้เป็นปรกติ ก็อาจจะตบยุงได้
    นี่ก็เป็นอกุศลกรรมประการหนึ่งแล้วใช่มั้ยครับ

    แล้วกุศลจิตมีโอกาสเกิดแทรกสลับได้บ้างมั้ย?
    ก็มีโอกาสเกิดได้ครับ แต่จะเกิดหรือไม่เกิด
    เกิดมากหรือเกิดน้อย เกิดบ่อยหรือไม่บ่อย ก็ตามแต่ละบุคคล
    เพราะเราทุกคนสั่งสมกันมาทั้งกุศลจิตและอกุศลจิต
    สุดแท้แต่อย่างไหนจะเกิดบ่อยมากกว่ากันน่ะครับ




    เดฟ

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  4. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:
    .
    เคยมีประเด็นสนทนาเรื่อง สมองกับจิต ในกระทู้ก่อนๆ
    หากสนใจก็ลองดูรายละเอียดเพิ่มเติมตามลิงค์ที่ให้นี้นะครับ

    สมองกับจิต
    http://www.watkoh.com/board/showthread.php?2737



    เดฟ
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดย D E V : 04-08-2016 เมื่อ 08:03 AM

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  5. Peerawit said:
    ขอบคุณมากค่ะ
     
  6. Peerawit said:
    ขอบคุณ อ.เดฟมากค่ะ จะกี่ปีก็ตอบคำถามเหมือนนั่งอยู่ในใจเสมอ กลับไปอ่านกระทู้เก่าๆ 5 ปีได้แล้ว อ.เดฟก็ยังอยู่ที่เดิมถ้ามาแล้วไม่เจอก็ไม่รู้จะไปหาที่ไหน อิอิ ลูกชายโตจะพาเข้ามาเที่ยววัดนะคะ
    1. คิดจะฝากเป็นฝากตายกับการฝึกสติปัฏฐานในปัจจุบันเนี่ยค่ะ หวังว่าวันที่ร่างกายหรือสมองไม่ปรกติ ยังคงเหลือจิตที่จำสภาวะได้ เกิด สติ สมาธิ เกิดการปล่อยวางบ้างก็ยังดี
    2. เห็นคนป่วยสมองเสื่อม เห็นสภาพจิตร้อนร้น ยึดติด อิงอาศัยสิ่งภายนอก มันไม่สงบเลย ก็พยายามช่วยเค้า สอนให้ปล่อยวาง ทำสมาธิ สวดมนต์ แต่ใจเค้าไม่คุ้นชินเลย ก็ยากหน่อยเนาะ ขนาดฝึกให้สติเกิดเนืองๆยังยาก จะเปลี่ยนสภาพจิตคนอื่นคงยากกว่า
    3. เห็นสภาพคนป่วย เห็นสภาพจิตเค้าทำให้เห็นทุกข์เห็นโทษของอกุศลจิต แม้ไม่ก่ออกุศลกรรม แต่เพียงอกุศลจิตก็ก่อทุกข์เหลือคณานับ..
     
  7. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:
    .
    เผลอแป๊บเดียวลูกเป็นหนุ่มแล้ว....ยินดีด้วยนะครับ

    แม้ไม่อาจรู้ได้ว่าสิ่งดีหรือสิ่งร้ายจะเกิดขึ้นกับเราในอนาคต
    แต่สิ่งที่เราได้สั่งสมมาก็ไม่สูญหาย
    หากเราพยายามสั่งสมอกุศลให้น้อย...สั่งสมกุศลให้มาก
    สติปัฏฐานเจริญขึ้นบ่อยๆ เนืองๆ
    ก็เหมือนมีเสบียงติดตัวไว้น่ะครับ

    อนาคตย่อมมาจากปัจจุบัน
    ถ้าเราทำปัจจุบันให้ดี
    อนาคตก็ย่อมมีแนวโน้มไปในทางดีครับ




    เดฟ


    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  8. Admax said:
    สาธ สาธุ สาธุ

    พี่เดฟพูดมาดีแล้วถูกต้องแล้ว ผมขอย้ำคำพี่เดฟนิดนึงนะครับดังนี้ว่า..

