ขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้าทุก ๆพระองค์ พระธรรมเจ้าทุก ๆ พระธรรมขันธ์ พระอริยสงฆ์ และท่านทั้งหลายผู้กำลังแสวงหาความเจริญทั้งสิ้น
ขอนมัสการพระคุณเจ้าทุกๆท่าน และขอเจริญพรญาติโยมทั้งหลาย พอดีมีโอกาสได้สนทนาธรรมกับพระมหาท่านหนึ่ง จึงได้แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ในเรื่องที่เป็นข่าวอยู่ ณ เวลานี้เกี่ยวกับพระจับเงิน
เมื่อสนทนากันเสร็จเราจึงได้หัวข้อนี้ที่จะเขียนให้ญาติโยมทั้งหลายมีความเข้าใจมากขึ้นๆไปอีก
ขอเท้าความก่อนว่า ในพระไตรปิฎก สิขาบทที่ 8 โกสิยวรรค ใน นิสสัคคิยกัณฑ์<ห้ามรับเงินทอง> ต้นเรื่องมีอยู่ว่า
เจ้าของบ้านที่พระอุปนนทะ ศากยบุตร เข้าไปฉันเป็นนิตย์ เตรียมเนื้อไว้ถวายเวลาเช้า แต่เด็กร้องไห้ขอกินในเวลากลางคืน จึงให้เด็กกินไป รุ่งเช้าจึงเอากหาปณะ (เงินตรามีราคา ๔ บาท) ถวาย พระอุปนนทะก็รับ มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามภิกษุรับเอง ใช้ให้รับทอง เงิน หรือยินดีทอง เงิน ที่เขาเก็บไว้เพื่อตน ทรงปรับอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิด
บทนี้จะอยู่ในพระไตรปิฎกฉบับประชาชน เป็นแบบย่อๆเพื่อให้ประชาชนเข้าใจได้ง่าย แต่กลับกันก็เหมือนดาบสองคม ประชาชนบางท่านอ่านแทนที่จะอ่านให้เข้าใจ กลับอ่านลวกๆแล้วก็ไปจ้องว่าพระ ยังงี้คงจะเป็นอรหันต์กูเกิ้ลเป็นแน่ๆแท้ ฮ่าๆ ๆ
บทความที่ได้สนทนากับท่านมหา ท่านก็กล่าวว่าอย่างทุกวันนี้พระมีความจำเป็นต้องใช้เงินว่าง่ายๆ ยังงี้เราก็เป็นอาบัติตลอดเลยสิ ยิ่งโยมบางคนนี่บอกพระจับเงินพวกนี้พวกบาป พระเขาไม่ทำกัน แนะหาเรื่องลงนรกกันอีกแล้วสิเฮ้อ เราก็เลยต้องท่านมหาองค์นั้นไปว่า ท่านลองอ่านทวนใหม่ดูเถิด มีข้อที่ว่าหรือยินดีในเงินทองที่เขาเก็บไว้เพื่อตน นี่แนะต้องอ่านย้ำตรงนี้นะ แล้วกลับมาดูความเป็นจริงกัน นี่ทุกคนเคยทอดกฐิน ทอดผ้าป่ากันรึเปล่าหละ ก็ต้องเคยถามว่าทอดกฐินหรือผ้าป่าเขาใส่อะไรเป็นส่วนใหญ่ ก็เป็นเงินใช่หรือเปล่าหละ ถามว่าไปทอดที่วัดก็ต้องหลวงพ่อเจ้าอาวาสก็รับ ยังงี้พระทั่วประเทศก็ผิดนะสิ นี่พวกนี้เขาใช้ตามองกันนะ ตามองแต่จ้องจะคอยจับผิดพระ
