หลวงปู่ฝากไว้
พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร)
คัดมาจาก หนังสือพุทธาจารานุสรณ์
โพสท์ในลานธรรมเสวนา หมวด สติปัฏฐาน ๔ กระทู้ 14484 โดย : อิน 21 มี.ค. 48
หลวงปู่ฝากไว้
(๑) วันเวลาที่หมดสิ้นไปโดยไม่ได้ทำอะไรที่เป็นคุณค่าเป็นประโยขนืแก่ตนเองบ้างในชีวิตที่เกิดมาในโลก และได้พบพุทธศาสนานี้ ช่างเป็นชีวิตที่น่าเสียดายยิ่งนัก เวลาแม้นเพียงหนึ่งนาทีที่ผ่านเลยไปนั้น แม้ว่าจะทุ่มเงินจำนวนมหาศาลสักสิบล้าน ร้อยล้าน ก็ไม่สามารถซื้อคืนกลับมาได้ ฉะนั้น สิ่งที่น่าเสียดายในโลกนี้ จะมีอะไรน่าเสียดายเท่ากับปล่อยให้วันเวลา ผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ แม้นว่าจะเพียงแค่นาทีเดียว
(๒) ใจของคนเราทุกคนถ้าเจริญภาวนาไม่ทอดธุระ ภาวนาให้ได้ทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น จิของผู้ภาวนาก็สูง คำว่าสูง ก็เหมือนกับเรือ เรือที่ลอยลำอยู่ในแม่น้ำลำคลอง หรือที่มหาสมุทรสาคร ก็คือจิตมันอยู่เหนือน้ำ จิตอยู่เหนืออารมณ์ เหมือนเรืออยู่เหนือน้ำ มันก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อน จึงจำเป็นจะต้องฝึกตนเอง ให้มีความอดทน
(๓) เวลาความสุขมาถึงเข้า เราจะไปเอาความสุขในความสรรเสริญเยินยอ มั่งมีศรีสุขอย่างเดียว แต่เราหารู้ไม่ว่า ความสุขมีที่ไหน ความทุกข์ก็มีที่นั่น
(๔) มรณกรรมนี้เป็นยอดกรรมฐานก็ว่าได้ คนเราเมื่ออาศัยความประมาทมัวเมา ไม่ได้มองเห็นภัยอันตรายจะมาถึงตน คิดเอาเอง หมายเอาเอง ว่าเราคงไม่เป็นไร ง่ายๆสบายดีอยู่ เรายังเด็กยังหนุ่มอยู่ ความตายคงไม่กล้ำกลายได้ง่ายๆ อันนี้เป็นความประมาทมัวเมา
(๕) เราผู้เป็นสาวก สาวิกา ศรัทธาญาติโยม ภิกษุสงฆ์สามเณร ก็อย่าได้มีความถ้อถอย อย่าไปคิดว่าเราทำไม่ได้ เราบุญน้อย วาสนาน้อย ละกิเลสไม่ได้ อย่าไปคิดอย่างนั้น อะไรก้อตามถ้าหากว่าเรามีความตั้งใจไม่หวั่นไหวแล้ว ตั้งใจประพฤติดีปฏิบัติชอบในสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล ไม่ท้อถอยในดวงใจแล้ว ย่อมได้ย่อมถึงเป็นไปได้ทุกถ้วนหน้า
(๖) ยิ่งเจริญยิ่งภาวนาเท่าใด จิตมันก็มีกำลัง เมื่อใจมีพลังมีความอาจหาญแล้ว สิ่งที่เรียกว่ายากก็ไม่มีอะไรยาก สิ่งที่เราคิดว่าเหลือวิสัย ก็ไม่เหลือวิสัย อยู่ที่วิสัยทุกคนจะทำได้ทั้งนั้น
(๗) คนสมัยนี้ควรเรียนรู้อย่างหนึ่งว่า พระเจ้าพิมพิสารมีศรัทธาแก่กล้าทำบุญถวายแผ่นดินกับพระพุทธเจ้า แผ่นดินมีเท่าไร ก้อแบ่งครึ่งหนึ่งเลย พวกเราทุกคนถ้ามีอย่างนั้นก็ท่าจะแบ่งไม่ได้แหละ อะไรก็ของกูหมดทุกอย่าง เวลาตายก็เอาไปบ่ได้ ก็ยังว่าของกูอยู่
(๘) เมื่อเราท่านทั้งหลายพากันได้ยินได้ฟังแล้ว ก็ให้ตั้งใจปฏิบัติบูชาภาวนา มันไม่ใช่ของยาก มันยากอยู่ที่ไม่ทำไม่ปฏิบัติ ถ้าทำถ้าปฏิบัติแล้วไม่มีอะไรเป็นของยาก ย่อมรู้ได้เข้าใจเมื่อภายหลัง
(๙) ที่ให้นั่งขัดสมาธิเพชรนี้ ก็คือว่าหัวใจเรามีความองอาจกล้าหาญ ใจเป็นเพชรแข็ง ตัดกิเลสความโกรธให้ได้ ตัดกิเลสความโลภให้ได้ ตัดกิเลสความหลงให้ได้
