เกิดใหม่กลัวบาป

กระทู้: เกิดใหม่กลัวบาป

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. *8q* said:

    เกิดใหม่กลัวบาป

    เด็กชายบุญอยู่ แซ่โง้ว เกิดปีมะเส็ง ปีพ..2460 เป็นลูกของนายคุนโหมว แซ่โง้ว กับนางอิน มีพี่น้อง 3 คน เป็นชายทั้งหมด คือนายยุ้ยเป็นพี่ชายคนโต เด็กชายบุญอยู่เป็นคนที่ 6 น้องชายอีกคนชื่อพัฒน์ ครอบครัวนี้มีอาชีพตีมีดและเคียวจำหน่ายอยู่ที่แยกตลาดบางแพ จังหวัดราชบุรี
    เด็กชายบุญอยู่ เกือบตายครั้งหนึ่งขณะนั่งเรือไปโรงเรียน เรือเกิดล่ม โชคดีที่มีคนช่วยเอาไว้ได้ จึงรอดชีวิตมาอย่างหวุดหวิด เหตุการณ์นี้ทำให้เด็กชายบุญอยู่หวาดกลัวเรื่องการนั่งเรือมาก

    เด็กชายบุญอยู่ มีอายุสั้นเหลือเกิน พออายุได้ 14 ปี ก็เกิดล้มป่วยมีอาการทรงกับทรุดตลอดเวลา นอนป่วยอยู่ 15 วันก็ตายอย่างสงบ (..2474) ศพของเด็กชายบุญอยู่ เผาที่วัดท่าราบ ตำบลบางแพ จังหวัดราชบุรีนั่นเอง
    ในขณะเผาศพมีเรื่องประหลาดอย่างหนึ่ง คือแผ่นเนื้อที่ต้นคอเด็กชายบุญอยู่ไม่ไหม้ พวกที่เชื่อถือเรื่องไสยศาสตร์ บอกว่าคนตายจะต้อง “ถูกคุณไสย” อย่างแน่นอน
    หลังจากที่เด็กชายบุญอยู่ตายและเผาศพเรียบร้อยแล้วไม่นานนางอินผู้เป็นแม่ได้ฝันเห็นลูกชายคนนี้กำลังเดินอยู่ที่ตลาด นางร้องเรียก เขากลับทำเป็นเฉยเหมือนไม่ได้ยิน ฝันเห็นลูกชายที่ตายครั้งนั้นครั้งเดียวก็ไม่ได้ฝันเห็นอีกเลย
    นางแช่มเป็นแม่ม่ายสามีตาย มีลูกติด 3 คน เป็นชาย 1 คน หญิง 2 คน อยู่ที่บ้านดอนกระเบื้อง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ต่อมานางแช่มได้สามีใหม่เป็นคนจีนชื่อ นายเหลือง แซ่อ๊วง มีอาชีพค้าขายโดยการไป “ตกข้าว” ชาวนาเอาไว้ก่อน เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็จะออกไปเอาข้าวเปลือกตามที่ตกลงกัน
    นางแช่มได้ตั้งท้องลูกคนที่ 3 กับนายเหลือง กระทั่งถึงกำหนดคลอดได้คลอดลูกเป็นชายในปีพ..2475 ตั้งชื่อลูกชายคนนี้ว่า ทองสุก มีชื่อเรียกกันเล่นๆ ว่า “จุก” เด็กชายจุกเลี้ยงง่ายไม่ป่วยไข้ให้พ่อแม่ทุกข์ยากลำบากใจ และเจริญวัยขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งมีอายุได้ 3 ขวบ พูดคล่องชัดถ้อยชัดคำตามสมควร เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของทุกคนในบ้าน
