เด็กชายบุญอยู่ แซ่โง้ว เกิดปีมะเส็ง ปีพ.ศ.2460 เป็นลูกของนายคุนโหมว แซ่โง้ว กับนางอิน มีพี่น้อง 3 คน เป็นชายทั้งหมด คือนายยุ้ยเป็นพี่ชายคนโต เด็กชายบุญอยู่เป็นคนที่ 6 น้องชายอีกคนชื่อพัฒน์ ครอบครัวนี้มีอาชีพตีมีดและเคียวจำหน่ายอยู่ที่แยกตลาดบางแพ จังหวัดราชบุรี
เด็กชายบุญอยู่ เกือบตายครั้งหนึ่งขณะนั่งเรือไปโรงเรียน เรือเกิดล่ม โชคดีที่มีคนช่วยเอาไว้ได้ จึงรอดชีวิตมาอย่างหวุดหวิด เหตุการณ์นี้ทำให้เด็กชายบุญอยู่หวาดกลัวเรื่องการนั่งเรือมาก
เด็กชายบุญอยู่ มีอายุสั้นเหลือเกิน พออายุได้ 14 ปี ก็เกิดล้มป่วยมีอาการทรงกับทรุดตลอดเวลา นอนป่วยอยู่ 15 วันก็ตายอย่างสงบ (พ.ศ.2474) ศพของเด็กชายบุญอยู่ เผาที่วัดท่าราบ ตำบลบางแพ จังหวัดราชบุรีนั่นเอง
ในขณะเผาศพมีเรื่องประหลาดอย่างหนึ่ง คือแผ่นเนื้อที่ต้นคอเด็กชายบุญอยู่ไม่ไหม้ พวกที่เชื่อถือเรื่องไสยศาสตร์ บอกว่าคนตายจะต้อง ถูกคุณไสย อย่างแน่นอน
หลังจากที่เด็กชายบุญอยู่ตายและเผาศพเรียบร้อยแล้วไม่นานนางอินผู้เป็นแม่ได้ฝันเห็นลูกชายคนนี้กำลังเดินอยู่ที่ตลาด นางร้องเรียก เขากลับทำเป็นเฉยเหมือนไม่ได้ยิน ฝันเห็นลูกชายที่ตายครั้งนั้นครั้งเดียวก็ไม่ได้ฝันเห็นอีกเลย
นางแช่มเป็นแม่ม่ายสามีตาย มีลูกติด 3 คน เป็นชาย 1 คน หญิง 2 คน อยู่ที่บ้านดอนกระเบื้อง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ต่อมานางแช่มได้สามีใหม่เป็นคนจีนชื่อ นายเหลือง แซ่อ๊วง มีอาชีพค้าขายโดยการไป ตกข้าว ชาวนาเอาไว้ก่อน เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็จะออกไปเอาข้าวเปลือกตามที่ตกลงกัน
นางแช่มได้ตั้งท้องลูกคนที่ 3 กับนายเหลือง กระทั่งถึงกำหนดคลอดได้คลอดลูกเป็นชายในปีพ.ศ.2475 ตั้งชื่อลูกชายคนนี้ว่า ทองสุก มีชื่อเรียกกันเล่นๆ ว่า จุก เด็กชายจุกเลี้ยงง่ายไม่ป่วยไข้ให้พ่อแม่ทุกข์ยากลำบากใจ และเจริญวัยขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งมีอายุได้ 3 ขวบ พูดคล่องชัดถ้อยชัดคำตามสมควร เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของทุกคนในบ้าน
ต่อมา เด็กชายจุกเริ่มพูดแปลกๆ ให้พ่อแม่งุนงงสงสัย โดยเด็กบอกว่าจะไปบ้านอีกบ้าน แล้วชี้ไปทางทิศใต้ (คือทิศที่ตั้งตำบลบางแพ) นายเหลืองกับนางแช่มถามว่าเป็นบ้านใคร เด็กชายจุกบอกว่าเป็นบ้านของเขาเอง โป็นโรงตีเหล็กด้วย แต่บอกไม่ถูกว่าเป็นตำบลอะไร
เด็กชายจุกพูดถึงบ้านเก่าของตัวเองเกือบทุกวัน ทำให้นายเหลืองกับนางแช่มเริ่มแน่ใจว่าลูกชายคงไม่ได้พูดเล่นๆ ไปตามประสาเด็กแน่ กระทั่งวันหนึ่งมีหลานสาวของนางสังข์ ซึ่งเป็นเพื่อนกับนางแช่มชื่อนางเบี้ยวมาเที่ยวที่บ้าน นางแช่มจึงถามนางเบี้ยวว่าทางทิศใต้มีโรงตีเหล็กบ้างหรือไม่ เพราะได้ยินลูกชายตัวน้อยพูดถึงบ่อยเหลือเกิน นางเบี้ยวตอบว่า มีสิ เป็นโรงตีเหล็กของเจ๊กโหมว ภรรยาชื่ออิน