(๑๐) คลอดออกมาก็ถือหละ ลืมตาเห็นโลกใหม่ โลกใหม่ก็โลกเก่าของตนเองนั่นแหละ โลกเกิด โลกเจ็บ โลกไข้ โลกตาย ถ้าเกิดในประเทศใดก็ยึดถือว่าประเทศนั้นเป็นของตน แผ่นคิดนั้นเป็นของตน ตัวอุปทานมันยึดมันถือ คือมัน หาบหิน เป็นผีบ้าหาบหิน หาบไปจนเฒ่า จนแก่ตาย ตายแล้วก็ว่าจะแล้วแต่มันไม่แล้ว ก็เกิดมาอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้แหละเพราะมันหลง
(๑๑) ถ้ามองเห็นความตายทุกลมหายใจเข้าออกแล้ว สบายใจไปเลย กูก็จะตายสูก็จะตาย จะมาวุ่นวายกันทำไม
(๑๒) ธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น เวลาจะเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ต้องไปเอาหมด ทุกถ้อยกระทงความ อุบายธรรมอันใด เมื่อเราเอามาสอนใจเราได้ก็ให้จดจำเอาอุบายธรรมอันนั้น มาสอนใจของเราให้สงบตั้งมั่นเป็นสมาธิภาวนาให้จงได้ อันนั้นแหละจะเกิดประโยชน์ จิตที่ไม่สงบไม่ตั้งมั่น จิตที่ขี้เกียจขี้คร้านภาวนาก็จะได้หมั่นขยันขึ้น เพราะเอาธรรมคำสั่งสอนนั้นมาพร่ำสอนจิตใจของตนเอง จนจิตมีกำลังมีความสามารถอาจหาญในการตัดบ่วงห่วงอาลัยกิเลสในหัวใจของตนได้
(๑๓) คนเราโง่ ฉลาด มันอยู่ที่ความตั้งใจ ถ้าใจไม่ฉลาดมันก็เก็บเอาความโง่เขลาเบาปัญญามาไว้ อารมณ์ที่ดีมันนึกไม่ได้ พุทโธ ๆ ในใจมันนึกไม่ได้ แต่นึกรั่ว ไหลไปที่อื่น หลงใหลไปตามกิเลสของใจกิเลสของโลก เมื่อหลงใหล ออกไปกว้างขวางเท่าไรก็เรียกว่าจมลงไปในแม่น้ำมหาสมุทร คือว่าหลงไปตามสมมติของมนุษย์ที่สมมติอยู่ จิตใจเราไม่ภาวนาไม่สงบเป็นดวงหนึ่งดวงเดียวจึงใช้การไม่ได้
(๑๔) เมื่อไปไหนอยู่ไหนอะไรก้อตาม จงเป็นผู้มีสติเตือนใจของตนเองว่า เราจะต้องมีสติ เราจะต้องมีสมาธิ เราจะต้องมีปัญญา เราจะต้องฝึกฝนจิตใจเราให้เกิดความรู้เข้าใจในธรรมปฏิบัติ ธรรมปฏิบัติไม่ได้เลือกกาลเวลา กาลใดเวลาไหน ก็ตามมันขึ้นอยู่กับการประกอบกระทำ
(๑๕) ภาวนาก็เหมือนกัน ต้องรู้จักเลือกอุบายภาวนา พิจารณาอุบายที่ถูกจริต อาศัยความเพียรอย่างเดียวบ่ได้ กิเลสมันพลิกเพลงเก่ง ต้องตามให้ทัน คนรู้จักพิจารณาก็ได้บรรลุธรรมเร็ว
(๑๖) มรณกรรมฐานนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ไม่ใช่เพียงคำพูด คำพูดหรือตัวหนังสือ มันละกิเลสอะไรไม่ได้ แต่ถ้าผู้ปฏิบัติน้อมรำลึกถึงในมรณกรรมฐานไม่ว่าจะเห็นคน เห็นสัตว์ ป่าไม้ ป่าดงพงพี ก็เห็นความตายแตกดับ ความตายของคนของสัตว์ ของต้นไม้ ใบหญ้า ผลที่สุดที่เกิดมาแล้วก็ต้องมีความแตกดับทำลายตายไปเป็นธรรมดา ใครจะมายึดว่าตัวเราของเราก็ไม่ได้ทั้งนั้น ยึดไปเถิดเมื่อถึงความตายก็ต้องทิ้ง ไม่ทิ้งก็จำใจทิ้งเมื่อจิตใจของผู้ภาวนา ภาวนาเข้าถึงขั้นมรณกรรมฐานแล้ว ไม่ห่วงใคร บ้านก็ไม่ห่วง ลูกเต้าก็ไม่ห่วง ลูกหลานเหลน โหลน อะไรไม่ห่วงทั้งนั้น เพราะมันเล็งเห็นแจ้งชัดว่าตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้
(๑๗) เราเกิดมามีอายุเท่านั้นเท่านี้ ปี มันเป็นเรื่องที่แล้วมาแล้ว แต่เวลาข้างหน้ามันขึ้นอยู่กับลมหายใจ กำหนดแน่ไม่ได้.. เมื่อยังมีลมหายใจอยู่ก็อย่าประมาท พยายามทำจิตใจให้สำรวมระวัง เกิดปัญญาฟาดฟันกิเลสให้หมดไปสิ้นไปอยู่เสมอ
(๑๘) กาลเวลามันล่วงไปผ่านไป แต่มันมิได้ล่วงไปเปล่า มันเอาอายุวัยของเราไปด้วย ดังนั้นอย่าประมาทเรื่องกาลเวลา ให้เสวงหาสาระคือ บุญกุศลไว้เสมอๆ อย่าให้ชีวิตล่วงไปเปล่าประโยชน์
ôôôôô ต่อหน้า 2 ôôôôô