พระมหากัสปั

กระทู้: พระมหากัสปั

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. tewada said:

    พระมหากัสปั

    กัสสปะ มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เสมอด้วยตถาคต มีใจความว่าอะไร
     
  2. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:
    สวัสดีครับ คุณ Tewada
    ตามประวัติของพระมหากัสสปะเถระ มีแสดงไว้ดังนี้...


    ครั้งหนึ่ง ท่านติดตามพระพุทธองค์ไปประทับที่ภายใต้ร่มไม้ต้นหนึ่ง
    ท่านได้พับผ้า
    สังฆาฏิของท่านเป็น ๔ ชั้นแล้วปูถวายให้พระพุทธองค์ประทับนั่ง
    พระพุทธองค์ตรัสว่า:-

    “กัสสปะ ผ้าสังฆาฏิของเธอนุ่มดี”

    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์ทรงใช้สอยเถิด พระเจ้าข้า”

    “กัสสปะ แล้วเธอจะใช้อะไรทำสังฆาฏิเล่า ?”

    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เมื่อข้าพระองค์ได้รับจากพระองค์ ก็จะใช้เป็นสังฆาฏิพระเจ้าข้า”

    ครั้นแล้ว พระบรมศาสดาได้ประทานผ้าสังฆาฏิของพระองค์ ซึ่งเก่าคร่ำคร่าให้แก่ท่าน
    แล้วทรงยกย่องท่านอีก ๔ ประการคือ:-

    ๑) กัสสปะ มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เสมอด้วยตถาคต
    เป็นผู้มักน้อยสันโดษ ภิกษุทั้ง
    หลายควรถือเป็นแบบอย่าง

    ๒) กัสสปะ เมื่อเธอเข้าไปใกล้ตระกูลแล้ว
    ชักกายและใจออกห่างประพฤติตนเป็นคน
    ใหม่
    ไม่คุ้นเคย ไม่คะนองกาย วาจา และใจในสกุลเป็นนิตย์ จิตไม่ข้องอยู่ในสกุลนั้น

    ตั้งจิตเป็นกลางว่า “ผู้ใคร่ลาภจงได้ลาภ ผู้ใคร่บุญจงได้บุญ
    ตนได้ลาภแล้วมีจิตเป็นฉันใด ผู้อื่นก็
    มีใจเป็นฉันนั้น”

    ๓) กัสสปะ มิจิตประกอบด้วยเมตตา กรุณา แสดงธรรมแก่ผู้อื่น


    ๔) ทรงแลกเปลี่ยนผ้าสังฆาฏิกับท่านไปใช้สอย
    ทรงสอนภิกษุให้ประพฤติดีปฏิบัติ
    ชอบ โดยยกพระมหากัสสปะขึ้นเป็นตัวอย่าง

    http://www.84000.org/one/1/18.html




    เดฟ

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  3. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:
    ในอรรถกถา มีแสดงไว้ว่า.....

    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ประทานอุปสมบท
    แก่พระมหากัสสปเถระ ด้วยโอวาท ๓ ประการ.
    ครั้นประทานแล้วก็เสด็จออกจากโคนต้นพหุปุตตกนิโครธ
    เสด็จเดินทางมีพระเถระเป็นปัจฉาสมณะ.

    พระสรีระของพระศาสดาตระการตาด้วยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ
    สรีระของพระมหากัสสปประดับด้วยมหาปุริสลักษณะ ๗ ประการ.
    พระมหากัสสปนั้นเดินตามเสด็จพระศาสดา
    เหมือนเรือพ่วงไปตามเรือใหญ่สีทองฉะนั้น

    พระศาสดาเสด็จเดินทางไปหน่อยหนึ่งแล้วแวะลง (ข้างทาง)
    แสดงอาการจะประทับนั่งที่โคนไม้แห่งหนึ่ง.
    พระเถระรู้ว่า พระศาสดามีพระประสงค์จะประทับนั่ง
    จึงกระทำสังฆาฏิอันเป็นผ้าเก่าที่ตนห่มให้เป็น ๔ ชั้นปูลาดถวาย.

