ควรเรียนทุกอย่างแต่ไม่ควรใช้ทุกอย่าง

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร ทรงปรารภ พระเจ้าอชาตศัตรู จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้
เรื่องปัจจุบันได้แสดงไว้อย่างละเอียดในถุสชาดก โกกิลวรรค จตุกกนิบาตนั่นแล

เรื่องปัจจุบันในถุสชาดก โกกิลวรรค จตุกกนิบาต


ได้ยินว่า เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูนั้นอยู่ในพระครรภ์ของพระมารดานั้น พระมารดาของเธอผู้เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าโกศล เกิดแพ้พระครรภ์ อยากดื่มพระโลหิตในพระชาณุข้างขวาของพระเจ้าพิมพิสาร พระนางถูกนางสนมผู้รับใช้ทูลถาม จึงบอกความนั้นแก่นางสนมเหล่านั้น ฝ่ายพระราชาได้ทรงสดับแล้ว รับสั่งให้เรียกโหรผู้ทำนายนิมิตมาแล้วตรัสถามว่า เขาว่าพระเทวีทรงเกิดการแพ้พระครรภ์เช่นนี้ จะเกิดอะไรขึ้น? พวกโหรผู้ทำนายนิมิตกราบทูลว่า สัตว์ผู้อุบัติในพระครรภ์ของพระเทวี จักปลงพระชนม์พระองค์แล้วยึดราชสมบัติ
พระราชาตรัสว่า ถ้าบุตรของเราจักฆ่าเราแล้วยึดราชสมบัติ ก็จะเป็นไรไป แล้วทรงเฉือนพระชานุข้างขวาด้วยพระแสงมีด เอาจานทองรองรับพระโลหิตแล้วประทานให้พระเทวีดื่ม พระเทวีนั้นทรงดำริว่า ถ้าโอรสผู้เกิดในครรภ์ของเราจักปลงพระชนม์พระบิดาไซร้ เราจะรักษาพระโอรสนั้นไว้เพื่อประโยชน์อะไร พระนางจึงให้รีดพระครรภ์ เพื่อให้ครรภ์ตกไป พระราชาทรงทราบจึงรับสั่งให้เรียกพระเทวีนั้นมา แล้วตรัสว่า นางผู้เจริญ นัยว่าบุตรของเราจักฆ่าเราแล้วยึดราชสมบัติ ก็เราจะไม่แก่ไม่ตายก็หามิได้ เธอจงให้เราเห็นหน้าลูกเถิด นับแต่นี้ไป เธออย่าได้กระทำกรรมเห็นปานนี้
นับแต่นั้น พระเทวีเสด็จไปพระราชอุทยานแล้วให้รีดครรภ์ พระราชาได้ทรงทราบ จึงทรงห้ามเสด็จไปพระราชอุทยาน นับแต่กาลนั้น พระเทวีทรงมีพระครรภ์ครบบริบูรณ์แล้วประสูติพระโอรส ก็ในวันขนานนามพระโอรสนั้น เขาขนานพระนามว่า อชาตศัตรูกุมาร เพราะเป็นศัตรูต่อพระบิดาตั้งแต่ยังไม่ประสูติ เมื่ออชาตศัตรูกุมารนั้นทรงเจริญเติบโต วันหนึ่ง พระศาสดาแวดล้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ เสด็จไปนิเวศน์ของพระราชาแล้วประทับนั่งอยู่ พระราชาทรงอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ด้วยของเคี้ยวและของฉันอันประณีต ทรงนมัสการแล้วประทับนั่งสดับธรรมอยู่
ขณะนั้น พระพี่เลี้ยงแต่งองค์พระกุมารแล้วได้ถวายพระราชา พระราชาทรงรับพระโอรสด้วยพระสิเนหาเป็นกำลัง ให้นั่งบนพระเพลาทรงปลาบปลื้มอยู่เฉพาะพระโอรส ด้วยความรักในพระโอรส มิได้ทรงสดับพระธรรม พระศาสดาทรงทราบความประมาทของพระราชา จึงตรัสว่า มหาบพิตร พระราชาทั้งหลายในครั้งก่อน ทรงระแวงพระโอรสทั้งหลาย ถึงกับให้กระทำไว้ในที่อันมิดชิดให้ขัง แล้วตรัสสั่งไว้ว่า เมื่อเราล่วงไปแล้ว ท่านทั้งหลายจงนำออกมาให้ดำรงอยู่ในราชสมบัติ ครั้นเมื่อพระราชาทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:



