อภัย
โดย เรื่องจริงของคนฉะเชิงเทรา



ฉันเกิดมาในครอบครัวมีฐานะปานกลาง พ่อทิ้งแม่ไปตั้งแต่พวกเรา ๓ คนพี่น้องซึ่งเป็นผู้หญิงล้วนยังเป็นเด็ก ภาพที่พวกเราเห็นคือภาพของแม่ ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ผอมเกร็ง ที่ทำงานตื่นตั้งแต่ดึก เพื่อเตรียมวัตถุดิบของก๋วยเตี๋ยวที่แม่เปิดร้านเล็กๆ อยู่ในมุมของถนนสายหนึ่ง แม่มีอาหารให้เราทุกมื้อไม่มีอด แต่พวกเราก็ไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อของฟุ่มเฟือย หลังแม่โค้งลงเมื่อเวลาผ่านไป ริมฝีปากแม่ปิดสนิทหากใครคนใดคนหนึ่งเอ่ยถึงพ่อขึ้นมา ดวงตาเฉยชาคู่นั้น บอกให้ลูกรับรู้ถึงความเจ็บปวดร้าวใจลึก ๆ ของแม่ พวกเราเติบโตมาด้วยความรู้สึกอย่างนั้น..............

ในที่สุด ลูก ๆ ทุกคนก็จบการศึกษา มีงานทำพอให้ได้ชีวิตสุขสบายขึ้น พวกเราเริ่มเก็บหอมรอมริบแล้วซื้อทาวเฮ้าส์เล็ก ๆ ไว้เป็นของเรา วันเวลาผ่านไปได้ ค่อยๆลบรอยร้าวในดวงตาของแม่ลงได้บ้าง พวกเราสามารถเห็นประกายระยับปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราว ความสุขเล็กๆ ของแม่นั้นเอง... !!!

และแล้ววันหนึ่ง พวกเรากลับมาบ้านก็เห็นความผิดปกติของแม่อีก คราวนี้ดูแปลกและร้อนรน แม้แม่จะพยายามเก็บความรู้สึกไว้ พวกเรารู้ดีว่า มีเงาแห่งปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นกับครอบครัวของเราอีกแล้ว....ใจของฉันวูบลงด้วยสัญชาตญาณบางอย่าง....

‘ ....พ่อ เขาจะกลับมาอยู่กับครอบครัวเราอีก....เขาลำบากมากลูก....ทางโน้นทิ้งเขาไปหลายปี ตอนนี้พ่อป่วยเป็นโรคไตอยู่ ทรมานมาก ต้องฟอกไตอยู่เรื่อยๆ เขาต้องมีคนดูแล เขาไม่มีที่พึ่งอีกแล้ว...... ' หูของฉันดับไป เพิ่งรู้ตัวเดี๋ยวนั้นว่า ชิงชังพ่อแค่ไหน..... โกรธและผูกโกรธมานานหนักหนา....

ตั้งแต่นั้นหัวใจของฉันก็ถูกเมฆหมอกสีดำมืดทะมึนแห่งความโกรธปกคลุมไว้ตลอด เวลา ความคิดที่เป็นบาปเกิดขึ้นกับฉันเป็นระยะ ๆ ตามผุดขึ้นในมโนสำนึกของฉัน บางทีความคิดฝ่ายดีก็เกิดขึ้นห้ามปราม แต่ก็สู้เหตุผลของโทสะกิเลสไม่ได้เลย

‘ ทำไมพ่อจึงทิ้งเราไป.. !!

‘ ทำไมพ่อจึงทำกับพวกเรา ทำกับแม่ได้ขนาดนี้.. !!

‘ ทำไมพ่อจึงต้องกลับมา กลับมาทำไม เวลาที่พวกเราต้องการพ่อ ทำไมพ่อไม่กลับ ? เงินสักบาทไม่เคยได้จากพ่อเลย..คราวนี้พ่อต้องมาให้พวกเรา ให้แม่จ่ายเงินเป็นค่ารักษา ค่าฟอกไต.. ' ทำไม...ทำไม...

ฉันบาปหรือเปล่าหนอ ? แต่ก็คิดดูเถอะ ใครอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้จะทำใจได้อย่างไร...พวกเราเริ่มอึดอัดกับภาระทางการเงิน ที่อยู่ ๆ ก็จู่โจมขึ้นมา ฉันกลัวว่าฉันจะสูญเสียเงินไปหมด ความตระหนี่ก็บีบคั้นจิตใจมาเรื่อย ๆ ฉันเป็นทุกข์ทุรนทุรายในเงียบ ๆ คนเดียว ยิ่งคิดก็ยิ่งคับแค้นไปหมด

อยู่มาวันหนึ่ง ได้มีโอกาสพบคน ๆ หนึ่ง ซึ่งน้องสาวได้พาฉันไปพบ เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินอะไรบางอย่าง..... เหมือนมีมีดบางเฉียบ เชือดเฉือนกรีดผ่านสำนึกของฉันไป

‘ อภัยเพื่อรักษาใจของเราเถอะนะ.... ที่เราให้อภัยไม่ได้ เพราะอำนาจความโกรธ ความหวงแหน ความริษยาของเราเอง เรากลัวว่าคนอื่นจะได้ดี ถ้าเราให้อภัย...เราจึงให้ไม่ได้ '