    การที่เราฝึกอบรมจิตประจำ ท่านเรียกภาวนา แต่ฐานของภาวนา คือ ศีล และ ทาน อันมีจิตน้อมนำในพรหมวิหาร ๔ คลุมเป็นฐาน


    หลวงปู่บุญกู้ อนุวัฑฒโน ครูผมท่านสอนดังนี้ว่า..
    - ศีลนี่เป็นฐานของทุกสิ่งให้เป็นกุศลมีความไม่เบียดเบียนทางกายและวาจาต่อผู้อื่นสัตว์อื่น ศีลลงใจได้ก็ละไฟ คือ โทสะ..อันขุ่นข้องขัดเคืองมัวหมองจิตออกเสียได้
    - ทานนี้เป็นความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลสละแบ่งปันความสุขสำเร็จแก่ผู้อื่นสัตว์อื่นทำให้อิ่มใจไม่ต้องการแสวงหาไรๆอีก ทานลงใจก็ละไฟ คือโลภะ.ที่ถวิลหา แสวงหา ความติดใคร่ เพลิดเพลินบำเรอตนออกเสียได้
    - คนที่มีจิตใจดีเท่านั้นที่จะทำได้ การที่จิตใจดีนี้ก็ต้องมี พรหมวิหาร ๔ ลงใจ มีการอบรมจิตภาวนา เมื่อภาวนาลงใจให้จิตมีกำลังแล้วก็ละไฟ คือ โมหะ..อันเป็นความโง่ ลุ่มหลงในสิ่งไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน ไม่ใช่ตัวตนออกเสียได้

    ท่านจึงสอนเสมอๆว่าให้ทำเหตุให้ดี ทำสะสมเหตุไปเรื่อยๆพอทำประจำให้มากก็เป็นอุปนิสัย ก็เป็นจริตสันดานสถิตย์ในใจติดตามเราไปทุกๆชาติ ดังว่าจริตนี้เป็นวิบากติดมาแต่ชาติก่อนก็มี ปัจจุบันชาติจากการสะสมมากๆก็มี จนกลายเป็นบารมีแก่เรา ทำชั่วก็กลายเป็นบารมีชั่วเกิดชาติใดก็มีสันดานชั่ว ทำดีก็กลายเป็นบารมีดีเกิดชาติใดก็มีสันดานดี ดังนี้แล้วการทำเหตุนี้ๆจึงสำคัญมากก็เพื่อให้เป็นจริตสันดานแก่เราแม้ยังชีพครบบริบูรณ์อยู่หรือฟั่นเฟือน หรือตาย คิดดูสิครับขนาดบารมีจริตสันดานยังติดตามมาแต่ชาติก่อนๆได้ ชาติก่อนเกิดเป็นอะไร อยู่อย่างไรเราก็จำไม่ได้ใช่ไหม แต่ตัวเราเป็นอย่างนี้ปัจจุบันนี้เพราะจริตสะสมมาแต่ปางก่อนทั้งสิ้น ท่านเรียกวิบากกรรม วิบากจิต ส่งผลทั้งชาตินี้ชาติหน้า