ส่วนในชาดกนี้ พระศาสดาทรงเห็นพระราชาทรงหยอกเล่นกับพระโอรสพลาง ทรงฟังธรรมพลางอย่างนั้น ทรงทราบว่าภัยจักเกิดขึ้นแก่พระราชาจากพระโอรสนั้น จึงตรัสว่า มหาบพิตร พระราชาครั้งเก่าก่อนทั้งหลาย ทรงรังเกียจสิ่งที่ควรรังเกียจ ได้ทรงกันพระโอรสของพระองค์ให้อยู่ในที่อื่น ด้วยทรงดำริว่า พระโอรสจงกลับมาครองราชสมบัติในเวลาเราแก่ชราตามัว แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์ในเมืองตักกสิลา ได้เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ พระโอรสของพระเจ้าพาราณสี พระนามว่า ยวกุมาร ก็ได้เรียนศิลปะทุกอย่างในสำนักของพระโพธิสัตว์นั้นแล้ว ครั้นเมื่อเรียนจบแล้ว อาจารย์ได้ทดสอบวิชาแล้ว จึงประสงค์จะกลับมาบ้านเมือง จึงอำลาอาจารย์นั้น อาจารย์รู้ได้ด้วยอำนาจวิชาดูอวัยวะว่า อันตรายจักเกิดแก่กุมารนี้เพราะบุตรเป็นเหตุ คิดว่าเราจักบำบัดอันตรายของพระกุมารนั้น จึงเริ่มไตร่ตรองหาข้อเปรียบเทียบสักข้อหนึ่ง
ในเวลานั้น ม้าของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ตัวหนึ่ง เกิดแผลขึ้นที่เท้า พวกคนเลี้ยงม้าจึงแยกม้าตัวนั้นไว้ในโรงเพื่อจะตามรักษาแผล ในที่ไม่ไกลจากโรงนั้นมีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่ง มีหนูตัวหนึ่งออกจากรังมากัดแผลที่เท้าของม้าทุกวัน แต่ม้านั้นก็อดทนต่อหนูนั้น ครั้นต่อมาวันหนึ่ง ม้านั้นไม่อาจอดกลั้นเวทนาได้ จึงเอาเท้าดีดหนูซึ่งมากัดกินแผลให้ตายตกลงไปในบ่อน้ำ พวกคนเลี้ยงม้าไม่เห็นหนูมาจึงกล่าวกันว่า ในวันอื่น ๆ หนูมากัดแผล บัดนี้ไม่ปรากฏ มันไปเสียที่ไหนหนอ
พระโพธิสัตว์กระทำเหตุนั้นให้ประจักษ์แล้วกล่าวว่าคนอื่น ๆ ไม่รู้ จึงพากันกล่าวว่า หนูไปเสียที่ไหน แต่เราเท่านั้นย่อมรู้ว่าหนูถูกม้าฆ่าแล้วดีดลงไปในบ่อน้ำ พระโพธิสัตว์นั้น จึงกระทำเหตุนี้นั่นแหละให้เป็นข้อเปรียบเทียบ แล้วประพันธ์เป็นคาถาที่หนึ่งมอบให้แก่พระราชกุมาร
พระโพธิสัตว์นั้นไตร่ตรองหาข้อเปรียบเทียบข้ออื่นอีก ได้เห็นม้าตัวนั้นแหละมีแผลหายแล้ว ออกไปที่ไร่ข้าวเหนียวแห่งหนึ่ง แล้วสอดปากเข้าไปทางช่องรั้ว ด้วยหวังว่า จักกินข้าวเหนียว จึงกระทำเหตุนั้นแหละให้เป็นข้อเปรียบเทียบ แล้วประพันธ์เป็นคาถาที่ ๒ มอบให้แก่พระราชกุมารนั้น
ส่วนคาถาที่ ๓ พระโพธิสัตว์ประพันธ์โดยกำลังปัญญาของตน มอบคาถาที่ ๓ นั้น ให้แก่พระราชกุมารนั้นแล้วกล่าวว่า ดูก่อนพ่อ เธอดำรงอยู่ในราชสมบัติแล้ว เวลาเย็นเมื่อจะไปสระโบกขรณีสำหรับสรงสนาน พึงเดิน ท่องบ่นคาถาที่ ๑ ไปจนถึงบันใดอันใกล้