    ต่อมา เด็กชายจุกเริ่มพูดแปลกๆ ให้พ่อแม่งุนงงสงสัย โดยเด็กบอกว่าจะไปบ้านอีกบ้าน แล้วชี้ไปทางทิศใต้ (คือทิศที่ตั้งตำบลบางแพ) นายเหลืองกับนางแช่มถามว่าเป็นบ้านใคร เด็กชายจุกบอกว่าเป็นบ้านของเขาเอง โป็นโรงตีเหล็กด้วย แต่บอกไม่ถูกว่าเป็นตำบลอะไร
    เด็กชายจุกพูดถึงบ้านเก่าของตัวเองเกือบทุกวัน ทำให้นายเหลืองกับนางแช่มเริ่มแน่ใจว่าลูกชายคงไม่ได้พูดเล่นๆ ไปตามประสาเด็กแน่ กระทั่งวันหนึ่งมีหลานสาวของนางสังข์ ซึ่งเป็นเพื่อนกับนางแช่มชื่อนางเบี้ยวมาเที่ยวที่บ้าน นางแช่มจึงถามนางเบี้ยวว่าทางทิศใต้มีโรงตีเหล็กบ้างหรือไม่ เพราะได้ยินลูกชายตัวน้อยพูดถึงบ่อยเหลือเกิน นางเบี้ยวตอบว่า มีสิ เป็นโรงตีเหล็กของเจ๊กโหมว ภรรยาชื่ออิน
    ขณะที่นางแช่มกับนางเบี้ยวสนทนากันอยู่นั้นเด็กชายจุกนั่งอยู่ด้วย พอได้ยินนางเบี้ยวพูดถึงเจ๊กโหมวกับนางอิน เด็กชายจุกรีบสอดคำพูดขึ้นมาว่า “ใช่แล้วๆ พ่อชื่อคุนโหมว แม่ชื่ออิน ถูกแล้ว” และก็รบเร้าอ้อนวอนให้แม่แช่มพาไปบ้านเจ๊กโหมว นางแช่มผู้เป็นแม่บอกว่าถ้าจะไปก็ต้องไปเรือ เพราะตอนนั้นเป็นฤดูน้ำหลาก เด็กชายจุกไม่ยอมลงเรือกลัวเรือล่มจมน้ำ (เนื่องจากเคยเรือล่ม จมน้ำเกือบตายมาแล้วในชาติก่อน)
    นายเหลืองกับนางแช่มตลอดจนทุกคนในครอบครัว เชื่อว่าเด็กชายจุกจะต้องระลึกชาติได้แน่ และอยากรู้ว่าเป็นความจริงแค่ไหนเหมือนกัน จึงรอคอยกระทั่งน้ำลด เมื่อเข้าหน้าแล้งดินแห้งดีแล้ว จึงเดินทางไปพิสูจน์ความจริง
    นางแช่มได้พาเด็กชายจุกกับนางแอ๊วลูกสาวไปด้วยกัน โดยใช้เกวียนเทียมวัวเป็นพาหนะ เพราะนางแช่มจะไปเก็บข้าวเปลือกจากชาวนาโดยเอาอ้อยและยาสูบไปแลก ระยะทางจากดอนกระเบื้อง อำเภอบ้านโป่งถึงตลาดบางแพ อำเภอโพธาราม ห่างกันประมาณ 20 กิโลเมตร
    เมื่อเดินทางทาถึงบริเวณใกล้โรงตีเหล็ก หรือบ้านของนายคุนโหมวกับนางอิน แซ่โง้ว เด็กชายจุก อายุ 3 ขวบกว่า บอกกับนางแช่มผู้เป็นแม่ว่าถึงบ้านแล้ว และเดินลากอ้อยลำเล็กๆ ซึ่งจะเอามาฝากพ่อแม่ชาติก่อน นำหน้าลิ่วเข้าไปในบ้านทันที โดยมีนางแอ๊วพี่สาวตามไปติดๆ
    เมื่อเข้าไปในบ้านแล้ว นางแอ๊วถามน้องชายตัวน้อยว่าเตี่ยคือคนไหนล่ะ เข้าไปไหว้เสียสิ เด็กชายจุกเดินเข้าไปหานายคุนโหมวอย่างไม่มีกิริยาอาการลังเลแม้แต่น้อย ยกมือไหว้นายคุนโหมวแล้วก็เดินไปไหว้นางอิน คราวนี้เด็กร้องไห้สะอึกระหว่างลูกกับแม่ในอดีต
