มหาทุคคตะ
[HR] <!-- / icon and title --><!-- message -->
ในอดีตกาล สมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสป พระองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์สองหมื่นเสด็จไปยังพาราณสี ชาวเมืองชวนถวายทานตามกำลังของตน
เมื่อเสร็จภัตตกิจ พระพุทธเจ้าได้ทรงอนุโมทนาใจ ความว่า คนบางคนทำบุญเอง แต่มิได้ชวนคนอื่น เมื่อเกิดในที่ใดย่อมได้ทรัพย์สมบัติ แต่ไม่ได้บริวารสมบัติ บางคนชักชวนคนอื่นทำแต่ไม่ทำเอง เมื่อเกิดในที่ใด ย่อมได้บริวารสมบัติ แต่ไม่ได้ทรัพย์สมบัติ บางคนไม่ทำเองด้วย ไม่ชักชวนผู้อื่นด้วย เมื่อเกิดในที่ใดย่อมไม่ได้ทั้งทรัพย์สมบัติและบริวารสมบัติ ส่วนบางคนทำเองด้วย ชักชวนผู้อื่นด้วย เมื่อเกิดในที่ใดย่อมได้ทั้งทรัพย์สมบัติและบริวารสมบัติ
ขณะนั้นมีบุรุษผู้เป็นบัณฑิตคนหนึ่งได้ฟังอนุโมทนาแล้วคิดว่า เราจะทำบุญอันเป็นเหตุให้ได้ทั้งทรัพย์สมบัติและบริวารสมบัติ จึงไปเฝ้าอาราธนาพระพุทธองค์ และภิกษุสาวกให้รับอาหารของตนในวันรุ่งขึ้น เสด็จแล้วเข้าไปในหมู่บ้าน เที่ยวบอกชาวบ้านว่า
ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้านิมนต์พระสงฆ์ 2 หมื่นรูป มีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประมุขไว้ เพื่อฉันภัตตาหารในวันพรุ่งนี้ ท่านผู้ใดมีศรัทธาและมีกำลังจะถวายได้เท่าใด ขอได้โปรดบอก เพื่อข้าพเจ้าจะได้จดไว้ในบัญชี
คนทั้งหลายกำหนดกำลังและศรัทธาของตนแล้ว บางคนกล่าวว่า จะถวาย 10 รูป บางคน 20 รูป บางคน 100 รูป บางคน 500 รูป บุรุษผู้เป็นบัณฑิตจดชื่อและจำนวนสงฆ์ที่เขาต้องการลงไว้ในบัญชี
ในสมัยนั้นมีชายคนหนึ่ง เป็นคนยากจนมากกว่าใครในกรุงพาราณสี ใครๆเรียกเขาว่า มหาทุคคตะ แปลว่ายากจนมาก
บุรุษผู้เป็นบัณฑิตได้พบชายเข็ญใจ มหาทุคคตะนั้นแล้วบอกเรื่องที่ตนได้นิมนต์พระไว้ ชักชวนให้มหาทุคคตะช่วยเลี้ยงพระสักรูปหนึ่ง
จะเลี้ยงได้อย่างไร ตัวข้าพเจ้าหาเลี้ยงตนและภรรยาก็แสนยาก การเลี้ยงพระเป็นเรื่องของคนมีทรัพย์ ส่วนข้าพเจ้าไม่มีแม้แต่ข้าวสารสักทะนานหนึ่ง ที่จะหุงต้มกันในวันพรุ่งนี้ ข้าพเจ้าทำงานรับจ้าง เลี้ยงชีพด้วยความฝืดเคือง
บุรุษผู้เป็นบัณฑิตได้พูดหว่านล้อมต่อไปว่า
สหายท่านเห็นหรือไม่ ในเมืองนี้มีคนมั่งคั่งเป็นอันมากได้บริโภคโภชนะอย่างดี นุ่งห่มผ้าเนื้อละเอียด แต่งกายด้วยอาภรณ์ต่างๆ นอนบนที่นอนอันกว้างใหญ่สง่างามเพราะเขาทำบุญไว้ในกาลก่อน ส่วนสหายทำงานรับจ้างทั้งวัน ก็ไม่ได้อาหารแม้เพียงสักว่าให้เต็มท้อง เพราะท่านมิได้ทำบุญไว้ในกาลก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านจึงไม่ควรประมาท รีบขวนขวายในเรื่องบุญกุศลเถิด ท่านสามารถทำตามสติกำลังของท่าน
เมื่อได้ฟังดังนี้ มหาทุคคตะก็สลดใจ กล่าวว่า ขอท่านลงบัญชีภิกษุรูปหนึ่งสำหรับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะทำงานจ้างได้ของมาทำบุญพรุ่งนี้
ผู้ชักชวนเห็นว่าเป็นภิกษุจำนวนน้อย เพียงรูปเดียว จึงมิได้จดลงในบัญชี
