แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต
จากบทความเรื่อง
"นักธรรม" โลกมายา Grow Inner
เรื่อง : มนสิกุล โอวาทเภสัชช์
ภาพ : ณัฐพงศ์ จีรังสวัสดิ์
ที่มา : นสพ.กรุงเทพธุรกิจ วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2548
คัดลอกจาก โฮมเพจบ้านธรรมรัตน์ http://www.anamai.moph.go.th/occmed/...f%20wisdom.doc
ให้ธรรมะนำหน้า แล้วแม่ก็จะเป็นตัวตนเล็กๆ เหมือนเดิม คนจะรู้จักแม่มาก ก็เพราะแม่ทำงานมาก แต่ตัวตนแม่ต้องเล็กลงนะ แล้วงานจะยิ่งใหญ่ นั่นคือเป้าหมาย และคือการอุทิศชีวิตของแม่
แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต
"มนุษย์ไม่ได้เป็นเหยื่อของอารมณ์"
นี่คือ Talk of the town สารคดีชีวิตรางวัล Santa Barbary Film Festival 2005 ในฮอลลีวู้ดต้นปีนี้
'A Walk of Wisdom' หรือ ก้าวย่างแห่งปัญญา กลายเป็นหนังที่ชาวโลกมายาต้องหลั่งน้ำตาให้ด้วยความปีติ ไม่เว้นแม้แต่สตีเฟน ไซมอน ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง What Dreams May Come และ Somewhere in Time เขาได้กล่าวว่า แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุตเปรียบดั่งดวงประทีปที่ฉายแสงแห่งความหวังมาสู่ผู้คนบนโลก งดงาม อ่อนโยน และไพเราะดังบทกวี ....
และเมื่อค่ำวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาชาวไทยส่วนหนึ่งก็ได้ร่วมชมหนังเรื่องดังกล่าวเช่นกัน เนื่องจากเป็นวันครบ 25 ปีแห่งการเดินทางด้านในของแม่ชีศันสนีย์
แม่ชีศันสนีย์กล่าวในวันแถลงข่าว 'A Walk of Wisdom' ในโรงหนังอีจีวี สยามดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์เมื่อค่ำวันนั้นว่า ...วันนี้เป็นวันบวชของข้าพเจ้าเมื่อ 25 ปีก่อน เวลาเย็นๆ ค่ำๆ อย่างนี้เป็นวันแรกที่เราต้องฝึกนอนอย่างชนิดที่ต้องทิ้งความสะดวกสบายของบ้านเรือน มีหลายอย่างที่ทำให้ชีวิตของเราได้เรียนรู้และเข้มแข็ง
"ข้าพเจ้าบวชตั้งแต่อายุ 27 ปี เวลาที่ถอดเมคอัพออกจากหน้าจะซีดเหมือนจิ้งจก มันดูเหมือนเด็กมาก จนหลวงพ่ออุปัชฌาย์เรียกแม่ชีว่า "แม่ชีคุณหนู " แล้วท่านก็จะอดทนต่อความดื้อดึง โต้แย้งของเรามาตลอดระยะเวลา 7 ปีแรกของการบวช ขณะที่เราดื้อ หลวงพ่อจะสอนเราเสมอว่า เราไม่ได้ทุกข์เพราะคนอื่นทำนะ แต่เราทุกข์เพราะเราคิดผิดอย่างไร"
และก่อนที่หลวงพ่อของแม่ชีจะมรณภาพ แม่ชีเล่าว่า ท่านวางแผนให้เราทำงานในแผ่นดินที่ว่างเปล่า โดยบอกเราว่า ที่ตรงนี้ดีนะ คุณหนู คิดว่ามันจะเป็นประโยชน์อะไรได้ไหม
"เราก็บอกท่านว่า ท่านสอนว่าสมบัติเป็นทุกข์ไม่ใช่หรือเจ้าคะ แล้วจะให้ซื้อสมบัติทำไม ท่านบอกว่า ถ้ามีปัญญาสมบัติจะไม่ทุกข์ หลังจากนั้นเราฝึกว่า สิ่งที่เราได้มาคือสมบัติของคนตายจาก ..."
