เดฟ

กระทู้: เดฟ

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. tewada said:

    เดฟ

    อยากใด้พระสูตที่ว่าอภิญญาจิตเกิดขึ้นในมหากุศลจิตก็ใด้หรืออุเบกขาจิตก็ใด้หลังจากออกปันจมฌาน ที่คุยกันวันโน้นๆๆๆๆนะ
     
  2. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:
    สวัสดีครับคุณ tewada

    เดี๋ยวครับ อภิญญาจิตนั้นเป็นกุศลจิต แต่ไม่ใช่มหากุศลจิตนะครับ
    อภิญญาจิตได้แก่ รูปาวจรกุศลจิต หรือ รูปาวจรกิริยาจิตครับ

    อืมม ที่สนทนากันตอนนั้น ยังไงนะครับ




    เดฟ

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  3. tewada said:
    ประมานว่าก่อนจะเริมแสดงอภิญญาจะต่องเข้าปันจมฌานและหลังจากออกปันจมฌานจะเริมแสดงอภิญญจิตจิตจะต่องเป็นกุศลหรืออุเบกขาอยากใด้พระสูตพวกนี้
     
  4. tewada said:
    ทฤษฏีนี้เป็นจริงเดฟตะกี้ลองละ ลองเข้ากุศลจิตในบ้านแล้วน้อมมาที่จักขุเกิดเป็นภาพทางมโนทวาน ส่องดูเห็นภาพข้างๆโลตัสตอนเช้าไปถวายสังทานกับหลอดไฟ ไปถวายพระผ่านพอดี ตอนนั้นมีโตยต้ามาจัดบูสขายรถ และรถยนต์เยอะมากเพราะเป็นวันหยุด แต่ตอนที่เรามองผ่านมโนทวารตอนนั้นเวลาบ่ายสองนิดๆเราเห็นรถโล่งมาก มีรถสีขาวจอดกลางลานคันหนึ่ง ก็คิดว่าคงเป็นภาพมั่วซั่วที่เห้นประจำๆนั้นแหละมั้ง เพราะโตโยต้ามาจัดบูสหลายทีละเค้าเลิก4โมงเย็นตลอดมันจะเป็นไปได้ไง วันนี้นิมิตดีนิมิตไกล้บ้านลองออกไปดูสักหน่อยดิ ป่างง่างเลยเดฟ โตโยต้าที่มาจัดบูสหายไป ทั้งลานมีฮอนด้าฟีดสีขาวจอดกลางลาน อยู่คันเดียวเหมือนกับในนิมิตเลยสรุปใด้ว่าทฤษฏีอภิญญเกิดกับกุศลจิตนี้เป็นจริงแต่กับอุเบกขาไม้รู้นะ ถ้ามีเวลาจะลองอธิฐานแล้วส่องดูอีกสักสองสามรอบเอาให้ชัวๆ
     
  5. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:
    ที่มีกล่าวสรุปไว้ในคู่มือพระอภิธัมมัตถสังคหะ
    จิตที่ทำให้เกิดความสามารถพิเศษ
    แสดงความสามารถพิเศษต่างๆ ได้นั้น คือ อภิญญาจิต

    การจะเกิดอภิญญาจิตนั้น ต้องเข้าปัญจมฌาน
    อาศัยรูปาวจรปัญจมฌานกุศลจิต เป็นบาท
    หรือ รูปาวจร่ปัญจมฌานกิริยาจิต (ตามควรแก่บุคคล)

    จากนั้นจึงตั้งจิตอธิษฐาน
    ชวนจิตที่เกิดขึ้นในอธิฏฐานวิถี
    เป็นมหากุศลจิต หรือ มหากิริยาจิต ครับ

    แล้วเข้าปัญจมฌานอีกครั้ง

    จากนั้นจึงเป็นอภิญญาวิถี เกิดอภิญญาจิตขึ้น
    สามารถแสดงความสามารถอันพิเศษยิ่งได้

    ในขณะที่แสดงความสามาถพิเศษด้วยอำนาจของอภิญญาจิต
    วิถีจิตทางมโนทวารที่เกิดต่อจาก อภิญญาวิถี
    จะเป็นมหากุศลจิต หรือมหากิริยาจิต ตามควรกับแต่ละบุคคล

    ลองดูเพิ่มเติมนะครับ
    http://abhidhamonline.org/aphi/p4/058.htm

    http://abhidhamonline.org/aphi/p9/054.htm


    และมีแสดงไว้ในวิสุทธิมรรค ลองดูคำอธิบายที่มีบางส่วน ในหน้า 255-256
    https://th.wikisource.org/wiki/%E0%B...B9%95%E0%B9%95

    ในวิสุทธิมรรคมีอธิบายเกี่ยวกับการแสดงอภิญญาไว้เยอะเลยครับ

    สำหรับเนื้อหาจากพระไตรปิฎก หรืออรรถกถาต่างๆ
    หากมีเวลาจะสืบค้นมาให้นะครับ



    เดฟ
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดย D E V : 07-18-2016 เมื่อ 05:53 PM