    เด็กชายจุกจำนายยุ้ยพี่ชายคนโตและนายพัฒน์ซึ่งเป็นน้องชายในชาติก่อนได้โดยไม่มีใครแนะนำ เขาเรียกนายยุ้ยว่าพี่ แต่ไม่ยอมเรียกนายพัฒน์ว่าพี่ ทั้งที่ขณะนั้นนายพัฒน์มีอายุมากกว่าเกือบ 10 ปี เด็กชายจุกจดจำสิ่งของเครื่องใช้ภายในบ้านได้หมด และเมื่อเห็นเรือของนางอินผูกอยู่ข้างบ้าน เด็กถามว่าเรือของเขาไปอยู่ที่ไหน นางอินบอกว่า “เรือเราก็ลำนี้ล่ะ” แต่เด็กชายจุกแย้งว่าไม่ใช่ลำนี้ ซึ่งก็เป็นความจริงเพราะเรือลำเก่าผุพังใช้ไม่ได้แล้ว นางอินจึงซื้อเรือลำใหม่มาแทน หลังจากเด็กชายบุญอยู่ลูกชายตายไปนานพอสมควร
    การพิสูจน์ว่า เด็กชายจุกคือเด็กชายบุญอยู่กลับชาติมาเกิดใหม่ ทั้งสองครอบครัวไม่มีความสงสัยอีกต่อไปแล้ว นายคุนโหมวและนางอิน เชื่ออย่างสนิทใจว่าลูกชายของตนที่ตายไปแล้วมาเกิดเป็นเด็กชายจุกจริงๆ
    คืนนั้นเด็กชายจุกขอนางแช่มผู้เป็นแม่นอนค้างที่บ้านพ่อแม่ในชาติก่อน นางแช่มก็อนุญาตและให้พี่สาวคือนางแอ๊วอยู่เป็นเพื่อนค้างคืนด้วย
    นางอินและนายคุนโหมวมีความสุขใจเป็นพิเศษที่มีโอกาสได้พบกับลูกชายของตนที่มาเกิดใหม่ คืนนั้นขณะที่นางอินนอนพูดคุยเล่นกับลูกชาย 2 คนและมีเด็กชายจุกรวมอยู่ด้วย ตอนหนึ่งนางอินพูดขึ้นว่าถ้าลูกชายอยู่กันพร้อมหน้า 3 คนก็จะดีหรอกนะ เด็กชายจุกกอดนางอินเอาไว้แล้วพูดว่า “ก็เขาเป็นลูกอยู่แล้วนี่ ทำไมไม่ว่าเป็นลูกอีกเล่า”
    นางอินถามว่าทำไมไม่มาเข้าท้องแม่อีก เด็กชายจุกตอบว่า เขาเข้าบ้านไม่ได้เพราะมีสายสิญจน์ล้อมอยู่รอบบ้าน ต้องรออยู่ข้างนอก รอแล้วรออีกแม่ก็ไม่ออกมา จึงต้องไปที่อื่น กระทั่งพบกับแม่ใหม่เลยเกาะเขาไปเกิด
    นับตั้งแต่นั้น เด็กชายจุกจะมาค้างที่บ้านของพ่อแม่ในชาติก่อนบ่อยๆ โดยมีพี่สาวคือนางแอ๊วเป็นคนมาส่ง มาคราวหนึ่งก็จะอยู่หลายคืนและทำตัวเหมือนเป็นบ้านของตัวเอง จึงเท่ากับว่าเขามีพ่อแม่ทั้งชาติก่อนและชาติใหม่พร้อมๆ กัน
    ตอนที่เด็กชายจุกเป็นเด็กๆ มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นอยู่ 2 เรื่องที่น่าสนใจเป็นพิเศษ
    เรื่องแรก ตอนอายุ 3 – 4 ขวบ เด็กชายจุกไปค้างอยู่กับนายคุนโหมวและนางอินที่บ้าน ตั้งใจว่าจะค้างหลายวัน แต่ในตอนกลางวัน เด็กชายจุกบอกกับนางอินว่าเห็นไฟไหม้ที่ยอดไผ่ตรงกอไผ่หน้าบ้าน นางอินและคนอื่นๆ มองไม่เห็น เด็กชายจุกรบเร้าจะกลับบ้านที่ดอนกระเบื้องให้ได้ นางอินก็ตามใจ ให้คนไปส่งกลับบ้านดอนกระเบื้อง อำเภอบ้านโป่ง
