มงคล ๓๘
ประการมงคล คือเหตุแห่งความสุข ความก้าวหน้าในการดำเนินชีวิต
ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ให้พุทธศาสนิกชนได้พึงปฏิบัติ นำมาจากบทมงคลสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสตอบปัญหาเทวดาที่ถามว่า
คุณธรรมอันใดที่ทำให้ชีวิตประสบความเจริญหรือมี "มงคลชีวิต" ซึ่งมี ๓๘ ประการได้แก่
๑๒.การสงเคราะห์บุตร คำว่าบุตรนั้น มีอยู่
๓ ประเภทได้แก่ ๑.อภิชาติบุตร คือบุตรที่มีความดี คุณธรรม และความสามารถเหนือกว่าบิดา
มารดา ๒.อนุชาตบุตร คือบุตรที่มีความดี คุณธรรม และความสามารถเสมอบิดา มารดา
๓.อวชาตบุตร คือบุตรที่มีความดี คุณธรรม และความสามารถต่ำกว่าบิดา มารดา การที่เราเป็นพ่อ
เป็นแม่ของบุตรนั้น มีหน้าที่ที่ต้องให้กับลูกของเราคือ ๑.ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว
๒.ปลูกฝัง สนับสนุนให้ทำความดี ๓.ให้การศึกษาหาความรู้ ๔.ให้ได้คู่ครองที่ดี
(ใช้ประสพการณ์ของเราให้คำปรึกษาแก่ลูก ช่วยดูให้) ๕.มอบทรัพย์ให้ในโอกาสอันควร
(การทำพินัยกรรม ก็ถือว่าเป็นสิ่งถูกต้อง)
เมื่อว่าด้วยเรื่องคนที่จะมาเป็นคู่ครองของชาย
หรือที่เรียกว่าจะมาเป็นภรรยานั้น ในโลกนี้ท่านแบ่งลักษณะของภรรยาออกเป็น ๗ ประเภทได้แก่
๑.วธกาภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยเพชรฆาต เป็นพวกที่มีจิตใจคิดไม่ดี ชอบทำร้าย
ชอบด่าทอสาปแช่ง คิดฆ่าสามี หรือมีชู้กับชายอื่น ๒.โจรีภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยโจร
เป็นคนล้างผลาญ สร้างหนี้สิน หาได้เท่าไรก็ไม่พอ หรือเอาเรื่องในบ้านไปโพทนาให้คนข้างนอกรับรู้ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง
๓.อัยยาภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยนาย เป็นคนชอบข่มสามีให้อยู่ในอำนาจ ไม่ให้เกียรติสามีเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น
ชอบสั่งการหรือเอาแต่ใจตัวเอง เห็นสามีเป็นคนไร้ความสามารถ แต่ตัวเองเป็นผู้นำ
๔.มาตาภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยแม่ คือผู้ที่มีความรักต่อสามีอย่างสุดซึ้ง ไม่เคยทอดทิ้งแม้ยามทุกข์ยาก
ป่วยไข้ ไม่ทำให้มีเรื่องสะเทือนใจ ๕.ภคินีภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยน้องสาว
คือผู้ที่มีความเคารพต่อสามีในฐานะพ่อบ้าน แต่ขัดใจกันบ้างตามประสาคนใกล้ชิดกันแล้วก็ให้อภัยกัน