เมื่อจะเข้าไปยังปราสาท อันเป็นที่อยู่ของเธอ พึงเดินท่องบ่นคาถาที่ ๒ ไปจนถึงที่ใกล้เชิงบันใด ต่อจากนั้นไป พึงเดินท่องบ่นคาถาที่ ๓ ไปจนถึงหัวบันใด ครั้นกล่าวแล้วจึงส่งพระกุมารไป
พระกุมารนั้นครั้นไปถึงแล้วได้เป็นอุปราช เมื่อพระบิดาสวรรคตแล้ว ได้ครองราชสมบัติ โอรสองค์หนึ่งของพระองค์ประสูติแล้ว พระโอรสนั้นในเวลามีพระวัสสา ๑๖ ปี คิดว่าจักปลงพระชนม์พระบิดา เพราะความโลภในราชสมบัติ จึงตรัสกะมหาดเล็กทั้งหลายว่า พระบิดาของเรายังหนุ่ม เราคอยเวลาถวายพระเพลิงพระบิดานี้ จักเป็นคนแก่คร่ำคร่าเพราะชรา ประโยชน์อะไรด้วยราชสมบัติที่ได้ในเวลาที่เราแก่เช่นนั้น
มหาดเล็กเหล่านั้นทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ไม่อาจไปยังประเทศชายแดนแล้วกระทำความเป็นโจร พระองค์จงปลงพระชนม์พระบิดาของพระองค์ด้วยอุบายบางอย่างแล้วยึดเอาราชสมบัติ
พระโอรสนั้นรับว่า ได้ แล้วไปยังที่ใกล้สระโบกขรณีสำหรับสรงสนานตอนเย็นของพระราชาภายในพระราชนิเวศน์ ได้ถือพระขรรค์ยืนอยู่ด้วยตั้งใจว่า จักฆ่าพระบิดานั้น ณ ที่นี้
ในเวลาเย็น พระราชาทรงสั่งนางทาสี ชื่อหนู ไปด้วยพระดำรัสว่า เจ้าจงไปชำระสระโบกขรณีให้สะอาด เราจักอาบน้ำ นางทาสีนั้นไปล้างสระโบกขรณีอยู่ เห็นพระกุมาร พระกุมารจึงฟันนางทาสีนั้นขาด ๒ ท่อน แล้วทิ้ง ให้ตกลงไปในสระโบกขรณี เพราะกลัวว่าการกระทำของตนจะปรากฏขึ้น
ครั้นเมื่อพระราชาได้เสด็จไปเพื่อจะสรงสนาน ได้ยินคนกล่าวว่า แม้จนวันนี้ นางหนูผู้เป็นทาสียังไม่กลับมา นางหนูไปไหน พระราชา ตรัสคาถาที่ ๑ ว่า:
[๘๑๓] คนบ่นพร่ำอยู่ว่า นางทาสีชื่อมูสิกาไปไหนๆ เราคนเดียวเท่านั้นรู้ว่า
นางทาสีชื่อมูสิกา ตายอยู่ในบ่อน้ำ.
คนพร่ำบ่นอยู่ว่า นางหนูไปไหน นางหนูไปไหน เราคนเดียวเท่านั้นรู้ว่า นางหนูตายอยู่ในบ่อน้ำ
พระราชาได้เสด็จดำเนินตรัสคาถาที่ไปถึงฝั่งสระโบกขรณี พระกุมารคิดว่า พระบิดาของเราได้ทรงทราบกรรมที่เรากระทำไว้ จึงกลัวหนีไปบอกเรื่องนั้นแก่พวกมหาดเล็ก พอล่วงไป ๗ - ๘ วัน มหาดเล็กเหล่านั้นจึงทูลพระกุมารนั้นอีกว่า ข้าแต่สมมติเทพ ถ้าพระราชาจะทรงทราบแล้วละก็ คงจะไม่ทรงนิ่งไว้ ก็คำพวกนั้นคงจะเป็นคำที่พระราชานั้นตรัสโดยทรงคาดคะเนเอา พระองค์จงปลงพระชนม์พระบิดานั้นเถิด
วันรุ่งขึ้น พระกุมารนั้นถือพระขรรค์ประทับยืนที่ใกล้เชิงบันใด ในเวลาที่ปกติพระราชาจะเสด็จมา แล้ทรงมองหาโอกาสที่จะประหารไปรอบด้าน ครั้นเมื่อพระราชาได้เสด็จมา ก็ทรงดำเนินสาธยายคาถาที่ ๒ ว่า :
[๘๑๔] เหตุใด ท่านจึงคิดอย่างนี้ ลามองหาโอกาสจะประหารทางนี้ๆ กลับไป
แล้ว เพราะฉะนั้น เราจึงรู้ว่า ท่านฆ่านางทาสีชื่อว่ามูสิกาตาย ทิ้งไว้ใน
บ่อ วันนี้ ปรารถนาจะกินข้าวเหนียวอีกหรือ.
