พิธีอัญเชิญพุทธสรีระ
เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว เวลานั้นเป็นเวลาปัจฉิมยามยังไม่สว่าง พระอนุรุทธะกับพระอานนท์ ได้เทศนาปลอบใจพุทธบริษัทที่กำลังเศร้าโศกให้ผ่อนคลาย เมื่อสว่างแล้วพระอนุรุทธะได้ให้พระอานนท์นำข่าวการปรินิพพานของพระพุทธเจ้าไปบอกแก่กษัตริย์มัลละ กษัตริย์มัลละรับเป็นเจ้าภาพจัดงานพระบรมศพในครั้งนี้ด้วย ในวันที่ ๗ กษัตริย์มัลละประสงค์จะเคลื่อนย้ายพระบรมศพไปทางทิศทักษิณเพื่อถวายพระเพลิงนอกพระนคร ให้มัลละปาโมกข์ ๘ คนมีกำลังมาก ช่วยกันอัญเชิญพระบรมศพ แต่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ พระอนุรุทธะแนะว่าเทวดาประสงค์จะให้อัญเชิญพระบรมศพ โดยเข้าทางประตูด้านทิศอุดร แล้วออกทางประตูด้านทิศบูรพาของเมืองกุสินารา ประดิษฐานที่มกุฏพันธนเจดีย์ ที่เคลื่อนย้ายไม่สำเร็จเพราะขัดความประสงค์ของเทวดา
นางมัลลิกาถวายเครื่องประดับ
นางมัลลิกา ภรรยาของพันธุละเสนาบดี ได้ถวายเครื่องประดับชื่อ มหาลดาประสาธน์ ราคา ๙ โกฏิประดับด้วยรัตนะ ๗ ประการ บูชาพระบรมศพของพระพุทธเจ้า (สำหรับผู้ที่มีเครื่องประดับมหาลดาประสาธน์มี ๓ คน คือนางวิสาขามหาอุบาสิกา นางมัลลิกา ภรรยาของพันธุละเสนาบดี และธิดาเศรษฐีภรรยาของเทวปานิยสาร)
ถวายพระเพลิง
ครั้นถึงวันที่ ๘ หลังจากวันปรินิพพาน ตรงกับแรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ เมื่อถึงเวลาถวายพระเพลิง มัลละปาโมกข์ ๔ คน ได้จุดเพลิงขึ้นทั้ง ๔ ทิศ แต่เพลิงไม่ติด พระอนุรุทธชี้แจงว่า เทวดาต้องการให้คอยพระมหากัสสปะ ซึ่งกำลังเดินทางมาจากเมืองปาวาจะมาถึงในไม่ช้า ฝ่ายพระมหากัสสปะพาภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูปเดินทางมา พบอาชีวกคนหนึ่งถือดอกมณฑารพ(ดอกไม้สวรรค์) เดินสวนทางมา ซึ่งดอกไม้สวรรค์นี้จะตกลงมาเฉพาะในวันสำคัญๆ ๖ เวลา คือ
๑. พระโพธิสัตว์จุติลงสู่พระครรภ์
๒. พระโพธิสัตว์ประสูติ
๓. พระตถาคตเจ้าตรัสรู้
๔. พระพุทธเจ้าแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
๕. พระพุทธเจ้าปลงพระชนมายุสังขาร
๖. พระพุทธเจ้าปรินิพพาน
อาชีวกพูดว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ ๗ วันแล้ว เมื่อทราบข่าว พระสงฆ์ที่เป็นปุถุชนต่างเศร้าโศกเสียใจ ส่วนท่านที่เป็นพระอรหันต์ก็เกิดธรรมสังเวชสลดใจ ขณะนั้นภิกษุผู้เฒ่าบวชเมื่อสายกายแก่รูปหนึ่งชื่อ สุภัททะวุฑฒบรรพชิต ได้กล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัย เป็นการดูหมิ่นพระศาสดาอย่างรุนแรงว่า ท่านทั้งหลาย จะร้องไห้ไปทำไม บัดนี้เราพ้นแล้วจากอำนาจทั้งปวงของพระพุทธเจ้า เมื่อยังมีพระชนม์อยู่ ก็ห้ามปรามว่า สิ่งนี้ควรสิ่งนี้ไม่ควร อึดอัดใจเหลือเกิน เมื่อปรินิพพานแล้วอย่างนี้ พวกเราจะทำอะไรก็ได้ตามใจปรารถนา พวกท่านยังไม่ชอบอีกหรือ พระมหากัสสปะได้ยินเกิดความสลดใจยิ่งนักคิดว่า เมื่อถึงโอกาสอันควรจะทำสังคายนารวบรวมคำสอนให้เป็นหมวดหมู่ มิฉะนั้นจะถูกพวกไม่รู้จักอาย (อลัชชี) เหยียบย่ำเสียหาย
