พยายามมองพิจารณาตัวเองได้พบว่า...

กระทู้: พยายามมองพิจารณาตัวเองได้พบว่า...

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. รูปส่วนตัว Butsaya

    Butsaya said:

    พยายามมองพิจารณาตัวเองได้พบว่า...

    อืมม... วันนี้พยายามมองพิจารณาตัวเองได้พบว่า
    ทำมัยบางครั้งเราถึงควบคุมอารมณ์ ณ ขณะที่มันเกิดบันดาลโทสะไม่ได้
    ดูมันได้อย่างเดียวเมื่อเรามีสติ ทำได้แค่นั้น
    เฮ่ออ..ยิ่งเรามีความเครียดมากเท่าไร ความรู้สึกด้านนี้ยิ่งมาก
    รวมทั้งหงุดหงิดก็ง่าย แต่คนเราเป็นไปไม่ได้อีกเนาะที่จะไม่ให้เครียด
    เพราะถ้าเรามีงานมากมาย และยิ่งมีสภาวะที่มันบีบรัด
    เรายิ่งไม่มีกำลังต่อสู้ความรู้สึกนี้ได้เลย เอ.. ถ้าเป็นแบบนี้นาน ๆ
    ไปเรายิ่งสะสมโทสะแบบนี้มากขึ้น หรือว่าต้องหาวิธีมาแก้ไขให้ตรงนี้เบาบางลง
    แต่มองแล้วบางทีมันเป็นอัตโนมัติอะค่ะ ห้ามไม่ให้เกิดก็ไม่ได้
    แต่มันเกิด แล้วเรารู้สึกตัวมันก็ดับไปเอง ท่าทางวันนี้มาบ่นซะแล้ว อิอิ
    ที่นี่มีให้มาบ่นได้มัยอะค่ะ หรือว่าต้องเป็นคำถามทางธรรมอย่างเดียวอะค่ะ อิอิ


    ธรรมมีทุกหย่อมหญ้า.......สำหรับผู้มีปัญญา
     
  2. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:

    Re: พยายามมองพิจารณาตัวเองได้พบว่า...

    เข้ามาฟังคนบ่น

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  3. รูปส่วนตัว Butsaya

    Butsaya said:

    Re: พยายามมองพิจารณาตัวเองได้พบว่า...


    อิอิ..ๆๆๆๆ 5555 แต่ไม่อยากเป็นแบบนี้เลยอะค่ะ
    ฟังอย่างเดียวไม่ได้นะคะ พี่เดฟ ต้องให้แนวคิดด้วยดิค่ะ
    จะได้ดูขลังขึ้นอะค่ะ พี่เคยเป็นแบบเดียวกันนี้มัยอะค่ะ
    แล้วเวลาพี่เป็นจะทำอย่างไรค่ะ


    ธรรมมีทุกหย่อมหญ้า.......สำหรับผู้มีปัญญา
     
  4. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:

    Re: พยายามมองพิจารณาตัวเองได้พบว่า...


    อ้างอิง โพสต์ต้นฉบับโดยคุณ Butsaya
    ทำมัยบางครั้งเราถึงควบคุมอารมณ์ ณ ขณะที่มันเกิดบันดาลโทสะไม่ได้ ดูมันได้อย่างเดียวเมื่อเรามีสติ ทำได้แค่นั้น



    อ่ะคับ เพราะเราทุกคนยังไม่ได้ดับโทสะสิ้นเหมือนอย่างพระอนาคามี
    จึงเป็นธรรมดาที่ย่อมต้องมีโทสะเกิดขึ้น
    เมื่อมีสิ่งอันไม่พึงปราราถนามากระทบ

    อยู่ที่ว่าสติจะเกิดระลึกได้หรือไม่...หากสติเกิดระลึกได้
    สติซึ่งเป็นกุศลธรรมก็เกิดแทนโทสะซึ่งเป็นอกุศลธรรม
    แต่ก็อยู่ที่กำลังของสติว่าจะเกิดสืบต่อเนื่องกันไปแทนโทสะหรือไม่
    หรือสติเกิดแค่แว๊บๆ แล้วโทสะก็เกิดสืบต่อไปอีก
    หรือสติยังไม่มีกำลังพอที่จะเกิดสืบต่อเนื่องกันไปแทนโทสะ
    แต่เกิดแทรกคั่นสลับไปกับโทสะ
    ทำให้บางครั้ง เหมือนรู้ว่าโทสะนั้นไม่ดี เป็นโทษภัย
    แต่ก็ยังเกิดโทสะอยู่นั่นเอง...เพราะโทสะมีกำลังมากกว่าสติ




    เดฟ

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  5. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:

    Re: พยายามมองพิจารณาตัวเองได้พบว่า...