‘ ผ่านความทุกข์มายาวนาน เขาเป็นพ่อผู้ให้กำเนิด อย่างไรเสียเราก็ควรกตัญญูต่อเขา เรารักตัวเองแค่ไหน ใยจึงรังเกียจคนที่มอบให้ชีวิตเราได้เล่า ?... '

‘ บางทีพ่อของคุณกำลังรออะไรบางอย่าง... รอการให้อภัย และการยอมรับจากลูก ๆ เพื่อท่านจะได้จากไปอย่างสงบ ไม่ทุรนทุราย.... '

‘ ลองคิดดูว่า ในขณะที่มีโอกาสแล้วเราไม่ทำ หากเวลาล่วงเลยไป ไม่มีวันเรียกวันคืนให้หวนกลับมาได้ คุณจะตอบตัวเองอย่างไรในเวลาที่เหลือ.... คุณอาจจะคิดได้แต่ก็อาจจะสายเกินไป.... ทำวันนี้ให้เป็นมงคลของชีวิตเถิด แล้วคุณจะข้ามพ้นกำแพงใจที่ตัวคุณเป็นคนสร้างขึ้นมา.. '

ฉันรู้ถึงความรู้สึกว่า ตัวมันเบาขึ้น ใจก็เบาขึ้นอย่างประหลาด ไม่เคยรู้ตัวเลยจนถึงขณะนั้นว่าตัวแบกอะไรไว้มานานหนักหนา... แบกความโกรธ ความคับแค้นที่แสนหนักอึ้ง... ฉันตัดสินใจไปซื้อพวงมาลัยมะลิสีขาวละมุน มากราบพ่อที่นอนป่วยอยู่ มากราบขอโทษที่รู้สึกไม่ดีมา ขอโอกาสไถ่บาปของตัว มีคำพูดนับร้อยที่ประเดประดังเข้ามาในใจของฉันว่าฉันตั้งใจจะพูดอะไรกับพ่อดี แต่ครั้นเมื่อเดินเข้าใกล้เตียงของพ่อ ร่างที่เหลือแต่กระดูกนั้น สะเทือนใจฉันเป็นที่สุด มีเพียงคำเดียวที่ยากที่สุดในชีวิต ที่สามารถหลุดรอดริมฝีปากของฉันออกมา เสียงมันปร่า จนพ่อลืมตามาดู

“ พ่อ.... ” ..... ได้แค่นั้นเอง.... อะไร ๆ ที่ตั้งใจจะพูดหาได้ออกมาไม่.. ฉันวางพวงมาลัยมะลิในมือพ่อให้พ่อถือไว้ แต่แล้วฉันก็ปล่อยโฮออกมาเหมือนทำนบพัง เสียใจอย่างที่สุด ความรู้สึกตอนนั้นมันบอกไม่ถูก ฉันสะอื้นอยู่จนรู้สึกถึงมือที่อ่อนล้าของพ่อมาลูบศีรษะฉัน ไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมาจากปากพ่อ มีเพียงน้ำตาที่ไหลรินเป็นสายผ่านโหนกแก้มลึกตอบเท่านั้นเอง.... น้ำตาของพ่อ... ฉันคิดว่าพ่อดีใจ... ดีใจที่ลูกยอมรับพ่อแล้ว !

พี่สาวกับน้องสาวค่อยๆ เดินเข้ามาสมทบ ทุกคนก้มลงกราบพ่อ... รู้สึกเป็นสุขเหลือเกิน เรื่องง่าย ๆ ที่ทำได้แสนยาก

วันรุ่งขึ้นเช้าตรู่ พวกเราพบพ่อร่างเย็นเฉียบ ใบหน้าดูมีความสุข พ่อได้จากไปอย่างสงบ ฉันนึกถึงคำพูดของคน ๆ นั้น เย็นหลังวาบขึ้นมาอีกครั้ง... คุณอาจจะคิดได้แต่ก็อาจจะสายเกินไป ทำวันนี้ให้เป็นมงคลของชีวิตเถิด....

ขอบคุณสำหรับคำพูดนั้น ขอบคุณที่ฉันมีโอกาสในวันวาน.......

ฉันรู้สึกเหมือนคนข้ามผ่านกำแพงหนาทึบออกมาได้ แต่หลังจากนั้น ฉันกลับรู้สึกถาโถมไปกับความเสียใจ........เสียใจกับความรู้สึกที่ไม่ดีของตัวเองตลอด คิดโทษตัวเองว่าทำไม่ดี คิดไม่ดีต่อพ่อ..ทำไมมีเวลาให้ฉันทำอะไรดีๆน้อยเหลือเกิน....?

ในที่สุดฉันจึงโทรศัพท์ไปหาคนๆนั้น เล่าเรื่องทั้งหมดจนถึงเรื่องที่พ่อเสียชีวิต และความรู้สึกทรมานใจของตัวเองในขณะนั้น..ฉันรู้สึกแห้งผากอยากหาคนปลอบใจให้ฉันหายจากความรู้สึกเช่นนั้น.....

“ คุณโชคดีที่มีโอกาสได้ให้อภัยคนอื่น.....เอาละ...ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว..ถึงเวลาที่คุณจะต้องให้อภัยตัวเองบ้าง..... ”
ฉันจึงรู้ว่า การให้อภัยคนอื่นนั้นว่ายากแล้ว...แต่การให้อภัยตัวเองนั้นกลับยากกว่าเป็นไหนๆ......แต่......แต่ฉันเริ่มรู้สึกรักตัวเองและคนทั้งโลกเลยละ... !!!!



ที่มา http://www.raksa-dhamma.com/topic_11.php