นโม รตฺนตฺรยายฯ
สรฺวโทษวินิรฺมุกฺตํ
คุไณะ สรฺไวรลํกฤมฺ ฯ
ปฺรณมฺย สรฺวชฺญมหํ
สรฺวสตฺตฺไวกพานฺธวฺม ฯ๑ฯ
สพฺพโทสวินิมุตฺตํ
คุเณหิ สพฺเพหิ อลํกตํ
นตฺวาน สพฺพญฺญุมหํ
สพฺพสตฺเตกพนฺธวํ ฯ
ขอน้อมพระรัตนตรัย
(๑) ข้าพระเจ้าประณมพระสรรเพชญ์เจ้า พระองค์เดียวเท่านั้นที่เป็นพวกพ้องสรรพสัตว์ ผู้พ้นจากโทษทั้งสิ้น แต่ประดับด้วยคุณทั้งปวง ฯ
ธรฺมเมกานฺตกลฺยาณํ
ราชนฺ ธรฺโมทยาย เต ฯ
วกฺษฺยามิ ธรฺมะ สิทฺธึ หิ
ยาติ สทฺธรฺมภาชเนฯ๒ฯ
ธมฺมํ เอกนฺตกลฺยาณํ
ราช ธนฺโมทยาย เต
วกฺขามิ ธมฺโม สิทฺธํ หิ
ยาติ สทฺธมฺมภาชเนฯ
(๒) ดูก่อนพระราชา,แล้ว,อาตมาจักกล่าวธรรมมีแต่คุณงามส่วนเดียว เพื่อความเจริญใจแด่พระองค์ท่านฯ ก็ธรรมย่อมถึงความสำเร็จเป็นผล ในชนผู้สมที่จะเป็นภาชนะรองรับสัทธรรม ฯ (ดูบท ๖)
บันทึก : เอกานฺตกลฺยาณมฺ อรรถกถาแก้ว่า อาทิมธฺยานฺตกลฺยาณมฺ งามแต่ต้นถึงกลางจนที่สุด.
ปฺราคฺ ธรฺมาภฺยุทโย ยตฺร
ปศฺจานฺ ไนะเศฺรยโสทยะฯ
สมฺปราปฺยาภฺยุทยํ ยสฺมา-
เทติ ไนะเศฺรยสํ กฺรมาตฺฯ๓ฯ
ปเค ธมฺมพฺภุทโย ยตฺร
ปจฺฉา เนสฺเสยฺยสูทโย
สมฺปตฺวา อพฺภุทยํ ยสฺมา
เอติ เนสฺเสยฺยสํ กมาฯ
(๓) มีอัภยุทัยแห่งธรรมก่อน ภายหลังมีการเกิดขึ้นแห่งเนสไสยสธรรม ฯ เพราะบุคคลบรรลุอัภยุทัยธรรมแล้ว จึงถึงเนสไสยสธรรมโดยลำดับ ฯ
บันทึก : ปฺราคฺ เคยเห็นใช้ในบาลีว่า ปเคว ถ้าจะใช้ในที่นี้บ้าง ก็จะเกินกำหนดปัฐยาวัตต์ซึ่งยังไม่จำเป็น จึงใช้แค่ปเค โดยโถดมาจาก อติปฺปเค เช่นใช้ในชาดกเล่ม ๓ หน้า ๔๘ฯ อัภยุทัย ความเจริญเต็มที่หมายถึงความเจริญทางโลก ทั้งโลกนี้และโลกหน้า (อิหปรเลากิโลนฺนติ) ฯ เนสไสยส (นิ+เสยฺยโส) ภาวะไม่มีอะไรดีกว่า,คล้ายๆ กับ อนุตฺตโร,หมายเอาโมกษะ,ฉะนั้น น่าจะเทียบได้กับนิรพาณฯ แต่โมกษะทางมหายาน ตามที่ปรากฏในคัมภีร์ของพระนาคารชุนเป็นเพียงชั้นที่ ๒ แห่งญาณสมภารฯ เนสไสยส ต่ำกว่าโมกษะ,กับยังมีปรัชญาและศูนยตา เหนือโมกษะไปอีก ๒ ชั้นฯ อนึ่งทางถึงนิรพาณ คือปรัชญา;แต่ยังไม่ควรสอนเรื่องปรัชญาแก่คนที่ยังไม่สุก (ดูบท ๗๔)ฯ และเมื่อพิจารณาถึงศูนยตา จะต้องผ่านบุณยสมภารก่อนฯ ศูนยตาคือขั้นสุดท้ายแห่งปรัชญามรรคฯ ถึงนิกายสมัยหลังๆ ฝ่ายมหายานก็ว่าทางนิรพาณเป็น ๒ อย่างคือ อุปายะและปรัชญาฯ อุปายะนี้พระนาคารชุนหมายเอาศรัทธา,แต่ผู้อื่นๆ หมายเอากรุณา ฯ ทางนิรพาณมีเป็น ๒ นั้นดังนี้
๑. บุณยสมภาร
- อัภยุทัยธรรม
- สุข
- ศรัทธา
- อุปายะ
- กรุณา
๒. ญาณสมภาร
- เนสไสยสธรรม
- โมกษะ
- ปรัชญา
- ศูนยตา
สุขมภฺยุทยสฺ ตตฺร
โมกฺโษ ไนะเศฺรยโส มตะฯ
อสฺย สาธนสํกฺษปะ
ศฺรทฺธาปฺรชฺเญ สมาสตะฯ๔ฯ
สุขํ อพฺภุทโย ตตฺร
โมกฺโข เนสฺเสยฺยโส มโต
อสฺส สาธนสํเขโป
สทฺธาปญฺเญ สมาสโตฯ
(๔) บรรดาธรรมนั้น ท่านกำหนดอัภยุทัยธรรม ว่านำความสุขมาและเนสไสยสธรรมว่านำโมกษะมาฯ ความย่อย่นธรรมอันนี้ก็สำเร็จโดยรวมเข้าในศรัทธาและปรัชญา ฯ
บันทึก : ตามที่อรรถกถาแก้ไว้ ความหมายที่แท้คือว่า อัภยุทัยธรรมมิใช่ความสุข และเนสไสยสธรรมมิใช่ตัวโมกษะ ฯ แต่ความสุขและโมกษะ ค่อนข้างเข้าใจกันว่าเป็นผลแห่งอัภยุทัยธรรมและเนสไสยสธรรมนั้น ฯ
ศฺราทฺธตฺวาทฺ ภชเต ธรมํ
ปฺราชฺญตฺวาทฺ เวตฺติตตฺตวตะฯ
ปฺรชฺญา ปรธานํ ตฺวนโยะ
ศฺรทฺธา ปูรฺวงฺคมาสฺย ตุฯ๕ฯ
สทฺธตฺตา ภชเต ธมฺมํ
ปญฺญตฺตา เวตฺติ ตตฺตโต
ปญฺญา ปธานํ เตฺวตาสํ
สทฺธา ปุพฺพงฺคมาสฺส ตุฯ
(๕) เพราะความที่มีศรัทธา จึงดำเนินสู่ธรรม,เพราะความที่มีปรัชญา จึงทราบตามความจริง ฯ ก็บรรดาคุณชาติทั้งสองนั้นปรัชญาเป็นประธาน ฯ ส่วนศรัทธา นำหน้าประธานคือปรัชญานั้นฯ
บันทึก : ในสํสกฤต มี ศฺราทฺโธ ปฺราชฺโญ, บาลีมีแต่สทฺโธ เป็นพื้น ,ปญฺโญ (ตัทธิต) มีที่ใช้น้อยเต็มที พบครั้งหนึ่งในคาถามหาสุตตโสมชาดก อสีตินิบาตว่า น เตน เมตฺตึ ชิรเยถ ปญฺโญ ฉะนั้นจึงทำศัพท์เป็นปญฺญตฺตา (เพราะความเป็นผู้มีปัญญา) ฯ เวตฺติ คือ วิทฺในความรู้ ความประสพ. วัตตมานา เอกปฐม ในสํ. เป็นเวตฺติ, เคยพบในบาลีเป็น วินฺทติ. แต่ Rhys Davids (Pali English Dictionary by T.W. Rhys Davids & William Stede) ว่ามีครั้งหนึ่งในเถรคาถาบท ๔๙๗ เป็น เวตฺติ (แต่ทำรูปเป็นเวติ) ฯ