    คืนวันนั้นก็เกิดไฟไหม้ที่บางแพ ไฟลุกลามมาไหม้บ้านนางอินวอดวายไปอีกหลัง ต่อมาจึงปลูกบ้านใหม่ห่างจากบ้านเดิมประมาณ 300 เมตร
    เรื่องที่ 2 ตอนเด็กชายจุกเป็นเด็กๆ เขามีความผูกพันกับกบอย่างประหลาด เมื่อไรที่เด็กชายจุกไปที่ริมน้ำ กบจะมาปรากฎตัวและว่ายมาหา ยอมให้เด็กชายจุกจับตัวมาเล่นแต่โดยดี จนมีคนพูดกันว่าถ้าใครอยากเห็นกบก็ให้เด็กชายจุกไปที่ริมน้ำ จะได้เห็นกบทันที และเด็กชายจุกจะไม่ยอมกินกบเด็ดขาด หรือหากเห็นใครจับกบมาขังก็จะแอบเอากบไปปล่อยจนหมด
    เด็กชายจุกหรือนายทองสุก ใช้นามสกุลว่า “เชาวน์ฉลาด” ตามนามสกุลพี่ชายที่เกิดกับพ่อซึ่งเป็นสามีเก่าของนางอิน เหตุที่ไม่ใช้นามสกุลของนายเหลือง แซ่อ๊วง ก็เนื่องจากไม่อยากใช้แซ่ ซึ่งพ่อกับแม่ก็ยินยอมให้ใช้นามสกุล “เชาวน์ฉลาด” ดังกล่าว
    เด็กชายจุกหรือนายทองสุกเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตามความทรงจำในการระลึกชาติไม่ลบเลือนสูญหายแต่อย่างใด เขายังจำได้แม่นยำทุกอย่างตั้งแต่ตอนยังมีชีวิตและหลังจากที่สิ้นใจตายไปแล้ว
    ก่อนเกิดใครเป็นเรา<br />เมื่อเกิดแล้วเราเป็นใคร<br /><br />สิ่งที่ทำอยู่คือกรรมใหม่<br />ผลที่ได้รับคือกรรมเก่า<br /><br />ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน<br />มองในสิ่งที่ไม่เห็น<br />ทำในสื่งที่ไม่มี
     
  2. *8q* said:

    Re: เกิดใหม่กลัวบาป

    นายจุกหรือนายทองสุกเล่าว่า ตอนที่เขาเป็นเด็กชายบุญอยู่และตายเหมือนกับนอนหลับไป มารู้สึกตัวอีกครั้งปรากฎว่า ตัวเองมาอยู่นอกบ้าน มองเห็นภายในบ้านชุลมุนวุ่นวาย มีคนเศร้าโศกเสียใจร้องไห้หลายคน เวลาที่นำศพเด็กชายบุญอยู่ ไปวัดท่าราบ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านคุนโหมวและนางอินประมาณ 2 กิโลเมตร เขายังเดินนำหน้าศพไปด้วย
    นายทองสุกหรือนายจุกเล่าต่อไปว่า ตอนที่เดินไปนั้นไม่ได้เดินเหมือนมนุษย์ธรรมดา ตัวมันลอยไปเองโดยลอยเรื่อยๆ กับยอดหญ้าเวลานึกจะไปไหนตัวก็ลอยวูบๆ ไปตามที่นึกทันที และเวลาเผาศพนั้นตนเองก็เห็นเหตุการณ์โดยตลอด แต่ไม่กล้าเข้าไปดูใกล้ๆ นึกกลัวผู้ใหญ่จะตีเอาว่าเข้าไปวุ่นวาย จึงได้ลอยขึ้นไปอยู่บนต้นสะแกเพราะเห็นว่าสูงดี

