Re: หลวงปู่ดูลย์ วิปัสสนาจารย์ผู้แจ้งในจิตและจักรวาล
จิตและจักรวาล มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันอยู่ หลวงปู่ดูลย์ได้เมตตาอธิบายถึงเรื่องนี้ไว้อย่างพิสดารว่า จิต วิญญาณ เกิดจากรูปนามของจักรวาล และ นิพพาน เป็นการรวมของจิตบริสุทธิ์เข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์และสว่างของจักรวาลเดิม ไว้ดังนี้
สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในจักรวาล มีนับไม่ถ้วน รวมแล้วมี รูป กับ นามสองอย่างเท่านั้น นามเดิม ก็คือความว่างของจักรวาล เข้าคู่กัน เป็นเหตุเกิด ตัวอวิชชา--เกิดเหตุก่อ ที่ใดมีรูป ที่นั้นต้องมีนาม ที่ใดมีนาม ที่นั้นต้องมีรูป รูปนามรวมกันเป็นเหตุเกิดปฏิกิริยา---ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และเกิดกาลเวลาขึ้น คือ รูปย่อมมีความดึงดูดซึ่งกันและกัน จึงเป็นเหตุให้รูปเคลื่อนไหว และหมุนรอบตัวเองตามปัจจัย รูปเคลื่อนไหวได้ ต้องมีนาม--ความว่าง--คั่นระหว่างรูป รูปจึงเคลื่อนไหวได้
เมื่อสภาวธรรมเป็นอย่างนี้ สรรพสิ่งของวัตถุ--สสารมีชีวิต และไม่มีชีวิต---จึงต้องเปลี่ยนแปลง เป็นไตรลักษณ์ เกิด ดับ สืบต่อทุกขณะจิต ไม่มีวันหยุดนิ่ง ให้คงทนเป็นปัจจุบันเช่นนั้นได้
จิต วิญญาณ ก็เกิดมาจาก รูปนาม ของจักรวาล มันเป็นมายาหลอกลวง แล้วเปลี่ยนแปลงให้คนหลง จากรูปนามไม่มีชีวิตเปลี่ยนมาเป็นรูปนามที่มีชีวิต จากรูปนามที่มีชีวิต มาเป็นรูปนามมีชีวิต-ที่มีจิตวิญญาณ แล้วจิต วิญญาณก็เปลี่ยนแปลงแยกออกจากกัน คงเหลือแต่ นามว่างที่ปราศจากรูป นี้--เป็นจุดสุดยอดของการหลอกลวงของรูปนาม
เมื่อเจริญจิตจนเข้าถึงสภาวะเดิมแท้ของมันได้ดังนี้แล้ว จิตเห็นจิต อย่าง แจ่มแจ้ง จิตก็จะอยู่เหนือสภาวะสมมติบัญญัติทั้งปวง เหนือความมีความเป็นทั้งปวง มันอยู่เหนือคำพูดและพ้นไปจากการกล่าวอ้างใดๆทั้งสิ้น เป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์และสว่าง รวมกันเข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์และสว่างของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่ง เรียกว่า นิพพาน
โดยความจริงแล้ว จักรวาลส่วนใหญ่เป็นความว่างอันมหาศาลไร้ขอบเขต ระบบสุริยจักรวาล ดาวนพเคราะห์ เช่นโลก ดาวฤกษ์ เช่นดวงอาทิตย์ แกแลกซี่ ต่างๆ เหล่านั้น ล้วนเป็นเพียงส่วนน้อยนิดของจักรวาลทั้งหมด แต่เราต่างกลับสนใจจักรวาลส่วนน้อยนิดนี้ (ไม่ถึง 5% ของจักรวาลทั้งหมด) โดยไม่ให้ความสนใจกับความว่างอันมหึมา ไร้ขอบเขตของจักรวาลทั้งหมด (หรืออีก 95% ที่เหลือจากที่เห็นได้ด้วยตาหรือสัมผัสได้ ซึ่งหนึ่งในสามส่วนที่เหลือนี้ เป็น Dark Matter และอีกสองในสามที่เหลือเป็น Dark Energy) เสมือนดังคนเราสนใจแต่ตัวเราเอง (อัตตา) ทำให้มองไม่เห็นสภาพที่แท้จริงของตนเองตลอดถึงสภาวะที่ห้อมล้อมเราอยู่ว่า เป็น อนัตตา ไร้ตัวตน หรือ ความว่าง สุญญตา นั่นเอง