ขณะที่นางแช่มกับนางเบี้ยวสนทนากันอยู่นั้นเด็กชายจุกนั่งอยู่ด้วย พอได้ยินนางเบี้ยวพูดถึงเจ๊กโหมวกับนางอิน เด็กชายจุกรีบสอดคำพูดขึ้นมาว่า ใช่แล้วๆ พ่อชื่อคุนโหมว แม่ชื่ออิน ถูกแล้ว และก็รบเร้าอ้อนวอนให้แม่แช่มพาไปบ้านเจ๊กโหมว นางแช่มผู้เป็นแม่บอกว่าถ้าจะไปก็ต้องไปเรือ เพราะตอนนั้นเป็นฤดูน้ำหลาก เด็กชายจุกไม่ยอมลงเรือกลัวเรือล่มจมน้ำ (เนื่องจากเคยเรือล่ม จมน้ำเกือบตายมาแล้วในชาติก่อน)
นายเหลืองกับนางแช่มตลอดจนทุกคนในครอบครัว เชื่อว่าเด็กชายจุกจะต้องระลึกชาติได้แน่ และอยากรู้ว่าเป็นความจริงแค่ไหนเหมือนกัน จึงรอคอยกระทั่งน้ำลด เมื่อเข้าหน้าแล้งดินแห้งดีแล้ว จึงเดินทางไปพิสูจน์ความจริง
นางแช่มได้พาเด็กชายจุกกับนางแอ๊วลูกสาวไปด้วยกัน โดยใช้เกวียนเทียมวัวเป็นพาหนะ เพราะนางแช่มจะไปเก็บข้าวเปลือกจากชาวนาโดยเอาอ้อยและยาสูบไปแลก ระยะทางจากดอนกระเบื้อง อำเภอบ้านโป่งถึงตลาดบางแพ อำเภอโพธาราม ห่างกันประมาณ 20 กิโลเมตร
เมื่อเดินทางทาถึงบริเวณใกล้โรงตีเหล็ก หรือบ้านของนายคุนโหมวกับนางอิน แซ่โง้ว เด็กชายจุก อายุ 3 ขวบกว่า บอกกับนางแช่มผู้เป็นแม่ว่าถึงบ้านแล้ว และเดินลากอ้อยลำเล็กๆ ซึ่งจะเอามาฝากพ่อแม่ชาติก่อน นำหน้าลิ่วเข้าไปในบ้านทันที โดยมีนางแอ๊วพี่สาวตามไปติดๆ
เมื่อเข้าไปในบ้านแล้ว นางแอ๊วถามน้องชายตัวน้อยว่าเตี่ยคือคนไหนล่ะ เข้าไปไหว้เสียสิ เด็กชายจุกเดินเข้าไปหานายคุนโหมวอย่างไม่มีกิริยาอาการลังเลแม้แต่น้อย ยกมือไหว้นายคุนโหมวแล้วก็เดินไปไหว้นางอิน คราวนี้เด็กร้องไห้สะอึกระหว่างลูกกับแม่ในอดีต
เด็กชายจุกจำนายยุ้ยพี่ชายคนโตและนายพัฒน์ซึ่งเป็นน้องชายในชาติก่อนได้โดยไม่มีใครแนะนำ เขาเรียกนายยุ้ยว่าพี่ แต่ไม่ยอมเรียกนายพัฒน์ว่าพี่ ทั้งที่ขณะนั้นนายพัฒน์มีอายุมากกว่าเกือบ 10 ปี เด็กชายจุกจดจำสิ่งของเครื่องใช้ภายในบ้านได้หมด และเมื่อเห็นเรือของนางอินผูกอยู่ข้างบ้าน เด็กถามว่าเรือของเขาไปอยู่ที่ไหน นางอินบอกว่า เรือเราก็ลำนี้ล่ะ แต่เด็กชายจุกแย้งว่าไม่ใช่ลำนี้ ซึ่งก็เป็นความจริงเพราะเรือลำเก่าผุพังใช้ไม่ได้แล้ว นางอินจึงซื้อเรือลำใหม่มาแทน หลังจากเด็กชายบุญอยู่ลูกชายตายไปนานพอสมควร
การพิสูจน์ว่า เด็กชายจุกคือเด็กชายบุญอยู่กลับชาติมาเกิดใหม่ ทั้งสองครอบครัวไม่มีความสงสัยอีกต่อไปแล้ว นายคุนโหมวและนางอิน เชื่ออย่างสนิทใจว่าลูกชายของตนที่ตายไปแล้วมาเกิดเป็นเด็กชายจุกจริงๆ