    ตัวของนายจุกหรือจิตวิญญาณของนายจุกเพิ่งรู้ว่าตัวเองตายแล้วเมื่อเห็นศพของตนถูกเผา จึงเกิดความเสียใจอย่างมาก คิดจะกลับบ้านตัวเอง ก็ลอยกลับถึงบ้านแต่เข้าบ้านไม่ได้ เพราะกลัวสายสิญจน์ที่ล้อมรอบบ้านเอาไว้ จึงร้องเรียกแม่อินที่หลังบ้านเพื่อจะกลับเข้าครรภ์แม่มาเกิดใหม่อีก แต่แม่ก็ไม่ได้ยิน ไม่สนใจ จะเข้าบ้านก็เข้าไม่ได้ มีความเสียใจนักเลยผละออกมาจากเขตบ้านเที่ยวไปเรื่อยๆ
    ลอยมาถึงทางแพร่งเป็นสามแยก มีคนยื่นผลไม้ให้กิน ผลไม้นั้นมีลักษณะเหมือนลูกมะปราง แต่นายจุกไม่ยอมรับ นึกรู้ว่าต้องเป็น “ลูกลืม” อย่างแน่นอน หากรับมากินคงลืมทุกสิ่งทุกอย่างหมด คนที่ให้ผลไม้รูปร่างหน้าตาเหมือนครธรรมดาๆ ไม่ได้ใส่อาภรณ์ผิดปกติหรือผิดแปลกแต่อย่างไร
    นายจุกพาตัวลอยเรื่อยมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง มีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง แผ่กิ่งก้านสาขาร่มรื่น และบริเวณใต้ต้นโพธิ์มีมหรสพคือละคร ลิเก งิ้ว กำลังเล่นอย่างสนุกสนาน มีผู้คนมุงดูกลุ่มใหญ่เหมือนเมืองมนุษย์ ในบริเวณนั้นมีแท่นอยู่แท่นหนึ่งลักษณะคล้ายโต๊ะยาวหรือแท่นที่ตักบาตรกลางแจ้งตามวัดชนบท บนแท่นนั้นมีหมอนขวาน มีแสงแววส่งประกายออกมา นายจุกจึงขึ้นไปนอนเล่นบนแท่นนั้นและผลอยหลับไป
    นายจุกนอนหลับเพลินไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ ตื่นขึ้นมาก็ไปเที่ยวต่ออีกอย่างไร้จุดหมาย คราวนี้ได้พบกับที่ลงโทษทัณฑ์ทรมานผู้ทำบาปด้วย สิ่งนั้นเป็นแค่รยาวขนาดคนนอนเหยียดยาวได้เต็มตัวมีไฟสุมอยู่เป็นเปลวลุกโพลงร้อนแรงน่ากลัว บนแคร่นั้นมีคนถูกย่างไฟ กำลังบิดตัววไปมาด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสน่าสยดสยองยิ่งนัก ทำให้นายจุกหวาดกลัวอย่างยิ่ง
    เมื่อออกจากที่ทรมานคนบาปมาไกลพอสมควร ก็พบกับชีปะขาวผู้หนึ่งยืนอยู่ ชีปะขาวผู้นี้มีผู้นี้มีวัยชราแล้ว มีหนวดเครายาวมากนุ่งขาวห่มขาวทั้งชุด ชีปะขาวถามนายจุกว่าไปไหนมา นายจุกตอบว่าไปเที่ยวมา ชีปะขาวก็ชวนให้มาอยู่ด้วยกัน
    นายจุกยังคิดถึงแม่อยู่ จึงบอกกับชีปะขาวว่าขอกลับไปอยู่กับแม่ก่อน จะอยู่กับแม่สัก 2 เดือนแล้วจะกลับมาอยู่กับชีปะขาวแน่ๆ ชีปะขาวแสดงความยินดีปรีดาที่นายจุกจะมาอยู่กับแก แกบอกว่าถ้ามาอยู่ด้วยเมื่อไรจะรับเอาไว้เป็นลูกบุญธรรมเลย