หลังจากนั้น 'เสถียรธรรมสถาน' ก็เกิดขึ้นจากสมบัติของคนตายจาก ซึ่งได้ช่วยลูกผู้หญิงที่ถูกทำร้าย และเพื่อนร่วมทุกข์อีกเป็นแสนๆ คนในช่วงเวลา 18 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ แม่ชีศันสนีย์ไม่เคยลืมที่จะกล่าวถึงชายผู้หนึ่งซึ่งเคยอยู่เคียงข้าง และปัจจุบันยังเป็นกำลังอันสำคัญที่ทำให้เสถียรธรรมสถานดำรงอยู่ได้ และในวันแถลงข่าว....
"ต้องขอบคุณ คุณเสถียร เมื่อ 25 ปีที่แล้ว คุณเสถียรอนุญาตให้เรามาบวช ทำให้เรารู้สึกว่า เราได้อยู่บนหนทางของความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ทำให้วันนี้คุณเสถียรก็อยู่ในโรงภาพยนตร์นี้ ปรบมือให้คุณเสถียรด้วยค่ะ เพราะถ้าเธอไม่ยกความรักของเธอให้อยู่เหนือเงื่อนไขของความเห็นแก่ตัว เราก็ไม่สามารถทำงานใน 25 ปีนี้อย่างสะดวกใจ"
และสุดท้าย A Walk of Wisdom จะไม่สามารถปรากฏบนจอภาพยนตร์ได้ ถ้าไม่มีการพบกับวิคตอเรีย โฮลท์ เธอเปรียบเหมือนน้องสาวทางธรรมของแม่ชีศันสนีย์ ธรรมะจัดสรรให้ทั้งคู่ได้มาเจอกันในงานประชุมผู้นำสตรีทางศาสนาและจิตวิญญาณเพื่อสินติภาพโลกที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และหลังจากนั้นสารคดีชีวิตลูกผู้หญิงคนหนึ่งก็ถูกเปิดเผยขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนกลายเป็นเรื่องราวที่จะออกฉายพร้อมกันใน 60 ประเทศทั่วโลกในไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้
สัมภาษณ์....วิคทอเรีย โฮลท์ ผู้กำกับ และผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์สารคดี A Walk of Wisdom เกี่ยวกับประวัติของแม่ชี ศันสนีย์ เสถียรสุต และการนำหลักคำสอนในพุทธศาสนามาใช้แก้ปัญหาให้กับเด็กและผู้หญิงในเมืองไทย ซึ่งทั้งคู่เดินทางมาบันทึกเทปโทรทัศน์ในรายการสัมภาษณ์บุคคลที่สถานีโทรทัศน์ไอพีทีวี (สหรัฐอเมริกา) เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2548
ภาพจาก www.maithaimagazine.com
คุณแม่เคยเล่าว่า ถนัดในการใช้สื่อแสดงธรรม ตอนนี้คุณแม่ใช้ภาพยนตร์เป็นสื่ออย่างไร จากสมมติไปจนถึงวิมุตติ คือสามารถใช้มายาเพื่อให้เราก้าวข้ามไปหาความจริง