โดยไม่คิดพยาบาท เดินตามแนวทางของสามี ต้องพึ่งพาสามี ๖.สขีภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยเพื่อน
ต่างคนต่างก็มีอะไรที่เหมือนกัน ความสามารถพอกัน ไม่จำเป็นต้องพึ่งพากัน ไม่ค่อยยอมกัน
เป็นตัวของตัวเอง แต่ก็รักกันและช่วยเหลือกันโดยต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง
๗.ทาสีภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยคนรับใช้ คือภรรยาที่อยู่ภายใต้คำสั่งสามีโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
สามีเป็นผู้เลี้ยงดู สั่งอะไรก็ทำอย่างนั้นแม้จะไม่เห็นด้วยก็ไม่ออกความเห็น อดทนทำงานตามหน้าที่ตามแต่สามีจะสั่งการ
แม้ถูกดุด่า เฆี่ยนตีก็ยังทนอยู่ได้โดยไม่โต้ตอบ ท่านว่าคนที่จะมาเป็นสามี
ภรรยาได้ดีหรือคู่สร้างคู่สมนั้นควรต้องมีคุณสมบัติดังนี้ ๑.สมสัทธา คือมีศรัทธาเสมอกัน
๒.สมสีลา คือมีศีลเสมอกัน ๓.สมจาคะ คือมีการเสียสละเหมือนกัน ๔.สมปัญญา
คือมีปัญญาเสมอกัน เมื่อได้แต่งงานกันแล้ว แต่ละฝ่ายก็มีหน้าที่ที่ต้องทำดังนี้
สามีมีหน้าที่ต่อภรรยาคือ ๑.ยกย่องนับถือว่าเป็นภรรยา คือการแนะนำเปิดเผยว่าเป็นภรรยา
ไม่ปิดบังกับผู้อื่น และให้เกียรติภรรยาในการตัดสินใจเรื่องต่างๆด้วย ๒.ไม่ดูหมิ่น
คือไม่ดูถูกภรรยาเมื่อทำไม่เป็น ทำไม่ถูก หรือเรื่องชาติตระกูล การศึกษาว่าต่ำต้อยกว่าตน
แต่ต้องสอนให้ ๓.ไมประพฤตินอกใจภรรยา คือการไปมีเมียน้อยนอกบ้าน เลี้ยงต้อย
หรือเที่ยวเตร่หาความสำราญกับหญิงบริการ ๔.มอบความเป็นใหญ่ให้ในบ้าน คือการมอบธุระทางบ้านให้กับภรรยาจัดการ
รับฟังและทำตามความเห็นของภรรยาเกี่ยวกับบ้าน ๕.ให้เครื่องแต่งตัว คือให้ความสุขกับภรรยาเรื่องการแต่งตัวให้พอดี
เพราะสตรีเป็นผู้รักสวยรักงามโดยธรรมชาติ ฝ่ายภรรยาก็มีหน้าที่ต้องตอบแทนสามีคือ
๑.จัดการงานดี คืองานบ้านการเรือนต้องไม่บกพร่อง ดูแลด้านความสะอาด ทำนุบำรุงรักษา
ด้านโภชนาการให้เรียบร้อยดี ๒.สงเคราะห์ญาติสามีดี คือให้ความเอื้อเฟื้อญาติฝ่ายสามี
เท่าที่ตนมีกำลังพอทำได้ ไม่ได้หมายถึงเรื่องทรัพย์สินเงินทองอย่างเดียว ๓.ไม่ประพฤตินอกใจสามี
คือไม่คบชู้ หรือปันใจให้ชายอื่น ซื่อสัตย์ต่อสามีคนเดียว ๔.รักษาทรัพย์ให้อย่างดี
คือรู้จักรักษาทรัพย์สินไว้ไม่ให้หมดไปด้วยความสิ้นเปลือง แต่ก็ไม่ถึงกับตระหนี่
๕.ขยันทำงาน คือไม่เกียจคร้านเอาแต่ออกงาน นอน กิน หรือเที่ยวแต่อย่างเดียว
ต้องทำงานบ้านด้วย
๑๔.การทำงานไม่ให้คั่งค้าง ว่าด้วยสาเหตุที่ทำให้งานคั่งค้างนั้นสรุปสาเหตุได้เพราะว่า