ฝ่ายมหาทุคคตะกลับไปเรือน บอกเรื่องนั้นให้ภรรยาทราบ ภรรยาของเขาเป็นคนดี มีความเห็นชอบกับการกระทำชอบของสามีพลอยยินดีร่าเริงด้วย กล่าวว่า
เพราะชาติก่อนเรามิได้ทำบุญไว้ด้วยดี เกิดมาชาตินี้จึงเป็นคนจน เราควรทำงานเลี้ยงพระสักรูปหนึ่ง
เขาทั้งสองได้ไปยังเรือนของมหาเศรษฐี ของานทำ ได้จังหวะเหมาะเศรษฐีรับเลี้ยงพระ 2-3 ร้อยในวันรุ่งขึ้น จึงจัดให้มหาทุคคตะผ่าฟืนสำหรับหุงต้ม เขาทำงานด้วยความร่าเริง มีความอุตสาหะยิ่ง
เศรษฐีเห็นอาการของเขาแปลกกว่าที่เคยเห็นจึงถามว่า เหตุไรจึงร่าเริงผิดกว่าวันก่อนๆ เขาเล่าเรื่องที่รับเลี้ยงพระให้เศรษฐีทราบ เศรษฐีเลื่อมใส นับถือจิตใจของเขาว่า เขาทำในสิ่งที่ทำได้ยาก มิได้เฉยเมยว่ายากจน อุตสาห์ทำงานจ้างด้วยเรี่ยวแรงกำลังทั้งหมด เพื่อจะได้มีส่วนเลี้ยงพระสักรูปหนึ่ง
ฝ่ายภรรยาของมหาทุคคตะ เข้าไปหาภรรยาเศรษฐีขอทำงานจ้าง ภรรยาเศรษฐีได้ให้ตำข้าวในโรงกระเดื่องนางมีความยินดี ร่าเริง ตำข้าวและฝัดข้าวเสมือนหนึ่งว่ารำละคร
ภรรยาเศรษฐีเห็นดังนั้นประหลาดใจ จึงถาม ทราบความแล้วเลื่อมใสว่าภรรยาของมหาทุคคตะทำสิ่งที่ทำได้ยาก
เมื่อมหาทุคคตะผ่าฟืนเสร็จ เศรษฐีได้สั่งให้ ให้ข้าวสาลีแก่เขา 4 ทะนานเป็นค่าจ้าง และอีก 4 ทะนานให้ด้วยความพอใจในตัวเขา
ฝ่ายภรรยาเศรษฐี สั่งให้จ่ายเนยใสขวดหนึ่ง นมส้มกระปุกหนึ่ง เครื่องเทศหนึ่งทะนาน ข้าวสาลีหนึ่งทะนาน
สองสามีภรรยาดีใจว่า ได้ไทยธรรมแล้ว ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ภรรยาบอกสามีให้ไปหาผัก เขาไม่เห็นผักที่ตลาด จึงไปริมแม่น้ำ มีใจยินดีว่าจะได้ถวายอาหารภิกษุสงฆ์ ไม่อาจเก็บความรู้สึกไว้ได้ จึงร้องเพลงพลาง เก็บผักพลาง ชาวประมงคนหนึ่งยืนทอดแหอยู่ริมแม่น้ำ ได้ยินเสียงมหาทุคคตะจำได้ มหาทุคคตะเล่าให้ฟัง
ในเบื้องแรก ชาวประมงพูดจาเป็นเชิงล้อเลียนว่า พระที่ฉันผักของแกคงจะต้องอิ่มมาก แต่เมื่อมหาทุคคตยะบอกว่าจะทำอย่างไรได้ เขาเป็นคนจนต้องเลี้ยงพระตามที่ได้ ชาวประมงเห็นใจจึงให้เขาร้อยปลาเอาไปทำกับข้าว แต่ขณะที่เขาร้อยอยู่นั่นเองชาวเมืองก็มาซื้อเอาไปเสียหมด จนกระทั่งถึงเวลาที่พระจะมาฉัน เขาจึงบอกชาวประมงว่า เขาจะต้องรีบไป เมื่อชาวประมงเห็นว่าพวงปลาหมดเสียแล้ว จึงขุดเอาปลาตะเพียน 4 ตัว ซึ่งหมกทรายไว้เพื่อตัวเขาเองให้มหาทุคคตะไป
เช้าวันนั้น พระศาสดาทรงตรวจดูอุปนิสัยของเวไนยสัตว์ มหาทุคคตะเข้าไปในข่ายแห่งพระญาณของพระองค์ ทรงทราบเรื่องโดยตลอดแล้ว ทรงดำริว่า วันนี้มหาทุคคตะ จะไม่ได้ภิกษุใดๆเลย เพราะเจ้าหน้าที่ลืมจดบัญชี จำนวนภิกษุที่เขาต้องการ เว้นเราเสียแล้ว มหาทุคคตะจะไม่มีที่พึ่ง เราควรสงเคราะห์เขา
เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้า ที่ทรงพอพระทัยในการสงเคราะห์คนยากจน ดังนั้น เมื่อทรงทำสรีรกิจแต่เช้าตรู่แล้ว จึงเสด็จเข้าสู่พระคันธกุฎี ประทับนั่ง ทรงตั้งพระทัยว่าจะสงเคราะห์มหาทุคคตะ