ก่อนอื่นแม่ต้องขอบคุณที่หนูตั้งคำถามที่ดีมากคำถามหนึ่ง ในการทำงานเพื่อพระธรรม เพราะการที่เราเห็นสมมติเพื่อการวิมุตติ คือเรารู้จักใช้สมมติเพื่อการหลุดพ้น เราไม่ใช้สมมติบัญญัติเพื่อความยึดมั่นถือมั่นอันนำมาซึ่งความทุกข์ แต่เราจะอยู่ในโลกอย่างไร อย่างไม่เปื้อนโลก ถ้าเราเข้าใจโลก ถ้าเรารู้เท่าทันโลก อยู่กับโลกอย่างคนที่มีพัฒนาการภายในจิตใจ ที่จะมองเห็นสิ่งสมมติบัญญัติตามความเป็นจริงว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้น และใช้สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เพื่อการเป็นอิสระจากความยึดมั่นถือมั่น กระบวนการหลังเรียกว่าปัญญา คือเห็นธรรมชาติ เข้าใจกฎของธรรมชาติว่ามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และจบลง
ไม่ว่าเราจะมองธรรมชาติอย่างคนที่ถูกใจเราก็เพลินชอบ ถ้าไม่ถูกใจเราก็เพลินชัง เพราะฉะนั้นธรรมชาติที่เรามองเห็นตามความเพลินชอบ เพลินชังเป็นการมองธรรมชาติตามกิเลส แต่ถ้าเรามองธรรมชาติอย่างเข้าใจธรรมชาติ เราก็จะเห็นว่า ทั้งชอบทั้งชัง อนิจจังทั้งคู่ เพราะฉะนั้นการที่เราเห็นสมมติบัญญัติอย่างคนที่เข้าใจว่า ขันธ์ทั้ง 5 เป็นของหนักเน้อ ถ้ายึดมั่นถือมั่น แต่ถ้าเผื่อขันธ์ทั้ง 5 คือชีวิตของเราที่ใช้ไปในโลกนี้อย่างไม่ยึดมั่นถือมั่น เราก็จะใช้ชีวิตนี้อย่างคนที่เกิดมาเพื่อให้โลกภายใน ใช้การเกิดคราวนี้เพื่อการไม่เกิดอีกที่เรียกว่าทุกข์ ทำให้ชีวิตที่สงบเย็นภายในเป็นประโยชน์อย่างกว้าขวาง ไม่เลือกปฏิบัติ หมายความว่า ความเห็นเฉพาะตัวอันคับแคบที่เป็นความเห็นแก่ตัวจะไม่มี นี่คือการใช้สมมติบัญญัติเพื่อการเดินทางไปสู่การวิมุตติคือหลุดพ้นได้
สมมติบัญญัติที่ว่าคืออะไรบ้างคะ
ตัวเราของเรา ทุกๆ อย่างที่เรายึดไว้ แม่จึงใช้ความสนุกสนานทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นการสนทนาระหว่างคนสองคนคือโทรศัพท์มือถือจะสนทนาให้เกิดสติปัญญาได้อย่างไร หรือการสื่อสารออนไลน์ เวบไซต์ วิทยุ ไปจนถึงการสนทนาโดยผ่านกล้องทีวี ดาวเทียม ผ่านฟิล์มภาพยนตร์ ผ่านไมโครโฟนที่ใช้บทเพลง ผ่านการเคลื่อนไหวกายและใจต้องตั้งมั่นรู้ตื่นและเบิกบานอยู่ในกระบวนการสร้างความสนุกสนานทางปัญญาที่ใช้มีเดีย ใช้เครื่องมือสื่อสารเป็นยุทธวิธีที่นำไปสู่ความสนุกสนาน แม่เรียกว่าโลกเป็นมายา แต่เราสามารถใช้โลกมายา ใช้กระบวนการของสื่อนี้เข้าไปนำเสนอเป็นกลยุทธ์ที่มียุทธศาสตร์ที่จะทำให้คนรอดพ้นจากความทุกข์