เหตุใดท่านจึงคิดอย่างนี้ และมองหาโอกาสจะประหารทางโน้นทางนี้ แล้วกลับไปเสมือนลา
พระกุมารสะดุ้งพระทัยหนีไปด้วยคิดว่า พระบิดาเห็นเราแล้ว พระกุมารนั้นให้เวลาล่วงไปประมาณกึ่งเดือนแล้วคิดว่า จักเอาท่อนไม้ประหารพระราชาให้ตาย จึงถือท่อนไม้สำหรับประหารท่อนหนึ่งซึ่งมีด้ามยาวแล้วได้ยืนกุมอยู่ พระราชาตรัสว่า:
[๘๑๕] แม่เจ้าผู้โง่เขลา เจ้ายังเป็นเด็กอ่อน ตั้งอยู่ในปฐมวัย มีผมดำสนิท
มายืนถือท่อนไม้ยาวนี้อยู่ เราจะไม่ยอมยกชีวิตให้แก่เจ้า.
พระราชาทรงสาธยายคาถาที่ ๓ พลางขึ้นถึงหัวบันใด วันนั้น พระกุมารนั้นไม่อาจหลบหนีไปทางอื่นได้ จึงกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์โปรดประทานชีวิตแก่ข้าพระองค์เถิดพระเจ้าข้า แล้วหมอบลงที่ใกล้ พระบาทของพระราชา พระราชาทรงคุกคามพระกุมารนั้นแล้ว ให้จองจำด้วยโซ่ตรวน แล้วให้ขังไว้ในเรือนจำ ทรงนั่งเหนือราชอาสน์ ที่ประดับประดา ณ ภายใต้เศวตฉัตร ทรงดำริว่า พราหมณ์ทิศาปาโมกข์ผู้อาจารย์ของเรา เห็นอันตรายนี้แก่เรา จึงได้ให้คาถา ๓ คาถานี้ จึงร่าเริงยินดี เมื่อจะเปล่งอุทาน จึงได้ตรัสคาถาที่เหลือว่า:
[๘๑๖] เราเป็นผู้อันบุตรปรารถนาจะฆ่าเสีย ไม่ได้พ้นจากความตายวันนี้ เพราะ
ภพในอากาศ * หรือเพราะบุตรที่รักเปรียบด้วยอวัยวะเลย เราพ้นจาก
ความตายเพราะคาถาที่อาจารย์ผูกให้.
[๘๑๗] บุคคลควรเรียนวิชาที่ควรเรียนทุกอย่าง ไม่ว่าจะเลว ดี หรือปานกลาง
ก็ตาม บุคคลควรรู้ประโยชน์ของวิชาที่เรียนทุกอย่าง แต่ไม่ควรประ
กอบทั้งหมด ศิลป ที่ศึกษาแล้วนำประโยชน์ให้ ในเวลาใด แม้เวลา
เช่นนั้นย่อมมีแท้.
*ทิพยวิมาน เรียกว่า ภพในอากาศ วันนี้เรามิได้ขึ้นแม้สู่ภพในอากาศ เพราะฉะนั้น เราจึงมิได้พ้นจากความตายในวันนี้ เพราะภพในอากาศ
ในกาลต่อมา เมื่อพระบิดาสวรรคตแล้ว พระกุมารก็ได้ดำรง อยู่ในราชสมบัติ.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า ก็อาจารย์ทิศาปาโมกข์ในครั้งนั้น ได้เป็นเรา ตถาคต ฉะนี้แล.
จบ มูสิกชาดก