ฉนฺทาทฺ เทฺวษาทฺ ภยานฺ โมหาทฺ
โย ธรฺมํ นาติวรฺตเต ฯ
ส ศฺราทฺธ อิติ วิชฺเญยะ
เศฺรยโส ภาชนํ ปรมฺฯ๖ฯ
ฉนฺทา โทสา ภยาโมหา
โย ธมฺมํ นาติวตฺตติ
ส สทฺโธ อิติ วิญฺเญยฺโย
เสยฺยโส ภาชนํ ปรํฯ
(๖) ผู้ใด ไม่ประพฤติล่วงธรรม เพราะฉันทะ โทสะ ภยะและโมหะ , พึงทราบผู้นั้นว่าคือคนมีศรัทธา เป็นภาชนะอันดีแก่งสิริยิ่ง (คือไม่มีใครๆ จะเป็นที่รองรับโมกษธรรมเหมาะไปกว่าเขา) ฯ
บันทึก : จากบทนี้จนถึงบท ๒๔ ศรัทธามีผลให้ปฏิบัติธรรมที่แสดงไว้แล้ว ให้สมกับอัภยุทัยฯ ฉันทะ โทสะ ภยะ โมหะเป็นอาการสำแดงแห่งมารทั้งสิ่ผู้บันดาลให้บุคคลเชือนไปจากการบำเพ็ญกุศลธรรมฯ เศฺรยโส ศัพท์เดิม ศรี,อียสฺปัจจัย ในเสฏฐตัทติตเป็นศฺรยสฺ ฯ ปฐมาเอกวจนะเป็นศฺรยะ ได้ในความว่าวรฺธนาทฺ รกฺษณํ เศฺรยะ รักษาเป็นสิริยิ่งกว่าบำรุง ฯ ฉัฏฐีเอกวจนะเป็นเศฺรยโส แปลความว่า แห่งสิริยิ่ง ที่บาลีนำมาใช้เป็นเสยฺยโส คือคงรูปฉัฏฐีวิภัตติตามสํสกฤต แต่ทว่าใช้ในฐานเป็นอัพยยศัพท์ฯ
กายวางฺมานสํ กรฺม
สรฺวํ สมฺยกฺปรีกฺษฺย ยะฯ
ปราตฺมหิตมาชฺญาย
สทา กุรฺยาตฺ ส ปณฺฑิตะฯ๗ฯ
กายวจีมโนกมฺมํ
สพฺพํ โย สมฺมเปกฺขิย
ปรตฺตหิตมญฺญาย
สทา กยิรา ส ปณฺฑิโตฯ
(๗) ผู้ใดพิจารณาโดยระมัดระวังซึ่งกรรมทั้งสิ้น อันทำด้วยกายหรือวาจาใจ รู้ทั่วถึงกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นและแก่ตนตนเองแล้ว ก็พึงทำกรรมนั้นเสมอ,ผู้นั้นเป็นบัณฑิต ฯ
บันทึก : บัณฑิตในที่นี้คือ ผู้มีปรัชญาในบทที่ ๔-๕ เมื่อในบทที่ ๖ แยกพูดเฉพาะผู้มีศรัทธาแล้ว ในบทนี้จึงแสดงลักษณะ ผู้มีปรัชญา ฯ ปรีกษา (อ่านว่า ปะรีกษา) การดูโดยรอบคอบคือพิจารณา ประกอบในการพินิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นกุศลอกุศลหรืออัพยากฤต ฯ เขาก็อยู่ในภาวะแห่งความรู้สึกผิดชอบบริบูรณ์และในความรู้ตัวซึ่งเรียกว่าสัมประชันยะ หรืออะประมาท ฯ ปรีกษา นี้มีความแจ่มแจ้งในบทต่อไป (ในบาลีใช้ว่า ปริกฺขา เช่น อตฺถปริกฺขา สทฺธมฺโมปายน หน้า ๕๓๒ ) ฯ