แล้วแม่ก็จะชวนให้รัฐบาลสนับสนุน Spiritual Entertainment ที่แม่วางแผนอยู่ แล้วแม่ก็เชื่อว่า นายกฯ ซื้อความคิดของแม่นะ แม่อาสาทำงานออกมาให้ดูก่อนเลยว่า A Walk of Wisdom ที่เขียนบท กำกับการแสดง และอำนวยการสร้างโดยวิคตอเรีย โฮลท์ ชนะการประกวดในงาน Santa Barbara Film Festival 2005 เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2548 ที่ผ่านมา เป็นหนังเรื่องเดียวที่ฮอลลีวู้ดเขาพูดเลยว่าใน 20 ปีของการประกวดหนัง ไม่มีใครดูล้นหลามเท่ากับเรื่อง A Walk of Wisdom เลย
แทบจะเกิดการจลาจลเลยว่าทำไมซื้อตั๋วแล้วไม่ได้ดู เพราะคนฮอลลีวู้ดเข้าไปดูกว่าครึ่งโรงแล้ว เขาจึงต้องเปิดรอบพิเศษ เพราะไม่ได้เป็นหนังที่ดูแล้วจบ แต่การดำเนินเรื่องในชีวิตไม่จบ จิตใจของคนดูกลับมาที่ตัวเอง กลับมาเดินทางอย่างมีสติปัญญามากขึ้น เพราะได้แรงบันดาลใจจากหนังเรื่องนี้ที่จะทำให้ตัวเองมีย่างก้าวแห่งปัญญาต่อไป
คือใช้สื่อแสดงปาฏิหาริย์ที่จะทำให้คนรอดพ้นจากความทุกข์ ยุทธศาสตร์ของการใช้ภาพยนตร์ ละคร ดนตรี หรือแม้แต่เสียงคำสอน บทสวดมนต์ที่จะผ่านสื่อเทคโนโลยีที่จะทำให้คนในโลกนี้เข้าถึงกระแสของการดำเนินชีวิตที่สงบเย็น
เพราะอิทธิพลของสื่อเข้าไปอยู่ในทุกบ้าน ทุกชุมชน ทุกพื้นที่ในโลกนี้ สื่อนำเสนออะไรคนก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นถ้าสื่อแสดงปาฏิหาริย์ที่จะทำให้คนตื่นจากอวิชชา แสดงว่าสื่อซึ่งดูเหมือนเป็นมายากำลังเข้าไปเพื่อจะทำให้คนลดละตัณหาโดยใช้กระบวนการทางมายา ความสนุกสนาน แต่เป็นความสนุกสนานทางปัญญา
เอ็นเตอร์เทนเมนท์ มันต้องทำงานโดยผ่านเครื่องมือสื่อสาร ตอนนี้เราจะทำ Spiritual Entertainment คือความสนุกสนานทางปัญญา และนี่คืองานของเราจากนี้ไป แม่จะใช้การทำงานที่ใช้ยุทธศาสตร์ทำให้คนสนุกสนานทางปัญญา โดยใช้กระบวนการเอ็นเตอร์เทนเมนท์ทุกแขนงเลย
เอ็นเตอร์เทนเมนท์เป็นปัจจัยที่ 5 ของมนุษย์ ความสนุกสนานเป็นปัจจัยที่ 5 ของมนุษย์ ที่จะทำให้เขามีชีวิตอย่างคนที่รู้ตื่นและเบิกบาน
เราห้ามเด็กไม่ให้สนุกสนานไม่ได้ ถ้าเราบอกเด็กๆ ทุกอย่างต้องช้าๆ เชื่องๆ เย็นๆ เด็กๆ เขาไม่เอาหรอก โลกของเด็กเป็นโลกที่สนุกสนาน แต่ในความสนุกนั้นต้องทำให้เด็กเห็นกระบวนการในการใช้ชีวิตที่ไม่ทุกข์ด้วยนะ มันก็เป็น Spiritual Entertainment
ทำไมการให้ธรรมะจะต้องแยกเด็กออกจากครบครัว แยกเด็กออกจากสังคม ทำไมเราไม่ทำสิ่งที่เข้าไปถึงหัวใจของคน และไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน เขาก็สามารถอยู่กับสมมติบัญญัติได้อย่างมีวิมุตติคือความหลุดพ้น นั่นคือธงของแม่ที่จะไปให้ถึง
มีต่อคะ