๑.ทำงานไม่ถูกกาล ๒.ทำงานไม่ถูกวิธี ๓.ไม่ยอมทำงาน หลักการทำงานให้เสร็จลุล่วงมีดังนี้
๑.ฉันทะ คือมีความพอใจในงานที่ทำ ๒.วิริยะ คือมีความตั้งใจ พากเพียรในงานที่ทำ
๓.จิตตะ คือมีความเอาใจใส่ในงานที่ทำ ๔.วิมังสา คือมีการคิดพิจารณาทบทวนงานนั้นๆ
การให้ทาน คือการให้ที่ไม่หวังผลตอบแทนโดยหมายให้ผู้ได้รับได้พ้นจากทุกข์
แบ่งออกเป็น ๓ อย่างได้แก่ ๑.อามิสทาน คือการให้วัตถุ สิ่งของ หรือเงินเป็นทาน
๒.ธรรมทาน คือการสอนให้ธรรมะเป็นความรู้เป็นทาน ๓.อภัยทาน คือการให้อภัยในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ดีกับเรา
ไม่จองเวร หรือพยาบาทกัน การให้ทานที่ถือว่าเป็นความดี และได้บุญมากนั้นจะประกอบด้วยปัจจัย
๓ ประการอันได้แก่ ๑.วัตถุบริสุทธิ์ คือเป็นของที่ได้มาโดยสุจริต ไม่ได้ไปยักยอกมา
โกงมา หรือได้มาด้วยวิธีแยบยล ๒.เจตนาบริสุทธิ์ คือมีจิตยินดี ผ่องใสเบิกบาน
ไม่รู้สึกเสียดายสิ่งที่ให้ ตั้งแต่ก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้ ๓.บุคคลบริสุทธิ์
คือให้กับผู้รับที่มีศีลธรรม ตัวผู้ให้เองก็ต้องมีศีลที่บริสุทธิ์ การให้ทานที่ถือว่าไม่ดี
และยังอาจเป็นบาปกรรมถึงเราทางอ้อมอีกด้วยได้แก่ ๑.ให้สุรา ยาเสพย์ติด เป็นต้น
(ถ้าเขาเมาแล้วขับรถชนตาย เราก็มีส่วนบาปด้วย) ๒.ให้อาวุธ (ถ้าอาวุธนั้นถูกเอาไปใช้ประหัตประหาร
บาปก็มาถึงเราด้วย) ๓.ให้มหรสพ คือการบันเทิงทุกรูปแบบ ๔.ให้สัตว์เพศตรงข้ามเพื่อผสมพันธุ์
อันนี้รวมถึงการจัดหาสาวๆ ไปบำเรอผู้มีอำนาจหรือผู้น้อยด้วยเป็นต้น ๕.ให้ภาพลามก
หรือสิ่งพิมพ์ลามก เพราะทำให้เกิดความกำหนัด เกิดกามกำเริบ (เมื่อดูแล้วเกิดไปฉุดคร่า
ข่มขืนใคร บาปก็ตกทอดมาถึงเราด้วย)
การประพฤติธรรม
ก็คือการปฏิบัติให้เป็นไป แบ่งออกได้เป็น ๒ อันได้แก่ กายสุจริต คือ ๑.การไม่ฆ่าสัตว์
หมายรวมหมดตั้งแต่สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ และมนุษย์ ๒.การไม่ลักทรัพย์ หมายรวมถึงการคอรัปชั่น
ไปหลอกลวง ปล้นจี้ชาวบ้านด้วย ๓.การไม่ประพฤติผิดในกาม หมายรวมถึงการคบชู้ นอกใจภรรยา
และการข่มขืนด้วย วจีสุจริต คือ ๑.การไม่พูดเท็จ คือการพูดแต่ความจริง
ไม่หลอกลวง ๒.การไม่พูดคำหยาบ คือคำที่ฟังแล้วไม่รื่นหู เกิดความรู้สึกไม่สบายใจรวมหมด
๓.การไม่พูดจาส่อเสียด การนินทาว่าร้าย ๔.การไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล คือการพูดที่ไม่เป็นสาระ