อหึสา เจารฺยวิรติะ
ปรทารวิวรฺชนมฺ ฯ
มิถฺยาไปศุนฺยปารุษฺยา-
พนฺธวาเทษุ สํยมะ ฯ๘ฯ
อหึสา เถยฺยวิรติ
ปรทารวิวชฺชนํ
มิจฺฉาเปสุญฺญผารุสฺสา-
พนฺธวาเทสุ สญฺญโม ฯ
(๘) ความไม่ผลาญชีพ, ละเว้นการเป็นขโมย, เว้นขาดภริยาผู้อื่น; สำรวม (คือบังคับคำของตนเองมิให้เหไป) ในมิจฉาวาท (มุสาวาท) ปิสุณาวาจ ผรุสวาจ และอพัทธวาท(สัมผัปปลาป) ฯ (มีต่อในบทที่ ๙ )
บันทึก : อหึสา กับบทที่ ๑๐ อวิหึสา มีความหมายต่างกัน และจะเห็นได้ชัดในบทที่ ๑๔ ฯ
โลภวฺยาปาทนาสฺติกฺย-
ทฤษฏีนา ปริวรฺชนมฺ ฯ
เอเต กรฺมปถา ศุกฺลา
ทศ กฤษฺณา วิปรฺยยาตฺ ฯ๙ฯ
โลภพฺยาปาทนตฺถิกฺก-
ทิฏฺฐีนํ ปริวชฺชนํ
เอเต กมฺมปถา สุกฺกา
ทส กณฺหา วิปรียยา ฯ
(๙) เว้นสิ้นความโลภ ความพยาบาท และนัตถิกฺกทิฏฐิฯ เหล่านี้ เป็นกรรมบถฝ่ายขาวสิบประการ ที่เป็นฝ่ายดำก็โดยผิดจากนี้ ฯ
บันทึก : วิปรฺยยาตฺ ปัญจมี เอกวจนะ แห่งศัพท์วิปรฺยย ฯ บาลีใช้เป็น วิปริยย เช่นในอัฐกถาสุตตนิบาตหน้า ๔๙๙ ฯ
อมทยปานํ สฺวาชีโว
,วิหึสา ทานมาทราตฺ ฯ
ปุชฺยปูชา จ ไมตฺรี จ
ธรฺมศฺ ไจษ สมาสตะ ฯ๑๐ฯ
อมชฺชปานํ สุชีโว
อวิหึสา ทานมาทรา
ปุชฺชปูชา จ เมตฺตี จ
ธมฺโม เจส สมาสโต ฯ
(๑๐) การไม่ดื่มน้ำเมา อาชีพอันชอบ ไม่เบียดเบียนผู้อื่นเอื้อเฟื้อแบ่งปัน บูชาที่ควรบูชาและไมตรี นี้เป็นธรรมโดยสังเขป ฯ
ศรีรตาปนาทฺ ธรมะ
เกวลานฺ นาสฺติ เตน หิ
น ปรโทฺรหวิรติรฺ
น ปเรษามนุคฺรหะ ฯ๑๑ฯ
สรีรตาปนา ธมฺโม
เกวลํ นตฺถิ เตน หิ
น ปรทฺโทหวิรติ
น ปเรสํ อนุคฺคโหฯ
(๑๑) เพียงเหตุทรมาณตัว ธรรมยังไม่มี(แก่เขา)ฯ เพราะมิใช่ว่าจะเว้นประทุษต่อผู้อื่น มิใช่ว่าจะอนุเคราะห์ผู้อื่น ด้วยวิธีนั้น ฯ
บันทึก : บทนี้แย้งวิธีโยคปฏิบัติแห่งนิกายอื่นซึ่งเห็นว่าธรรม ต้องมาอยู่ในการปฏิบัติทรมาณตัวตึงเครียด คือพวกอาชีวกและนิครนถ์ ฯ โทฺรห บาลีเป็น โทห เช่นในอัฐกถาทีฆนิกายเล่ม ๑ หน้า ๒๙๖ ฯ
ทานศีลกฺษมาสฺปษฺฏํ
ยะ สทฺธรฺมมหาปถมฺ ฯ