    พระศาสดาประทับนั่งบนผ้าสังฆาฏินั้นแล้ว
    เอาพระหัตถ์ลูบคลำเนื้อผ้า ตรัสว่า
    กัสสป สังฆาฏิอันทำด้วยผ้าเก่าผืนนี้ของเธอนุ่มดี.
    พระเถระรู้ว่า พระศาสดาตรัสถึงสังฆาฏิของเรานุ่ม คงจักประสงค์จะห่ม
    จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห่มสังฆาฏิเถิด.
    พระศาสดาตรัสว่า กัสสป เธอจะห่มอะไร?
    พระเถระกราบทูลว่า ข้าพระองค์ได้ผ้านุ่งของพระองค์จึงจักห่ม.

    พระศาสดาตรัสว่า กัสสป ก็เธอจักอาจทรงผ้าบังสุกุลที่ใช้จนเก่าผืนนี้อย่างนี้ได้หรือ
    ด้วยว่ามหาปฐพีได้ไหวจนถึงน้ำรองแผ่นดินในวันที่เราซักผ้าบังสุกุลผืนนี้.
    ธรรมดาว่าจีวรที่เก่าเพราะใช้ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายนี้
    ถึงเก่าแล้วคนที่มีคุณนิดหน่อยไม่อาจครองได้
    จีวรเก่าดังกล่าวนี้อันบุคคลผู้อาจสามารถในการบำเพ็ญข้อปฏิบัติ
    ผู้ถือผ้าบังสุกุลมาแต่เดิมจึงจะควรรับเอา แล้วทรงเปลี่ยนจีวรกับพระเถระ.
    ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปลี่ยนจีวรอย่างนี้แล้ว
    ทรงห่มจีวรที่พระเถระห่มแล้ว พระเถระห่มจีวรของพระศาสดา.

    ในสมัยนั้น มหาปฐพีนี้แม้ไม่มีจิตใจก็ไหวจนถึงน้ำรองแผ่นดินเหมือนจะกล่าวว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงทำสิ่งที่ทำได้ยาก
    จีวรที่พระองค์ห่มแล้ว ชื่อว่าเคยได้ประทานแก่พระสาวกไม่มี (คือไม่เคยมีการประทานจีวรที่ทรงห่มแล้วแก่สาวก)
    ข้าพระองค์ไม่อาจรองรับคุณของพระองค์ได้.

    แม้พระเถระก็มิได้กระทำเหย่อหยิ่งว่า
    เดี๋ยวนี้เราได้จีวรสำหรับใช้สอยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
    สิ่งที่เราจะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปในบัดนี้ยังจะมีอยู่หรือ
    จึงได้สมาทานธุดงค์คุณ ๑๓ ข้อในสำนักของพระพุทธเจ้านั่นแหละ
    เป็นปุถุชนเพียง ๗ วัน ในอรุณที่ ๘ ได้บรรลุพระอรหัต
    พร้อมด้วยสูตรทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ว่า
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กัสสปเปรียบเหมือนพระจันทร์เข้าไปสู่ตระกูลทั้งหลาย
    หลีกกาย หลีกใจจากอกุศลธรรมทั้งหลายเป็นผู้ใหม่อยู่เสมอ ไม่คะนองในตระกูลทั้งหลาย.

    ครั้นมาภายหลังทรงกระทำกัสสปสังยุตนี้แหละให้เป็นเหตุเกิดเรื่อง
    จึงทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ
    ด้วยพระดำรัสว่า มหากัสสปเป็นยอดของภิกษุทั้งหลายผู้ถือธุดงค์
    และสอนเรื่องธุดงค์ในศาสนาของเราดังนี้แล.

    http://www.84000.org/tipitaka/attha/...b=20&i=146&p=4




    เดฟ

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  4. tewada said:
    ก็ยังงงๆอยู่นะ ธรรมเป็นเครื่องอยู่เสมอด้วยตถาคต มีในยะแปรว่าอะไรอะทำไมท่านถึงกล่าวแบบนั้น
     
  5. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:
    มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ ก็คือมีธรรมที่เป็นหลักประพฤติปฏิบัติในการดำเนินชีวิตน่ะคับ
    พระมหากัสสปะท่านเป็นผู้มักน้อย สันโดษ สำรวม ไม่เย่อหยิ่ง ไม่คึกคะนอง
    มีจิตใจเป็นกลาง เปี่ยมด้วยเมตตา กรุณา ประพฤติดีปฏิบัติชอบ
    สงัดจากกาม สงบจากอกุศลธรรมทั้งหลาย
    เป็นตัวอย่างอันดีแก่พระภิกษุทั้งหลาย และยังเป็นเอตทัคคะในการถือธุดงค์



    เดฟ

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  6. Admax said:
    สาธุ
    ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
    ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
    รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
    การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