    นายจุกบอกว่า วันหนึ่งในภพภูมิที่เขาไปอยู่นั้นเท่ากับ 1 ปีในโลกมนุษย์ ดังนั้นเวลา 2 เดือน คือ 60 วัน จึงเท่ากับเวลาในโลกมนุษย์ 60 ปี
    ดังนั้นนายจุกจะมีชีวิตหรือมีเวลาอยู่ในโลกมนุษย์แค่ 60 ปีก็จะกลับไปอยู่กับชีปะขาวตามที่เอ่ยปากตกลงสัญญากันไว้
    นอกจากนี้ชีปะขาวยังสั่งให้นายจุกปฏิบัติตามที่แกสั่งอีกหลายข้อ เช่น ห้ามฆ่าคน ไม่ให้ฆ่าสัตว์ใหญ่ ไม่ให้กินของวัด
    เมื่อนายจุกลาจากชีปะขาวแล้ว ก็รีบกลับไปบ้านพ่อแม่ คือนายคุนโหมวและนางอิน แต่ก็เข้าบ้านไม่ได้อีกเพราะกลัวสายสิญจน์จึงออกมาวนเวียนอยู่ที่บ่อน้ำ (บ่อน้ำนี้เดิมเป็นบ่อปูนข้างคลอง เจาะลึกลงไปเพื่อให้ชาวบ้านได้ตักน้ำใช้ในฤดูน้ำน้อย) รอคอยให้แม่อินผ่านมาจะได้กลับไปเกิดใหม่อีก)
    นายจุกรอคอยแม่คือนางอินอยู่นานเท่าไรไม่สามารถบอกได้ แต่นางอินก็ไม่ผ่านมาเสียที พอดีกับนางแช่มหาบกระบุงกลับจากไปแลกข้าวผ่านมา นายจุกรู้สึกถูกใจชอบนางแช่ม จึงโดดเกาะกระบุงตามไปด้วย
    นางแช่มเดินมาถึงวัดเตาอิฐซึ่งอยู่ห่างจากบางแพประมาณ 3 กิโลเมตร เกิดหิวน้ำเป็นกำลัง จึงวางหาบลงแล้วไปวักน้ำใส่ในคูวัดดื่มกิน นายจุกก็เข้าไปในน้ำที่นางแช่มวักกรอกปาก ไหลลงไปในห้องแม่คนใหม่แล้วหมดความรู้สึกไป
    ตั้งแต่รู้ว่าตัวเองตาย และออกท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ตราบกระทั่งมาเข้าท้องแม่คนใหม่ นายจุกบอกว่าเป็นเวลาแค่วันเดียวเท่านั้นในความรู้สึกของตน
    ข้อมูลที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือ เด็กชายบุญอยู่ ตายในปีพ..2474 และมาเกิดใหม่ในปี 2475 เป็นเวลาห่างกัน 1 ปีคงจะเท่ากับ 1 วันในภพชาติที่จิตวิญญาณนายจุกได้อยู่อาศัยจริงๆ
    สำหรับเรื่องที่นางแช่มไปแลกข้าว แล้วเดินผ่านบ่อน้ำ กระทั่งไปแวะกินน้ำในคูหน้าวัดเตาอิฐ นางแช่มยอมรับว่าเป็นความจริงเช่นนั้น ต่อจากนั้นตนเองก็ตั้งครรภ์
    นายจุกหรือนายทองสุก เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีนิสัยเรียบร้อยอ่อนโยน เวลาพูดก็พูดช้าๆ มีสาระเป็นหลักฐานน่าเชื่อถือ เป็นคนใจเย็น ไม่เคยโกรธหรือขุ่นเคืองใครเลย พ่อแม่พี่น้องถึงกับบอกว่าถ้านายจุกถูกใครด่าว่า เขาก็คงจะยิ้มเหมือนเดิม