เมื่อพระมหากัสสปะเดินทางมาถึงมกุฏพันธนเจดีย์ เข้าไปกราบพระบรมศพ ไฟก็ลุกขึ้นเองอย่างน่าอัศจรรย์ เผาไหม้ส่วนต่างๆจนหมดสิ้น เหลือแต่สิ่งที่ทรงอธิษฐานไว้ ๕ อย่าง คือ ๑.พระอัฐิ ๒.พระเกศา ๓.พระโลมา ๔.พระนขา ๕.พระทันตา รวมทั้งพระเขี้ยวแก้วและผ้าขาว ๑ ผืน
หมายเหตุ วันถวายพระเพลิงพุทธสรีระมีพระสงฆ์เข้าร่วมพิธี ๗ แสนรูป
ขนาดของพระบรมสารีริกธาตุ
๑. ขนาดใหญ่ เท่าเมล็ดถั่วแตก
๒. ขนาดกลาง เท่าเมล็ดข้าวสารหัก
๓. ขนาดเล็ก เท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด
แจกพระบรมสารีริกธาตุ
เมื่อถวายพระเพลิงแล้ว กษัตริย์มัลละได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุไปประดิษฐานไว้ที่ สัณฐาคารศาลา ภายในพระนครกุสินารา ทำการสมโภชตลอด ๗ วัน กษัตริย์ ๗ เมือง ได้ส่งราชทูตของตนไปขอส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ เกือบจะเกิดสงครามแย่งชิงกัน เนื่องจากกษัตริย์มัลละไม่ยอมแบ่งให้ โทณพราหมณ์ ช่วยแก้สถานการณ์ไว้ได้ด้วยคำพูดว่า พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญขันติ ความอดทน อหิงสา การไม่เบียดเบียนกัน สามัคคี ความพร้อมเพรียงกัน พวกเราควรปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ จงสามัคคีปรองดองกัน (อ้างสามัคคีธรรม) แบ่งพระบรมสารีริกธาตุให้เท่าเทียมกันเถิด โทณพราหมณ์ได้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น ๘ ส่วนๆละ ๒ ทะนาน(ตุมพะ) ให้แก่กษัตริย์ ๗ นคร และพราหมณ์อีก ๑ นคร รวม ๘ นคร ดังนี้
๑. พระเจ้าอชาตศัตรู เมืองราชคฤห์
๒. กษัตริย์ลิจฉวี เมืองเวสาลี
๓. พระเจ้ามหานามะ เมืองกบิลพัสดุ์
๔. พระเจ้าถูลิยะ เมืองอัลลกัปปะ
๕. พระเจ้าโกลิยะ เมืองรามคาม(เดิมเป็นเทวทหะ)
๖. กษัตริย์มัลละ เมืองปาวา
๗. กษัตริย์มัลละ เมืองกุสินารา
๘. พราหมณ์ เมืองเวฏฐทีปกะ
ทั้ง ๘ นคร นำพระบรมสารีริกขธาตุไปบรรจุไว้ในเจดีย์ เรียกว่า ธาตุเจดีย์ ฝ่ายโทณพราหมณ์ได้ลอบเอาพระเขี้ยวแก้วด้านขวา(พระทักษิณทาฐธาตุ)ซ่อนไว้ในมวยผม ท้าวสักกเทวราช ทราบจึงแฝงพระกายหยิบเอาพระเขี้ยวแก้วไปประดิษฐานไว้ที่ จุฬามณี บนสวรรค์ชั้นดาวดืงส์ โทณพราหมณ์จึงขอตุมพะ หรือทะนานทองที่ใช้ตวงพระบรมสารีริกธาตุนำไปบรรจุไว้ในสถูปเรียกว่า ตุมพสถูป ต่อมาโมริยกษัตริย์ จากโมริยนคร เมืองปิปผลิวัน ได้มาขอส่วนแบ่งภายหลัง จึงได้พระอังคาร(เถ้า) นำไปบรรจุไว้ในสถูป เรียกว่า อังคารสถูป
<!-- / message -->