    *** ซึ่งโดยส่วนตัวผมนั้นก็เจอแบบที่คุณคาดการณ์ไว้นี้เช่นกันครอบครัวผมมีพี่สาวคนที่ 5 เป็นคนดีประเสริฐมากๆ จิตใจดีดูแลเป็นเสาหลักของบ้านมาตลอด ทำงานตำแหน่งหน้าที่ดีเงินเดือนสูง เป็นคนมี ศีล ทาน ภาวนาดี จนมีวันนึงท่านขับรถเลิกงานตอนกลางคืนไปชนกับรถ 10 ล้อ ผ่าสมอง จนกลายเป็นสมองฟั่นเฟือน หลงลืม มีจิตใจคิดแต่ว่าจะมีคนคอยทำร้าย มีคนโกงเงินตน เพราะเมื่อก่อนมีคนโกงเงินโกงบ้านตอนสมัยเข้าโรงพยาบาลนับเดือนสองเดือน แกไม่ยอมกินยาแม่และพี่สาวก็แอบบดยาใส่ข้าวให้กินพอแกไปเห็นแล้วก็เลยเข้าใจว่าโดนวางยาบ้าง โมโหร้ายด่าทอแม่และพี่น้องว่ามีแต่คนจะปองร้ายแก แต่โดยจริตนิสัยของพี่สาวผมเป็นคนอบรมจิตมาดีแต่เดิม เขาผ่าสมองไมได้ทำงานได้เงินมาก็เลี้ยงดูพ่อแม่มาตคลอดจนถึงทุกวันนี้ทั้งๆที่ป่วยผ่าสมองแม้ไม่มีเงินและไม่ได้ทำงานก็ตามที และมักจะเข้าวัดทำบุญกรรมฐาน ถือศีล ๘ เวลาหาของไม่เจอหรือหลงลืมที่เก็บ ของหายเขาก็มีโวยวายด่าทอแม่และพี่สาวว่าแกล้งเอาไปซ่อนไปทิ้งบ้าง(อันนี้ฟั่นเฟือนจากเคยโดนคนอื่นโกงเงินและทรัพย์สิน พร้อมกับเคยเห็นแม่และพี่สาวบดยาเอาให้กิน) ทุกคนในบ้านรู้ก็ไม่ถือโกรธกลับสงสารและเสียดายคนดีๆอย่างพี่ผมคนนี้ด้วยซ้ำเพราะทำดีมาตลอด แต่เพราะกรรมเลยต้องมีสภาพแบบนี้เขาว่าคนดีมักเจออะไรแปลกๆตายแปลกบ้างเจอทุกข์มากๆบ้างเพื่อชดใช้กรรมเก่าให้สิ้นไป อารมณ์พี่สาวผมมีขึ้นมีลงมีลูกชายผมคนเดียวที่หยุดเขาได้ และพอพ่อแม่จะเป็นจะตายคนๆนี้ก็วิ่งดูคนแรกเสมอๆ พี่สาวทำศีล ทาน ภาวนา กินเจอยู่เป็นนิตย์นี่เป็นจริตสันดานของท่านแม้ฟั่นเฟือน ทำให้เห็นได้ว่าเมื่อทำเหตุให้ดีให้เป็นอุปนิสัย เป็นจริต สถิตย์ในสันดานได้แล้ว ยังไงก็ไม่เสื่อม แม้จะมีบางช่วงที่หลงลืมไปเพราะเราแค่ปุถุชนทรงไม่ได้เหมือนพระอริยะเจ้าท่าน ได้ขนาดนี้ก็สุดยอดแล้ว เอาแค่เราปกติธรรมดาอยู่นี้ยังไม่มีสัมปะชัญญะและสติก็บ่อยมากมายในทุกวันดังนั้นเมื่อฟั่นเฟือนยิ่งไม่ต้องพูดถึง พี่วสาวผมนี้ท่านอบรมปฏิบัติมาแต่เด็กแต่ก็แค่ปุถุชนเท่านั้นท่านจึงทำได้อย่างนี้





    ***หากเมื่อกลัวจะฟั่นเฟือนเช่นนี้ๆว่าตนจะเป็นบ้าแล้วทำอกุศลหรือเจริญสติมาแล้วเสื่อม ให้ทำสัญญา ๑๐ ให้เป็นสันดานแก่ตน ซึ่งสมัยพุทธกาลก็มีพระองหนึ่งซึ่งท่านพระคิริมานนท์เถระท่านป่วยหนักมากและกลัวฌาณเสื่อมบ้าง กลัวไม่ถึงพระนิพพานบ้าง ได้ฝากให้พระอานนท์เถระนำความไปทูลแก่พระผู้ทีพระภาคเจ้า พระบรมศาสดา จึงได้ตร้สสอนมาใน สัญญา ๑๐ นี้ ซึ่งผมก็เสียดายมากที่สมัยก่อนนี้ตอนพี่สาวผ่าสมองผมไม่รู้ธรรมไม่อาจแนะนำสิ่งนี้ให้ท่านได้ลองดูครับ

    http://www.nkgen.com/801.htm
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka...&A=2597&Z=2711
    http://www.buddhawisdom.info/assets/book/K8tuvn9T5K.pdf







    ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
    ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
    รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
    การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ
     
  9. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:

    คุณ Admax คอยแวะมาเยี่ยมเยียนอยู่เสมอ
    อนุโมทนาด้วยนะครับ



    เดฟ

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  10. Admax said:
    ขออนุโมทนาเช่นกันครับพี่
    ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
    ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
    รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
    การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