อนาทฤตฺย วฺรเชตฺ กาย-
เกฺลศโค ทณฺฑโกตฺปไถะ ฯ๑๒ฯ
ทานสีลขมาทิฏฐํ
โย สทฺธมฺมมหาปถํ
อนาริย วเช กาย-
กิเลสโค ทณฺฑกุปฺปเถหิฯ
(๑๒) ผู้ใด ไม่เอื้อเฟื้อทางใหญ่แห่งสัทธรรม อันเห็นได้ชัดด้วยทานศีลและขันตี เป็นผู้ลุแก่กายกิเลส จะต้องเที่ยวฝ่าทางผิดเป็นพงชัฏ ฯ (ความไปต่อที่บท ๑๓)
บันทึก : สฺปษฺฏมฺ จาก สฺปศฺ(หมวดภู) ในความดูหรือความเห็น กับ ต ปัจจัย ไม่ทราบว่าคำในบาลีใช้อย่างไร จึงขอยืมทิฏฐิมาใช้แทน ฯ บาลีมี ปสฺ (เห็น) สํ. ก็มี ปศฺ หมวดทิวฺอย่างเดียวกัน ฯ วฺรเชตฺ สัตตมีเอกวจนะประถมบุรุษแห่ง วฺรชฺ (ในความเว้น) บาลีเป็นวชติ ซึ่งในจุลนิเทส(หน้า ๔๒๓) แก้ว่า คจฺฉติ กมติ ได้ในความว่า น เว กทริยา เทวโลกํ วชนฺติ (ธมฺมปท โลกวคฺค) ฯ บางทีเพี้ยนเป็นภชฺ ดังมีมาแล้วในบทที่ ๕ แต่ในรูปมาพ้องกับ ภชฺ (คบ) เลยแปลว่าคบไปด้วย เช่นในความว่า ภเชถ นกฺขตฺตปถํว จินฺทิมา(ธมฺมปท สุขวคฺค) ซึ่งอันที่จริง ถ้าแปลว่า พึงไปหา.....เหมือนดวงจันทร์โคจร(ไปหา)คลองนักษัตร ก็จะได้ความหมายอย่างตรงไปตรงมา ดีกว่าที่จะแปลอ้อมค้อมว่า คบคลองนักษัตร และจะต้องตีความอีกที่หนึ่งว่า โคจรไปหา ฯ อุตฺปไถะ ตติยาวิภัติพหูพจน์ บาลีต้องเป็น อุปฺปเถหิ เลยไม่ถูกคณะฉันท์ เป็นตัวอย่างอันหนึ่งว่าสํสกฤตจะแปลงเป็นบาลีให้ลงกันทุกส่วนไม่ได้เลย ฯ
ส สํสาราฎวึ โฆรา-
มนนฺตชนปาทปามฺ ฯ
เกฺลศวฺยาลาวลีฒางฺคะ
สุทีรฺฆํ ปฺรติปทฺยเต ฯ๑๓ฯ
โส สํสาราฏวึ โฆรํ
อนนฺตชนปาทปํ
กิเลสพาฬาวลิฬฺหงฺโค
สุทีฆํ ปฏิปชฺชติ ฯ
(๑๓) ผู้นั้นก็เข้าดงอันน่ากลัวคือสังสารวัฏ มีต้นไม้คือประชาชาติอเนกอนันต์ ตลอดกาลนานแสนนาน มีสัตว์ร้ายคือกิเลสตามเลียตนไป ฯ (บทต่อๆไปนี้ แสดงผลแห่งความเป็นผู้ลุกายกิเลส)
บัณทึก : อวลีฆ อว-ลิหฺ(ในความเลีย) ต ปัจจัย ในบาลีไม่ทราบว่าสำเร็จรูปเป็นอย่างไร แต่เมื่อเทียบกับรุหฺ-รุฬฺห มุหฺ-มุฬฺห วุหฺ-วุฬฺห แล้ว ในที่นี้จึงเป็น ลิฬฺห บ้างฯ Rhys Davids ว่า ลีฬฺหา มาจาก ลิหฺ ธาตุ (ขัด,ถู) เป็นนาม ยกตัวอย่างว่า พุทฺธลีฬฺหาย ธมฺมํ เทเสติฯ