หาประโยชน์อันใดมิได้ มโนสุจริต คือ ๑.การไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น คือการนึกอยากได้ของเขามาเป็นของเรา
๒.การไม่คิดพยาบาทปองร้ายผู้อื่น คือการนึกอยากให้คนอื่นประสพเคราะห์กรรม คิดจะทำร้ายผู้อื่น
๓.การเห็นชอบ คือมีความเชื่อความเข้าใจในความเป็นจริง ความถูกต้องตามหลักคำสอนตามแนวทางพระพุทธศาสนา
ลักษณะของญาติที่ควรให้การสงเคราะห์ เมื่ออยู่ในฐานะดังนี้คือ
๑.เมื่อยากจนหาที่พึ่งมิได้ ๒.เมื่อขาดทุนทรัพย์ในการค้าขาย ๓.เมื่อขาดยานพาหนะ
๔.เมื่อขาดอุปกรณ์ทำมาหากิน ๕.เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย ๖.เมื่อคราวมีธุระการงาน
๗.เมื่อคราวถูกใส่ความหรือมีคดี การสงเคราะห์ญาติ ทำได้ทั้งทางธรรมและทางโลกได้แก่
ในทางธรรม ก็ช่วยแนะนำให้ทำบุญกุศล ให้รักษาศีล และทำสมาธิภาวนา ในทางโลก
ก็ได้แก่ ๑.ให้ทาน คือการสงเคราะห์เป็นทรัพย์สิน หรือเงินทองเพื่อให้เขาพ้นจากทุกข์หรือความลำบากตามแต่กำลัง
๒.ใช้ปิยวาจา คือการพูดเจรจาด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน สุภาพ และประกอบไปด้วยความปรารถนาดี
๓.มีอัตถจริยา คือการประพฤติตนให้เป็นประโยชน์กับเขา อาจช่วยเหลือด้วยแรงกาย
กำลังใจ หรือด้วยความสามารถที่มี ๔.รู้จักสมานัตตตา คือการวางตัวให้เหมาะสม
อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่ถือตัว
งานที่ไม่มีโทษ
ประกอบด้วยลักษณะดังต่อไปนี้ ๑.ไม่ผิดกฏหมาย คือทำให้ถูกต้องตามกฏหมายของบ้านเมือง
๒.ไม่ผิดประเพณี คือแบบแผนที่ปฏิบัติกันมาแต่เดิม ควรดำเนินตาม ๓.ไม่ผิดศีล
คือข้อห้ามที่บัญญัติไว้ในศีล ๕ ๔.ไม่ผิดธรรม คือหลักธรรมทั้งหลายอาทิเช่น การพนัน
การหลอกลวง ส่วนอาชีพต้องห้ามสำหรับพุทธศาสนิกชนได้แก่
๑.การค้าอาวุธ ๒.การค้ามนุษย์ ๓.การค้ายาพิษ ๔.การค้ายาเสพย์ติด
๕.การค้าสัตว์เพื่อนำไปฆ่า
บาปคือสิ่งที่ไม่ดี
เสีย ความชั่วที่ติดตัว ซึ่งไม่ควรทำ ท่านว่าสิ่งที่ทำแล้วถือว่าเป็นบาปได้แก่ อกุศลกรรมบถ
๑๐ คือ ๑.ฆ่าสัตว์ ๒.ลักทรัพย์ ๓.ประพฤติผิดในกาม ๔.พูดเท็จ
๕.พูดส่อเสียด ๖.พูดคำหยาบ ๗.พูดเพ้อเจ้อ ๘.โลภอยากได้ของเขา
๙.คิดพยาบาทปองร้ายคนอื่น ๑๐.เห็นผิดเป็นชอบ
ว่าด้วยเรื่องของน้ำเมานั้น อาจทำมาจากแป้ง ข้าวสุก การปรุงโดยผสมเชื้อ
หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ดื่มแล้วทำให้มึนเมา เช่นเบียร์ ไวน์ ไม่ใช่แค่เหล้าเท่านั้น
ล้วนมีโทษอันได้แก่ ๑.ทำให้เสียทรัพย์ เพราะต้องนำเงินไปซื้อหาทั้งๆที่เงินจำนวนเดียวกันนี้สามารถนำเอาไปใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างอื่นได้มากกว่า