ในประเด็นนี้ ศาสตราจารย์ ดร. คาร์ล เซกาน (Professor Dr. Carl Sagan) ปราชญ์ทางดาราศาสตร์ชื่อดังในยุคปัจจุบัน ได้ฝากข้อคิดไว้หนึ่งสัปดาห์ก่อนที่จะอำลาจากโลกนี้ไปด้วยโรคมะเร็ง (มรณะเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2539) โดยกล่าวถึงความบอบบางและอายุขัยอันสั้นของชีวิตมนุษย์ เมื่อเทียบกับความมหึมาและอายุ (13-15 พันล้านปี) ของจักรวาลว่า มนุษย์เราอาศัยอยู่บนกองหินและแร่ธาตุก้อนยักษ์ ซึ่งโคจรรอบดวงอาทิตย์อันเป็นดาวฤกษ์ขนาดย่อม และดวงอาทิตย์นี้เป็นเพียงหนึ่งในดาวฤกษ์ 400 ล้านดวง ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นแกแลกซี่ (Galaxy) ที่เรียกกันว่า ทางช้างเผือก (The Milky Way) และทางช้างเผือกนี้เป็นเพียงหนึ่งในพันล้านแกแลกซี่ในจักรวาล และเป็นไปได้ว่า จักรวาลนี้อาจเป็นเพียงหนึ่งในบรรดาจักรวาลทั้งหลาย ซึ่งอาจมีจำนวนนับอนันต์ นี้คือจุดที่ควรใช้วิจารณญาณพิจารณาให้ลึกซึ้ง ด้วยการมองให้กว้างตามสภาพความเป็นจริงต่อชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณีของมวลมนุษย์
นอกจากนี้หลวงปู่ดูลย์ได้อธิบายถึงปรากฏการณ์ต่างๆไว้อย่างลึกล้ำว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเคลื่อนไหวได้ ซึ่งตรงกับความจริงที่ค้นพบทางวิทยาศาสตร์ เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่า พระฝ่ายอรัญวาสี พระผู้ถือปฏิบัติธุดงค์วัตรวิปัสสนากรรมฐานสามารถรู้สึกซึ้งถึงสภาพความเป็นจริง ได้ทัดเทียมหรือลํ้ายุคกว่านักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันว่า
ต้นเหตุเกิด รูปนามของจักรวาล นั้น เป็นเหตุเกิด รูปนามพิภพ ต่างๆ ตลอดจนดวงดาวนับไม่ถ้วน เพราะไม่มีที่สิ้นสุด รูปนามพิภพต่างๆ เป็นเหตุให้เกิด รูปนามพืช รูปนามพืช เป็นเหตุให้เกิด รูปนามสัตว์ เคลื่อนไหวได้ จึงเรียกกันว่า เป็น สิ่งมีชีวิต
ความจริง รูปนาม จะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต มันก็เคลื่อนไหวได้ เพราะมันมีรูปกับนาม เป็นเหตุเป็นผล ให้ เกิดปฏิกิริยาอยู่ในตัว ให้เคลื่อนไหวตลอดกาล และ (เกิด) การเปลี่ยนแปลง เรามองด้วยตาเนื้อไม่เห็น จึงเรียกกันว่าเป็น สิ่งไม่มีชีวิต
เมื่อรูปนามของพืช เปลี่ยนมาเป็น รูปนามของสัตว์ เป็นจุดตั้งต้นชีวิตของสัตว์ และเป็นเหตุให้เกิด จิต วิญญาณ การแสดง การเคลื่อนไหว เป็นเหตุให้เกิดกรรม
ซึ่งคำอธิบายดังกล่าว ต้องตรงตามพุทธพจน์ที่กล่าวไว้กว่า 2500 ปีก่อนยุคแห่งวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ใน อุปจาลาสูตร สังยุตตนิกาย ว่า
สพฺโพ ปจฺจลิโต โลโก
สพฺโพ โลโก ปกมฺปิโต
โลกทั้งโลก คือ ความกระเพื่อมไหว/หวั่นไหว (Trembling)
โลกทั้งโลก คือ ความสั่นสะเทือน (Vibration)
นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่า สิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต ล้วนประกอบขึ้นด้วยสสารต่างๆ และ สสารทุกชนิดมีส่วนที่เล็กที่สุดคือ ปรมาณู ซึ่งได้แก่ อะตอม (Atom) กระนั้นก็ดี อะตอม ยังมีส่วนประกอบย่อยลงไปอีก คือ อนุภาคพื้นฐาน (Elementary particles) โดยมีแกนกลาง (Nucleus) ซึ่งรวมอนุภาคประจุบวก (Proton) และ อนุภาคไร้ขั้ว (Neutron) ไว้ และมีอนุภาคประจุลบ (Electron) วิ่งวนอยู่โดยรอบ
ในบางครั้ง สสารมีการสูญเสียอนุภาคประจุไฟฟ้าเช่น Electron มีการแปรรูปเป็นพลังงานลักษณะต่างๆ เป็นกระแสไฟฟ้า แสงสว่าง หรือ พลังงานปรมาณู เป็นต้น หากมีการแตกแยกหรือหล่อหลอมของ Atomic Nucleus จะเกิดเป็นพลังงานปรมาณูขึ้น