หึสยา ชายเต ,ลปายุะ
พหฺวาพาโธ วิหึสยา ฯ
เจารฺเยณ โภควฺยสนี
สศตฺรุะ ปรทาริกะ ฯ๑๔ฯ
หึสาย ชายเตปฺปายุ
พหฺวาพาโธ วิหึสาย
เถยฺเยน โภคพฺยสนี
สสตฺตุ ปรทาริโก ฯ
(๑๔) เกิดเป็นผู้มีอายุสั้น เพราะผลาญชีพเขา เป็นผู้มีโรคมาก เพราะเบียดเบียนเขา เป็นผู้มีความติดใจในโภค เพราะขโมยเขา เป็นผู้มีศัตรู เพราะประพฤติผิดเมียเขา ฯ
บันทึก : มนูธรรมศาสตร์ อัธยาย ๗ โศลก ๔๕ เป็นต้นไป กล่าวถึง วยสนะ ความติดใจ ๑๐ อย่าง เกิดแต่กามและอีก ๗ อย่างแต่โกรธ คือ
ทศ กามสมุตฺถานิ ตถาษฺเฏา โกฺรธชานิ จ
วฺยสนานิ ทุรนฺตานิ ปฺรยตฺเนน วิวรฺชเยตฺ ฯ ๔๕
กามเชษุ ปฺรสกฺโต หิ วฺยสเนษุ มหึปติะ
วิยุชฺยเต ,รฺถธรฺมาภฺยํา โกฺรธเชษฺวาตฺมไนว ตุ ฯ ๔๖
มฤคยากฺษา ทิวาสฺวปฺนะ ปริวาทะ สตฺริโย มทะ
เตารฺยตฺริกํ วฤถาฐฺยา จ กามโช ทศโก คณะ ฯ ๔๗
ไปศุนฺยํ สาหสํ โทฺรห อีรฺษฺยาสูยารฺถทูษณามฺ
วาคฺทณฺฑชํ จ ปารุษฺยํ โกฺรธโช ปิ คโณ ,ษฺฏกะ ฯ ๔๘
ล่าสัตว์ พะนันสกา นอนกลางวัน นินทาเขา ติดหญิง น้ำเมา เต้นรำ ขับร้อง สังคีต เดินเตร็ดเตร่ ๑๐ อย่างเกิดแต่กาม ฯ ปิศุนาวาจ มุทะลุ ทรยศ ริษยา อิจฉา ชิงประโยชน์ ด่าทอ ผรุสวาจ ๗ อย่างเกิดแต่โกรธ ฯ
ปฺรตยาขฺยานํ มฤษาวาทาตฺ
ไปศุนยานฺ มิตฺรเภทนมฺ ฯ
อปฺริยศฺรวณํ เรากฺษฺยา-
ทพทฺธาทฺ ทุรภคํ วจะ ฯ๑๕ฯ
ปจฺจกฺขานํ มุสาวาทา
เปสุญฺญา มิตฺตเภทนํ
อปฺปิยสฺสวนํ โรสา
อพทฺธา ทุพฺภคํ วโจ ฯ
(๑๕) ถูกกล่าวตู่ เพราะมุสาวาท แตกเพื่อน เพราะปิสุณาวาจ ได้ยินแต่คำไม่ถูกหู เพราะผรุสวาท ได้ยินแต่เสียงอัปมงคล เพราะอพัทธวาท ฯ
บันทึก : ปฺรตฺยาขฺยานํ กล่าวตู่ ฯ ศัพท์บาลีที่ว่า ปจฺจกฺขานํ เป็นสักแต่แปลงให้ตรงกันตัวต่อตัวเท่านั้น ส่วนความที่ใช้หาตรงกันไม่ ในอภิธานปฺปทีปิกา บท ๗๗๕ แปลว่า ความกล่าวคืน ความไม่รับ ความไม่ยอม พบที่ใช้ในมโหสธชาดก มหานิบาตว่า ปจฺจกฺขานุปทํ เหตํ อรรถกถาแก้ว่า ปจฺจกฺขานสฺส อนุปทํ, ปจฺจกฺขานการณํ ปจฺจกฺขานโกฏฺฐาโส แต่ท่านแปลในชาดกนั้นว่า เพราะถ้อยคำแห่งเจ้านั้นเป็นเหตุให้รู้ประจักษ์แล้ว ฯ สำหรับ กล่าวตู่ บาลีใช้คำว่า อพฺภกฺขานํ (อภิธานปฺปทีปิกา บท ๑๑๖) เช่น อพฺภกฺขานํ ว ทารุณํ (ธมฺมปท ทณฺฑวคฺค) ฯ