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  6. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:
    กุศลจิต กับ อุเบกขาจิต ที่คุณ tewada กล่าวถึง
    น่าจะเป็น มหากุศลจิต กับ มหากิริยาจิต น่ะครับ
    แต่ว่า อภิญญาจิต ไม่ใช่ มหากุศลจิต หรือ มหากิริยาจิต นะครับ

    อภิญญาจิต ได้แก่ รูปาวจรกุศลจิต กับ รูปาวจรกิริยาจิต
    แต่ว่ามี มหากุศลจิต หรือ มหากิริยาจิต เกิดสืบต่อสลับกันไปได้น่ะครับ



    เดฟ

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  7. Admax said:
    สาธุ
    ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
    ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
    รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
    การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ
     
  8. tewada said:
    เอาตังก่อนแอดเห้ย3ตัวท้านอยู่แค่เอื่อมแล้วหามางเอามันมาให้ใด้
     
  9. Admax said:
    555
    ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
    ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
    รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
    การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ
     
  10. Admax said:
    คืองี้เทวดาถ้าพร้อมจะเอาจริงๆนะ จะจับรูปนิมิตไรๆก็ได้เป็นอารมณ์ สีขาวนี่ไวดี เพดานบ้านเราก็สีขาวหลับตาหน่วงนึกถึงเพดานนั้นแหละจนเห็นภาพเพดานสีขาว อธิษฐานให้มันมองชัดได้ใหญ่เล็กได้ มองมุมไหนก็ได้ แล้วตั้งจิตอธิษฐาน โดยหน่วงนึกว่าเราจะไปดูอะไร มันก็ไปตามนั้นแหละ อันนี้ฉันทำมาแระ

    ส่วนถ้าเอาอิทธิบาท ๔ อิทธิแปลว่าฤทธิ์ สำเร็จด้วยฤทธิ์ ก็ง่ายๆทำใจให้สงบสบายไม่คลอนแคลนต่ออารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง อารมณ์หนึ่งมันจะขนลุกซู่ขึ้นวูบวาบๆแต่มันไม่มีอะไร ได้ความสงบ อันนี้เรีกขณิกสมาธิ เอาอารมณ์นี้แหละพิจารณาดูกายอาการ 32 ประการ มันเป้นของสกปรกน่าเบื่อ ไม่มีเราในนั้น ในนั้นไม่มีเรา นั่นไม่ไช่เรา เราไม่ใช่สิ่งนั้น เรานัี่นแหละที่เป็นอนัตตาต่อกายนี้ จิตมันจะไม่สนกาย
    (**ท่านให้พิจารณาอาการ ๓๒ ประการเพราะเหตุนี้แหละ คือ ให้ไม่ยึดรูปขันธ์นั่นเอง เพราะความสงบหรือดับไปของสังขารของกายเป็นสุข คือ นิพพาน นิพพานไม่ได้ไปด้วยกายคือรูปขันธ์ แต่เป็นกายทิพย์ของดวงจิตนี้แหละ**)
    แล้วหน่วงนึกเอาความสงบสบายมีจิตผ่องใสเหมือนแก้วมณีสว่างไสวไม่ยึดกายเป็นอารมณ์ ตอนนี้เรามีแก้วมณีนั้นแหละเป็นนิมิตอารมณ์ก็อธิษฐานให้มันใหญ่หรือเล็กมองมุมไหนก็ได้ ไอ้ภาพนี้ต้องมาอยู่ต่อหน้านะไม่ใช่ภาพที่นึกเอามันจึงจะเป็นอารมณ์ของสมาธิ ถ้าตั้งมั่นจะเหมือนจิตเราออกจากร่างมาเพ่งแช่ดูกายมันนั่งสมาธิอยู่ อาการแบบนี้ๆมั้งท่านเรียกว่ามโนมยิทธิ ฉันก็ไม่รู้อะ สักแต่ทำอย่างเดียว ก็ตอนนี้มันไม่มีอะไรให้ยึดเมื่อมีสติรู้ก็อธิษฐานไปดูสิ่งที่เราอยากเห็นมันก็ไปทันที

    ลองดูถ้าของเก่ามีมันไปง่าย ถ้าของเก่าไม่มีก็ต้องทำสะสมไป พิจารณาเอาด้วยเพราะที่ฉันบอกไปมันมีทั้งจริงและไม่จริง ฉันก็ทำของฉันตามที่ฉันเข้าใจจากที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนมาแล้วมาขยายปฏิบัติเอา แล้วได้ผลอย่างนี้ๆ อาจจะผิดทั้งหมดก็เป็นไปได้เพราะฉันแค่ปุถุชน แต่ทุกอย่างไม่ยากหรอก ถ้าสะสมทำไว้ในใจเป็น
    ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
    ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
    รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
    การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