เราเลยบอกความคิดของเรากับท่านมหาไปว่า กระผมว่าควรจะใช้ใจมองมากกว่านะครับ ถามว่าใจมองอย่างไร ก็เนี่ยง่ายๆโยมถวายแบงค์มา 1000 เรานี่ทั้งจับทั้งรับอย่างสบายใจ บางท่านก็จะว่าอ้าวงี้ก็ผิดนะสิ แต่เราใช้ใจมอง อย่างตอนนี้เรากำลังจะสร้างพระประธานองค์หนึ่งที่ต่างจังหวัด ไอ้แบงค์ 1000 ที่ได้รับมานี่เราใช้ใจมองล้วนๆ มองเป็นอะไรหละ มองเป็นอิฐ หิน ดิน ทราย ที่นำมารวมกันเพื่อปั้นพระ แนะเห็นอะไรกันรึเปล่า ถามว่าทุกวันนี้วัดต่างๆจะสร้าง วิหารบ้าง สร้างเสนาสนะต่างๆ ก็ต้องใช้เงินไปแลกมาถูกไหมหละ ง่ายๆโยมจะสร้างบ้าน อย่างแรกเลยคือต้องเอาเงินไปจ้างเขา เอาเงินไปซื้อปูน แล้วทำไมพระจะสร้างวัดบ้างจะใช้เงินไม่ได้หละ อย่างเรานี่จับเงินอย่างสบายใจเลย เพราะมองเป็นปูนเป็นทราย แต่ถ้าท่านมองเป็นเงินหวังความร่ำรวยนี่โดนเต็มๆ พระบางท่านก็นำเงินนี้ไปเป็นค่าเดินทางไปเผยแผ่พระศาสนา นี่เห็นไหมไม่ได้เก็บไว้เพื่อตัวท่านเองเลย แต่ใช้ในพระศาสนา
แต่ก็โยมบางคนก็ยังบอกว่า พระก็ไม่ควรใช้ทำไมไม่เดินไปหละ นี่ถนนหนทางสมัยนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ให้ไปเดินบนมอเตอร์เวย์ มีหวังได้ไปเป็นตุ๊กตาหน้ารถกันทั้งนั้น ฮ่า
ฉะนั้นต้องปรับความเข้าใจเสียใหม่นะ เราชอบคติคำนึงมากที่ว่า เปลี่ยนศรัทธาให้เป็นบุญ ไม่ใช่เปลี่ยนศรัทธาให้เป็นทุน เหมือนกันเราก็เปลี่ยน แบงค์ 20 100 500 1000 ให้เป็นอิฐ 1 ก้อน เสา 1 ต้น พระพุทธรูป 1 องค์ เห็นไหมเนี่ยคนเราถ้าใช้ใจมองมันจะสบายใจขึ้นมา

สุดท้ายท่านมหาท่านนั้นก็กล่าวสาธุเลย เพราะอะไรเพราะว่าเราล้วนใช้ตา หู ปาก มากกว่าใช้ใจ ถามว่าใช้ตาอะไร ใช้ตาอ่านแต่ข่าว จริงไม่จริงไม่รู้อ่านไว้ก่อน ใช้หูก็เที่ยวฟังชาวบ้านเขาโดยตัวเองไม่คิดจะหาความรู้
ใช้ปากคือเที่ยวด่าว่าพระที่เขาเป็นนักพัฒนา แนะตีตั๋วไปนรกแอร์ทันทีนะนี่ ไม่ต้องเสียเงินด้วยโอ้ยสบายเลย ใครจะไปนี่จองกันเลย แต่กลับกันถ้าใช้ใจมองจะกล่าวสาธุกาลแก่พระที่คอยสร้างพระพุทธศาสนาทันที สมดังพุทธพจน์ที่ว่า

"เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ, เจตยิตฺวา กมฺมํ กโรมิ กาเยน วาจาย มนสา" แปลว่า "ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า เจตนานั่นแหละเป็นกรรม เมื่อมีเจตนาแล้ว บุคคลย่อมกระทำกรรมโดยทางกาย วาจา ใจ
ฉะนั้นเราทั้งหลายจะต้องเลือกทำแต่กรรมดี คิดอะไรไม่ออกก็ไปศึกษาให้เข้าใจมาก่อนนะ ไม่งั้นนรกแอร์ไลน์รอต้อนรับพวกท่านทั้งหลายอยู่นะ สาธุ สาธุ สาธุ