คืนนั้นเด็กชายจุกขอนางแช่มผู้เป็นแม่นอนค้างที่บ้านพ่อแม่ในชาติก่อน นางแช่มก็อนุญาตและให้พี่สาวคือนางแอ๊วอยู่เป็นเพื่อนค้างคืนด้วย
นางอินและนายคุนโหมวมีความสุขใจเป็นพิเศษที่มีโอกาสได้พบกับลูกชายของตนที่มาเกิดใหม่ คืนนั้นขณะที่นางอินนอนพูดคุยเล่นกับลูกชาย 2 คนและมีเด็กชายจุกรวมอยู่ด้วย ตอนหนึ่งนางอินพูดขึ้นว่าถ้าลูกชายอยู่กันพร้อมหน้า 3 คนก็จะดีหรอกนะ เด็กชายจุกกอดนางอินเอาไว้แล้วพูดว่า ก็เขาเป็นลูกอยู่แล้วนี่ ทำไมไม่ว่าเป็นลูกอีกเล่า
นางอินถามว่าทำไมไม่มาเข้าท้องแม่อีก เด็กชายจุกตอบว่า เขาเข้าบ้านไม่ได้เพราะมีสายสิญจน์ล้อมอยู่รอบบ้าน ต้องรออยู่ข้างนอก รอแล้วรออีกแม่ก็ไม่ออกมา จึงต้องไปที่อื่น กระทั่งพบกับแม่ใหม่เลยเกาะเขาไปเกิด
นับตั้งแต่นั้น เด็กชายจุกจะมาค้างที่บ้านของพ่อแม่ในชาติก่อนบ่อยๆ โดยมีพี่สาวคือนางแอ๊วเป็นคนมาส่ง มาคราวหนึ่งก็จะอยู่หลายคืนและทำตัวเหมือนเป็นบ้านของตัวเอง จึงเท่ากับว่าเขามีพ่อแม่ทั้งชาติก่อนและชาติใหม่พร้อมๆ กัน
ตอนที่เด็กชายจุกเป็นเด็กๆ มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นอยู่ 2 เรื่องที่น่าสนใจเป็นพิเศษ
เรื่องแรก ตอนอายุ 3 4 ขวบ เด็กชายจุกไปค้างอยู่กับนายคุนโหมวและนางอินที่บ้าน ตั้งใจว่าจะค้างหลายวัน แต่ในตอนกลางวัน เด็กชายจุกบอกกับนางอินว่าเห็นไฟไหม้ที่ยอดไผ่ตรงกอไผ่หน้าบ้าน นางอินและคนอื่นๆ มองไม่เห็น เด็กชายจุกรบเร้าจะกลับบ้านที่ดอนกระเบื้องให้ได้ นางอินก็ตามใจ ให้คนไปส่งกลับบ้านดอนกระเบื้อง อำเภอบ้านโป่ง
คืนวันนั้นก็เกิดไฟไหม้ที่บางแพ ไฟลุกลามมาไหม้บ้านนางอินวอดวายไปอีกหลัง ต่อมาจึงปลูกบ้านใหม่ห่างจากบ้านเดิมประมาณ 300 เมตร
เรื่องที่ 2 ตอนเด็กชายจุกเป็นเด็กๆ เขามีความผูกพันกับกบอย่างประหลาด เมื่อไรที่เด็กชายจุกไปที่ริมน้ำ กบจะมาปรากฎตัวและว่ายมาหา ยอมให้เด็กชายจุกจับตัวมาเล่นแต่โดยดี จนมีคนพูดกันว่าถ้าใครอยากเห็นกบก็ให้เด็กชายจุกไปที่ริมน้ำ จะได้เห็นกบทันที และเด็กชายจุกจะไม่ยอมกินกบเด็ดขาด หรือหากเห็นใครจับกบมาขังก็จะแอบเอากบไปปล่อยจนหมด
เด็กชายจุกหรือนายทองสุก ใช้นามสกุลว่า เชาวน์ฉลาด ตามนามสกุลพี่ชายที่เกิดกับพ่อซึ่งเป็นสามีเก่าของนางอิน เหตุที่ไม่ใช้นามสกุลของนายเหลือง แซ่อ๊วง ก็เนื่องจากไม่อยากใช้แซ่ ซึ่งพ่อกับแม่ก็ยินยอมให้ใช้นามสกุล เชาวน์ฉลาด ดังกล่าว
เด็กชายจุกหรือนายทองสุกเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตามความทรงจำในการระลึกชาติไม่ลบเลือนสูญหายแต่อย่างใด เขายังจำได้แม่นยำทุกอย่างตั้งแต่ตอนยังมีชีวิตและหลังจากที่สิ้นใจตายไปแล้ว