    ต่อมานายจุกได้แต่งงานมีภรรยาและมีลูกด้วยกัน 4 คน นายจุกเป็นคนรักลูกและภรรยามาก ไม่เคยเจ้าชู้สร้างปัญหาให้แก่ครอบครัวเป็นผู้มีจิตใจฝักใฝ่ในการบุญการกุศลมาโดยตลอด
    สำหรับชีปะขาวที่นายจุกเคยพบในภพชาติหลังจากตายไปแล้วยังมาปรากฎในฝันหลายครั้ง การฝันถึงชีปะขาวทุกครั้งหมายถึงว่าจะต้องมีเหตุการณ์ไม่สู้ดีเกิดขึ้น และท่านจะเตือนให้ระมัดระวังตัวไว้ เช่น คราวหนึ่งนายจุกเตรียมตัวจะไปเที่ยวที่จังหวัดชุมพร แต่ชีปะขาวได้มาฝันก่อน บอกว่าอย่าไปจะเกิดอันตราย นายจุกก็ไม่ไปตามคำห้ามปรามนั้น
    อีกครั้งหนึ่ง ชีปะขาวเข้าฝันบอกนายจุกว่าเขากำลังจะมีเคราะห์หนักให้บวชต่ออายุเสีย อีกอย่างหนึ่งจะได้เป็นกุศลแก่พ่อเก่าคือนายคุนโหมวด้วย เพราะพ่อเก่าใกล้จะถึงวาระหมดอายุขัยต้องตายแล้ว การบวชจะได้แผ่บุญกุศลให้พ่อได้บ้าง นายจุกจึงได้บวชเข้าพิธีอุปสมบทที่วัดหนองอ้อ บ้านดอนกระเบื้อง ซึ่งเป็นวัดใกล้ๆ บ้าน
    การบวชของนายจุกในปี พ..2498 เขาไม่ยอมบอกพ่อแม่ทั้ง 2 ครอบครัวให้รู้เรื่องก่อน พอใกล้จะถึงวันบวชจึงได้บอกพ่อแม่ว่าจะบวช ตนได้เตรียมเครื่องอัฐบริวารไว้พร้อมแล้ว และขอสมทบบวชกับนาครายอื่นที่เขาจัดงานไว้เรียบร้อย
    เหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพราะไม่อยากให้พ่อแม่ทั้ง 2 ฝ่ายน้อยใจกัน เพราะตนเองก็รักเคารพทั้งพ่อแม่ในชาตินี้และชาติก่อนเท่าเทียมกัน อีกประการหนึ่งก็คือ ไม่อยากให้วุ่นวายจัดงานทำบุญเลี้ยงพระเป็นการใหญ่ เพราะการจัดงานเช่นนั้นต้องใช้เนื้อสัตว์จำนวนมากมาทำกับข้าวเลี้ยงแน เป็นบาปกรรมเปล่าๆ
    การระลึกชาติได้ของนายจุกหรือนายทองสุก เชาวน์ฉลาด ย่อมเป็นการยืนยันได้ว่า ทุกคนตายแล้วต้องเกิดอีก ต้องเวียนว่ายในสังสารวัฏอยู่เช่นนี้ไม่มีสิ้นสุดตามกรรมของแต่ละคน เว้นแต่จะมุ่งหน้าพากเพียรบำเพ็ญธรรม หวังพระนิพพานเท่านั้นเป็นที่สิ้นสุด จึงจะหลุดพ้นไปจากวังวนแห่งอนิจจังนี้ไปได้…….



    แคทครับ <!-- / message --><!-- sig -->
    ก่อนเกิดใครเป็นเรา<br />เมื่อเกิดแล้วเราเป็นใคร<br /><br />สิ่งที่ทำอยู่คือกรรมใหม่<br />ผลที่ได้รับคือกรรมเก่า<br /><br />ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน<br />มองในสิ่งที่ไม่เห็น<br />ทำในสื่งที่ไม่มี