๒.ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท ซึ่งนำไปสู่ความวุ่นวาย เจ็บตัว หรือถึงแก่ชีวิต
และคดีความ เพราะน้ำเมาทำให้ขาดการยับยั้งชั่งใจ ๓.ทำให้เกิดโรค โรคที่เกิดเนื่องมาจากการดื่มสุราล้วนแล้วแต่บั่นทอนสุขภาพกายจนถึงตายได้เช่น
โรคตับแข็ง โรคหัวใจ โรคความดัน ๔.ทำให้เสียชื่อเสียง เมื่อคนเมาไปทำเรื่องไม่ดีเข้าเช่นไปลวนลามสตรี
ปล่อยตัวปล่อยใจ ก็ทำให้วงศ์ตระกูล และหน้าที่การงานเสี่อมเสีย ๕.ทำให้ลืมตัวไม่รู้จักอาย
คนเมาทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ทำสิ่งที่คนมีสติจะไม่ทำ เช่นแก้ผ้าเดิน หรือนอนในที่สาธารณะเป็นต้น
๖.ทอนกำลังปัญญา ทานแล้วทำให้เซลล์สมองเริ่มเสื่อมลง ก็จะทำให้สุขภาพและปัญญาเสื่อมถอย
ความสามารถโดยรวมก็ด้อยลง
๒๑.ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย ธรรมในที่นี้ก็คือหลักปฏิบัติที่ทำแล้วมีผลในทางดีและเป็นจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงโปรดแนะทางไว้
คนที่ประมาทในธรรมนั้นมีลักษณะที่สรุปได้ดังนี้คือ ๑.ไม่ทำเหตุดี
แต่จะเอาผลดี ๒.ทำตัวเลว แต่จะเอาผลดี ๓.ทำย่อหย่อน แต่จะเอาผลมาก สิ่งที่ไม่ควรประมาทได้แก่
๑.การประมาทในเวลา คือการปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยไม่ทำอะไรให้เกิดประโยชน์
หรือผลัดวันประกันพรุ่งเป็นต้น ๒.การประมาทในวัย คือคิดว่าอายุยังน้อย ไม่ต้องทำความเพียรก็ได้เพราะยังต้องมีชีวิตอยู่อีกนานเป็นต้น
๓.การประมาทในความไม่มีโรค คือคิดว่าตัวเองแข็งแรงไม่ตายง่ายๆ ก็ปล่อยปละละเลยเป็นต้น
๔.การประมาทในชีวิต คือการไม่กำหนดวางแผนถึงอนาคต คิดอยู่แต่ว่ายังมีชีวิตอยู่อีกนานเป็นต้น
๕.การประมาทในการงาน คือไม่ขยันตั้งใจทำให้สำเร็จ ปล่อยตามเรื่องตามราว หรือปล่อยให้ดินพอกหางหมูเป็นต้น
๖.การประมาทในการศึกษา คือการไม่คิดศึกษาเล่าเรียนในวัยที่ควรเรียน หรือขาดความเอาใจใส่ที่เพียงพอ
๗.การประมาทในการปฏิบัติธรรม คือการไม่ปฏิบัติสมาธิภาวนาหรือศึกษาหลักธรรมให้ถ่องแท้
เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวเป็นต้น
ท่านได้กล่าวว่าสิ่งที่ควรเคารพมีอยู่ดังนี้
๑.พระพุทธเจ้า ๒.พระธรรม ๓.พระสงฆ์ ๔.การศึกษา ๕.ความไม่ประมาท
คือการดำเนินตามหลักธรรมคำสอนพระพุทธศาสนาอื่นๆ ด้วยความเคารพ ๖.การสนทนาปราศรัย
คือการต้อนรับอาคันตุกะผู้มาเยือนด้วยความเคารพ
|