มโนนรถานฺ หนฺตฺยภิธฺยา
วฺยาปาโท ภยทะ สฺมฤตะ ฯ
มิถฺยาทฤษฺฏิะ กุทฤษฺฏิตฺวํ
มทฺยปานํ มติภฺรมะ ฯ๑๖ฯ
มโนรถํ หนฺตฺยาภิชญา
พฺยาปาโท ภย มโต
มิจฺฉาทิฎฺฐิ กุทิฏฺฐิตฺตํ
มชฺชปานํ มติพฺภโม ฯ
(๑๖) อภิชญา เป็นเหตุฆ่ามโนรถ พยาบาท ว่าให้ผลเป็นภัย มิจฉทิฐิ(ความเห็นผิด)ให้กุทิฐิ(ความเห็นที่ไม่ดี) การดื่มน้ำเมา ส่งให้ความคิดป่วน ฯ
อปฺรทาเนน ทาริทรฺยํ
มิถฺยาชีเวน วญฺจนา ฯ
สฺตมฺเภน ทุะกุลีนตฺว-
มลฺเปาชสฺกตฺวมีรฺษยา ฯ๑๗ฯ
ทาฬิทฺทิยํ อปฺปทาเนน
มิจฺฉาชีเวน วญฺจนา
ถมฺเภน ทุกฺกุลีนตฺตํ
อิสฺสายปฺโปชกตฺตนํ ฯ
(๑๗) เพราะให้ทานอย่างเสียไม่ได้ จึงยากจน เพราะมิจฉาชีพ จึงถูกลวง เพราะดื้อดัน จิงเกิดในตระกูลเลว เพราะริษยา จึงไม่กำลังน้อย ฯ
บันทึก : อลฺเปาชสฺกตฺวมฺ แยกออกเป็น อลฺป (อปฺป) โอชสฺ (โอชา กำลัง) ก ตฺวมฺ (ตฺต ภาวตัทธิต) ฯ
โกฺรธาทฺ ทุรฺวรฺณตา เมารฺขย-
อปฺรศฺเนน วิปศฺจิตามฺ ฯ
ผลเมตนฺ มนุษฺยตฺเว
สรฺเวภฺยะ ปฺรากฺ จ ทุรฺคติะ ฯ๑๘ฯ
โกธา ทุพฺพณฺณตา มุกฺขํ
อปฺปญฺเหน วิปสฺสินํ
ผลํ เอตํ มนุสฺสตฺเต
สพฺเพหิ ปเค จ ทุคฺคติ ฯ
(๑๘) เพราะโกรธ จึงมีผิวพรรณน่าเกลียด เพราะไม่ไต่ถามนักปราชญ์ จึงโง่เง่า ฯ นี้เป็นผลในอัตภาพมนุษย์ ฯ แต่ทุคคติ (ต้องประสพ) ก่อนอื่นทั้งปวง ฯ
บันทึก : เมารฺขยมฺ จากศัพท์เดิมว่ามูรฺข (โง่บ้า) กับ ณฺย ปัจจัยภาวะตัทธิต,ทำศัพท์บาลีเอาเองเป็นมุกฺข ฯ
เอษามกุศลาขฺยานำ
วิปาโก ยะ ปฺรกีรฺติตะ ฯ
กุศลานำ จ สรฺเวษำ
วิปรีตะ ผโลทยะ ฯ๑๙ฯ
อิเมสากุสลาขฺยานํ
วิปาโก โย ปกิตฺติโต
กุสลานํ จ สพฺเพสํ
วิปรีโต ผลูทโย ฯ
(๑๙) กรรมเหล่านี้ ให้ผลตามที่กล่าวมาแล้ว เรียกว่าอกุศลกรรม ฯ ส่วนกุศลกรรมทั้งปวง บังเกิดผลผิด (ตรงกันข้าม) ฯ
http://board.agalico.com/showthread.php?t=26157