Elementary particles ยังประกอบขึ้นด้วยอณูที่เล็กลงไปกว่านั้นอีก คือ ควอก (Quark) และ Antiquark โดยมีพลังประสาน (Gluon) ดึงดูดควอกให้สมดุลไว้ มิได้อยู่นิ่งอย่างที่เห็นโดยผิวเผิน แต่มีการเคลื่อนไหวอยู่ภายในตลอดเวลา ทั้งในสิ่งไม่มีชีวิตและสิ่งมีชีวิต จึงไม่อาจคงทนสภาพเดิมอยู่ได้ และย่อมเสื่อมสลายไปในที่สุด
มีท่านผู้คงแก่เรียนหลายท่านชอบถามว่า คำกล่าวหรือเทศน์ของหลวงปู่ ดูคล้ายนิกายเซ็น หรือคล้ายมาจากสูตรเว่ยหล่างเป็นต้น ศิษย์ของท่านเรียนถามหลวงปู่ก็หลายครั้ง ในที่สุดท่านกล่าวอย่างเป็นกลางว่า
สัจธรรมทั้งหมดมีอยู่ประจำโลกอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้สัจธรรมนั้นแล้ว ก็นำมาสั่งสอนสัตว์โลก เพราะอัธยาศัยของสัตว์ไม่เหมือนกัน หยาบบ้าง ประณีตบ้าง พระองค์จึงเปลืองคำสอนไว้มากถึง 84,000 พระธรรมขันธ์ เมื่อมีนักปราชญ์ฉลาดสรรหาคำพูดให้สมบูรณ์ที่สุด เพื่อจะอธิบายสัจธรรมนั้นนำมาแผ่เผยแจ้งแก่ผู้มุ่งสัจธรรมด้วยกัน เราย่อมจะต้องอาศัยแนวทางในสัจธรรมนั้น ที่ตนเองไตร่ตรองเห็นแล้วว่าถูกต้องและสมบูรณ์ที่สุดนำแผ่ออกไปอีก โดยไม่ได้คำนึงถึงคำพูด หรือไม่ได้ยึดติดในอักขระพยัญชนะตัวใดเลยแม้แต่น้อยเดียว
นั่นคือ เมื่อกล่าวถึงสัจธรรมแล้ว ย่อมลงสู่กระแสเดียวกัน กระนั้นก็ดี คำสอนของหลวงปู่ดูลย์นับได้ว่าเป็นเอกเทศ และเป็นเอกลักษณ์ของท่านเอง บางตอนท่านอาจหยิบยืมคำสอนของเซ็นจาก สูตรเว่ยหล่าง และ คำสอนของฮวงโป มาชนิดคำต่อคำ ด้วยหลวงปู่เห็นว่า ปราชญ์ท่านได้อธิบายไว้อย่างสมบูรณ์แจ่มแจ้งที่สุดแล้ว แต่หลายๆแห่งท่านก็อธิบายถึงเรื่องอื่นๆไว้มากมายอย่างแจ่มแจ้ง พิสดาร เด็ดเดี่ยว และ อาจหาญ ด้วยภาษาใจของท่านเอง อาทิ เรื่อง อริยสัจ4 จิต-จักรวาล สสารวัตถุ-สิ่งมีชีวิต-สิ่งไม่มีชีวิต ด้วยประสบการณ์ความรู้แจ้งในจิต ในสัจธรรมและธรรมชาติของท่านเอง ซึ่งเจาะทะลุหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์อย่างค้านไม่ได้
นอกจากนี้ยังเป็นการชี้ให้เห็นว่า การประจักษ์แจ้งแห่งสัจธรรม ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นพระฝ่ายธุดงค์กรรมฐานสายหลวงปู่มั่น หรือ พระเซ็นผู้ไม่รู้หนังสือเยี่ยงท่านเว่ยหล่าง (สังฆปริณายกองค์ที่ 6) ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นเถรวาท หรือ มหายาน เพราะความเป็น พุทธ ไม่ได้ขึ้นกับสิ่งเปลือกนอกเหล่านั้น และพุทธที่แท้จริง ไม่ได้มีการจำแนก แตกแยกเป็นนิกายต่างๆ ซึ่งเป็นเพียงปรากฏการณ์ภายนอกของสมมติบัญญัติ และ การบรรลุเห็นแจ้งในสัจธรรม ซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนานั้น เป็นปรมัตถสัจจะ ความจริงสูงสุด เหนือเหตุผล และล่วงพ้นสมมติบัญญัติ โดยสิ้นเชิง
ที่มา : เซ็นต์หลุยส์, มิสซูรี่ สหรัฐอเมริกา
นพ. คงศักดิ์ ตันไพจิตร 15 กันยายน 2539
__________________
ก่อนเกิดใครเป็นเรา<br />เมื่อเกิดแล้วเราเป็นใคร<br /><br />สิ่งที่ทำอยู่คือกรรมใหม่<br />ผลที่ได้รับคือกรรมเก่า<br /><br />ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน<br />มองในสิ่งที่ไม่เห็น<br />ทำในสื่งที่ไม่มี