    อ้างอิง โพสต์ต้นฉบับโดยคุณ Butsaya
    เอ.. ถ้าเป็นแบบนี้นาน ๆ ไปเรายิ่งสะสมโทสะแบบนี้มากขึ้น หรือว่าต้องหาวิธีมาแก้ไขให้ตรงนี้เบาบางลง


    โทสะที่เกิดขึ้นครั้งนึง
    ก็เท่ากับสั่งสมโทสะนั้นเพิ่มอีกครั้งนึง

    สติที่เกิดขึ้นครั้งนึง
    ก็เท่ากับสั่งสมสติเพิ่มขึ้นอีกครั้งนึง

    ดังนั้น เราก็ทราบได้ด้วยตนเองใช่มั้ยคับว่า
    ในวันนึงๆ โทสะหรือสติเกิดมากกว่ากัน
    หากสติเกิดมากกว่า เกิดบ่อยกว่า
    ก็จะค่อยๆ สั่งสมเป็นปัจจัยให้สติมีกำลังขึ้น
    และเมื่อสติเกิดบ่อยกว่า เกิดสืบต่อเนื่องกันไปได้มากกว่า
    โทสะก็ย่อมเกิดน้อยกว่า เกิดเพียงชั่วขณะแล้วสติก็เกิด
    โทสะก็ย่อมระงับเบาบางลงอ่ะคับ

    สติ เป็นสภาพที่ระลึกได้
    เป็นกุศลธรรมที่เกิดขึ้น นำพาให้กุศลธรรมอื่นๆ เกิดร่วมด้วย
    เช่น เมตตา ซึ่งเป็นกุศลธรรมที่ตรงข้ามกับอกุศลธรรมอันได้แก่ โทสะ

    ขณะใดที่เมตตาเจริญขึ้น...โทสะก็เจริญไม่ได้ในขณะนั้น
    แต่ขณะใดที่โทสะเจริญขึ้น...เมตตาก็เจริญไม่ได้ในขณะนั้นเช่นกันอ่ะคับ




    เดฟ

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  6. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:

    Re: พยายามมองพิจารณาตัวเองได้พบว่า...

    อ้างอิง โพสต์ต้นฉบับโดยคุณ Butsaya
    แต่มองแล้วบางทีมันเป็นอัตโนมัติอะค่ะ ห้ามไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ แต่มันเกิด แล้วเรารู้สึกตัวมันก็ดับไปเอง


    อ่ะคับ ไม่มีใครที่จะสั่ง จะห้าม จะบังคับ
    ว่าอย่าให้สิ่งนั้นเกิด จะให้เกิดแต่สิ่งนี้เท่านั้น...ย่อมไม่ได้
    เพราะไม่ว่าจะโทสะ หรือ สติ หรือ เมตตา
    ก็ล้วนเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย
    ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

    เมื่อมีเหตุปัจจัยให้สภาพธรรมใดเกิด...สภาพธรรมนั้นก็เกิด
    เพราะถ้ามีความเป็นตัวตนที่จะสั่งได้ บังคับได้
    เราทุกคนก็คงจะสั่งหรือบังคับว่า
    ให้แต่สติเกิด เมตตาเกิด กันตลอดเวลา ตลอดทั้งวัน
    โทสะจงอย่าเกิดอีกเลย...เป็นไปได้มั้ยคับ?

    เวลาที่โทสะเกิด แล้วเหมือนว่าเราสามารถระงับยับยั้งไว้ได้
    ก็อาจทำให้เข้าใจผิดว่า..นี่ไง ฉันสั่งได้ ฉันบังคับตัวเองได้
    แต่แท้ที่จริงเพราะขณะนั้นมีสภาพกุศลธรรมที่เคยสั่งสมมาเกิดขึ้นแทนที่โทสะ
    ไม่ใช่เพราะมีตัวตน มีความเป็นเราที่ไปสั่งหรือบังคับ
    หากแต่ด้วยความเห็นผิด เข้าใจผิด
    จึงยึดถือสภาพความเป็นไปทั้งหลายว่าเป็นตัวตน เป็นตัวเรา ที่ไปสั่งไปบังคับ

    การที่สภาพกุศลธรรมหรืออกุศลธรรมจะเกิดขึ้นเป็นไปอย่างไร
    ย่อมเป็นไปตามการสั่งสม...สั่งสมสิ่งใดมากกว่า บ่อยกว่า
    ก็ย่อมเป็นปัจจัยน้อมไปให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้มากกว่า บ่อยกว่า
    ทั้งหลายล้วนเป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
    ส่วนความยืดถือไว้เป็นตัวตน สัตว์ บุคคล...เป็นสิ่งสมมุติที่เรายึดมั่นไว้นั่นเองอ่ะคับ




    เดฟ

    สรณะคือพระรัตนตรัย