มหาทุคคตะนำปลาตะเพียนมาสู่เรือนแล้ว มอบให้ภรรยาทำกับข้าว ในตำนานกล่าวว่า มีเทพลงมาช่วยด้วย มหาทุคคตะรีบไปรับพระ เพื่อมาฉันที่เรือนของตน เข้าไปหาบุรุษผู้เป็นบัณฑิตที่ชักชวนให้เขาทำบุญ แต่บุรุษนั้นไม่ได้จดไว้ เขาพยายามขอโทษมหาทุคคตะ แต่ไม่สามารถระงับความเสียใจของบุรุษผู้เข็ญใจได้ เขารู้สึกเหมือนถูกประหารที่ท้องด้วยหอกคม ร่ำไห้ว่า
เหตุไรท่านจึงทำผมให้ต้องพิบัติขัดข้องขนาดนี้ ท่านชวนข้าพเจ้าให้รับเลี้ยงพระสักรูปหนึ่ง ข้าพเจ้ารับแล้ว เมื่อวานข้าพเจ้าและภรรยาออกทำงานจ้างทั้งวัน เพื่อได้ค่าจ้างมาเลี้ยงพระ ขอท่านจงให้พระแก่ข้าพเจ้าสักรูปหนึ่งเถิด
คนทั้งหลายได้เห็นอาการของมหาทุคคตะแล้วสงสาร กล่าวกับบุรุษผู้เป็นบัณฑิตว่า ท่านได้ทำกรรมหนักเสียแล้ว บุรุษผู้นั้นละอายใจ จึงพูดกับมหาทุคคตะว่า
เพื่อน ฉันลำบากใจเหลือเกิน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี คนทั้งหลายได้นำภิกษุไปตามบัญชีของตนหมดแล้ว ไม่มีใครยอมถอนบัญชีภิกษุแม้เพียงรูปเดียว แต่ยังมีพระผู้ทรงคุณอันยิ่งใหญ่อยู่รูปหนึ่ง คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บัดนี้พระองค์ทรงล้างพระพักตร์แล้ว ประทับนั่งอยู่ในพระคันธกุฎี พระราชา พระยุพราช และ คนใหญ่โตทั้งหลาย มีเสนาบดี เป็นต้น เฝ้ารอรับบาตรของพระองค์อยู่ ก็ธรรมดาพระพุทธเจ้า ย่อมพอพระทัยอนุเคราะห์คนยากจน ท่านจะไปยังที่ประทับของพระองค์ แล้วกราบทูลว่า ข้าพระองค์เป็นคนยากจนพระเจ้าข้า ขอพระองค์จงทำสงเคราะห์ข้าพระองค์ด้วยเถิด ดูก่อน สหาย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ถ้าท่านมีบุญ ท่านจักได้พระศาสดาไปสู่เรือนของท่านอย่างแน่นอน
มหาทุคคตะ รีบมุ่งหน้าไปสู่วิหาร
พระราชา และพระยุพราช เป็นต้น เห็นเขาแล้วกล่าวว่ามหาทุคคตะเข้ามาทำไม เวลานี้มิใช่เวลาอาหาร ออกไปเสียเถิด
ที่ตรัสเช่นนี้เพราะเคยทอดพระเนตร เห็นเขาเป็นคนกินเดนอยู่ในวิหารในวันก่อนๆ มหาทุคคตะจึงทูลว่า
ข้าพระพุทธเจ้ามิได้มาเพื่อต้องการอาหาร แต่มาเพื่อต้องการทูลพระศาสดาเพื่อเสวยที่บ้านของข้าพระพุทธเจ้า
ดังนี้แล้วได้หมอบลงที่ธรณีพระคันธกุฏี ถวายบังคม ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ และกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ ในพระนครนี้ขึ้นชื่อว่าผู้ยากจนกว่าข้าพระพุทธเจ้ามิได้มี ขอพระองค์ได้โปรดสงเคราะห์และทรงเป็นที่พึ่งของข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิด
พระศาสดาทรงเปิดพระทวารพระคันธกุฎี ทรงประทานบาตรแก่เขา มหาทุคคตะปลาบปลื้มเสมือนได้สมบัติพระจักรพรรดิ์
พระเจ้าแผ่นดินและพระยุพราช เป็นต้น มองหน้ากันอย่างพิศวง แต่ธรรมดามีอยู่ว่า ใครจะยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม ย่อมไม่กล้าแย่งบาตรที่พระศาสดาทรงประทานแล้วแก่ผู้ใด ดังนั้น พระราชาจึงไม่กล้าแตะต้องบาตรในมือมหาทุคคตะ ได้แต่อ้อนวอนขอซื้อบาตรว่า
ก่อนเกิดใครเป็นเรา<br />เมื่อเกิดแล้วเราเป็นใคร<br /><br />สิ่งที่ทำอยู่คือกรรมใหม่<br />ผลที่ได้รับคือกรรมเก่า<br /><br />ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน<br />มองในสิ่งที่ไม่เห็น<br />ทำในสื่งที่ไม่มี