ดังที่เคยบอกแล้วว่า "พุงโต" ร้ายกาจยิ่งกว่าความอ้วน บางคนดัชนีมวลกายอยู่ในเกณฑ์ปกติ หรือน้ำหนักไม่มากเมื่อเทียบกับส่วนสูง แต่ถ้ามีพุงโตเกินพิกัด คือผู้ชายเกิน 90 ซม (หรือ 40 นิ้ว) ผู้หญิงเกิน 80 ซม.(หรือ 35 นิ้ว) ก็ต้องระวังสุขภาพไว้ให้ดี
........เพราะสถาบันศึกษาความสูงอายุแห่งชาติ แห่งสหรัฐอเมริกา ยังยืนยันว่า ภาวะพุงโต (ซึ่งอาจจะมีน้ำหนักไม่มากก็ได้) เป็นสัญญาณอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้อายุเฉลี่ยสั้นกว่าคนพุงเล็ก พูดง่ายๆ ว่าคนน้ำหนักตัวเท่ากัน คนพุงโตตายเร็วกว่า
........สถาบันแห่งนี้ได้ติดตามศึกษาวิจัยชาย-หญิงอเมริกันที่มีอายุระห ว่าง 51-72 ปี จำนวน 250,000 คน เป็นเวลานานถึง 9 ปี เพื่อหาความสัมพันธ์ของไขมันที่พุง ดัชนีมวลกายและอัตราการเสียชีวิต
พบว่าพวกที่พุงโตพากันเสียชีวิตลงในช่วงระหว่างการศึกษา มากกว่าเพื่อนฝูงที่ขนาดพุงเล็กกว่าถึงร้อยละ 22 ทั้งนี้ทางสถาบันได้ใช้เกณฑ์วัดรอบพุงตามมาตรฐานที่องค์การอนาม ัยโลกกำหนดไว้ คือผู้ชายไม่เกิน 40 นิ้ว ผู้หญิงไม่เกิน 35 นิ้วดังกล่าวแล้ว
มีพืชผักไทยชนิดหนึ่งซึ่งกำลังเป็นที่กล่าวขวัญกันมากคือมะรุม นอกจากขึ้นชื่อในด้านที่มีคุณค่าทางอาหารสูงแล้ว ยังมีฤทธิ์ลดไขมันในร่างกายและลดคอเลสเตอรอลในเลือดด้วย คุณค่าทางโภชนาการของมะรุมที่พบจากงานวิจัยคือ
มีวิตามินเอมากกว่าแครอตถึง 3 เท่า
มีวิตามินซีมากกว่าส้มถึง 7 เท่า
มีโปแตสเซี่ยมที่ช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย
ที่สำคัญคือมะรุม อุดมด้วยแคลเซี่ยมบำรุงกระดูกมากกว่า 3 เท่าของนมสด มีใยอาหารสูงแต่แคลอรี่จากคาร์โบไฮเดรตไม่มากนักเหมาะสำหรับเป็ นอาหารลดน้ำหนัก
.......ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นผลิตชาใบมะรุม เพื่อบำรุงร่างกาย บำรุงสายตา แก้โรคปากนกกระจอก หอบหืด ปวดหู ปวดศีรษะ ช่วยระบาย บำรุงตับ
........ชาวอินเดีย ศรีลังกา จะให้ผู้หญิงมีครรภ์กินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก แคลเซี่ยม และให้ผู้หญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ กินใบมะรุม นอกจากช่วยเสริมธาตุอาหารแล้ว ยังช่วยให้คุณแม่มีน้ำนมปริมาณมากพอที่จะเลี้ยงทารกด้วย
........อินเดีย ศรีลังกา เป็นต้นตำหรับของมะรุม เพราะคำว่า มะรุม ในภาษาไทยแผลงมาจากคำว่า มารุง ในภาษาดั้งเดิมของชนชาติอินเดียใต้นั่นเอง คนไทยไม่ค่อยรู้จักกินใบมะรุม รู้จักกินแต่ฝักโดยเอามาปรุงเป็นแกงส้มผักมะรุมปลาช่อน
........สำหรับคุณค่าทางยาของมะรุมนั้นมีสาระสำคัญที่ชื่อไนอาซิไมซิน (Niazimicin) ต้านการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งผิวหนัง และมะเร็งตับได้
ในส่วนฤทธิ์ลดความอ้วนนั้น ชาวอินเดียรู้จักใช้ใบและฝักมะรุมลดไขมันกันมาแต่โบร่ำโบราณแล้ ว กระทั่งมีการวิจัยกันในสัตว์ทดลอง เช่นหนูและกระต่ายโดยให้สัตว์ทดลองที่ถูกขุนจนอ้วนพี กินสารสกัดจากใบและฝักมะรุม พบว่ามีการขับไขมันและคอเลสเตอรอลในอุจจาระของสัตว์ทดลองเพิ่มเ ป็นจำนวนมาก ยิ่งกว่านั้นปริมาณไขมันที่พอกตับและไตของสัตว์ทดลองจะลดลงด้วย ช่วยฟื้นสมรรถภาพของตับและไตให้ดีขึ้น สัตว์ทดลองมีน้ำหนักลดลง และมีอายุยืนยาวมากขึ้น
มะรุมจึงเป็นอาหารและยาทางเลือกอีกตัวหนึ่ง ที่ควรหามารับประทานกัน เพราะมีวิตามิน แร่ธาตุครบถ้วน ซ้ำยังมีใยอาหารสูง สามารถบริโภคเพื่อลดน้ำหนักตัวได้โดยไม่ขาดสารอาหาร วิตามิน และ แร่ธาตุที่สำคัญ แถมเมล็ดมะรุมมีคุณค่าไขมันไม่อ่มตัวเหมือนน้ำมันมะกอกอีกด้วย
วิธีบริโภคฝักมะรุมแบบใหม่โดยไม่ต้องนำมาทำแกงส้มให้ยุ่งยากคือ หาฝักมะรุมตามตลาดสดทั่วไป รับประทานวันละ 1-2 กิโลกรัมก็ได้ เมื่อได้ฝักมะรุมมาแล้วก็ทำการฝานเปลือกเขียวบางๆ ออกไป เหลือผิวในหุ้มเมล็ดสีขาวจั๊ว ระวังถ้าฝานเปลือกออกหนาเกินไปจะเสียของ
จากนั้นจึงนำมาหั่นเป็นท่อนๆ ความยาวท่อนละ 1 นิ้วนำไปนึ่งให้สุกดี (หากใช้วิธีต้มต้องรับประทานทั้งเนื้อและน้ำผักด้วย) จากนั้นจะนำมาจิ้มน้ำพริก หรือน้ำปลาพริก ทานกับข้าวก็ได้
ก็ไปทำความรู้จักกับฝักมะรุมตามตลาดสด ดูแล้วซื้อหามานึ่งรับประทาน เพื่อสุขภาพ และควบคุมน้ำหนัก ฝักมะรุมเก็บไว้ในตู้เย็นได้นาน ซื้อมาตุนไว้คราวละ 2-3 กิโลกรัมก็ได้ เอามารับประทานอย่างน้อยวันละ ครึ่งกิโลกรัม รับรองเดือนหนึ่งจะได้หุ้นเพรียวลมสมใจแน่นอน
โดย : สันติสุข โสภณสิริ
http://board.agalico.com/showthread.php?t=26072