พระไตรปิฎกมหาวิตถารนัย ๕๐๐๐ กัณฑ์
โดย ปุ้ย แสงฉาย อนงคาราม
๕ พระมโหสถ ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี
คัมภีร์ขุททกนิกาย มหานิบาตชาดก
ว่าด้วยเรื่องปัญญาของพระมโหสถ
ปัญฺจาโล สพฺเพ เสนายาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต อตฺตโน ปญฺญาปารมิ อารพฺภ กเถสิฯ เอกทิวสมฺหิ ภิขู ธมฺมสภายํ สนนิสินฺนา ตถาคตสฺส ปญฺญาปารมิ วณฺณยนฺตา มหาปญฺโญ อาวุโส ตถาคโต ปุถุปญฺโญ คมฺถีรปญฺโญ ภูริปญฺโญ ติกฺขปญฺโญ ชวนปญฺโญ นิพฺเพธิกปญฺโญ ปรปวาทโนติ.
ณ บัดนี้จะได้แสดงพระไตรปิฎกเทศนา มหาวิถารนัย ในคัมภีร์ขุทกนิกาย มหานิบาตชาดก ว่าด้วยเรื่องพระมโหสถชาดก เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่พุทธศาสนิกชน ในการที่จะได้สดับเรื่องพระปัญญาขอมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งเราทั้งหลาย ในครั้งเมื่อพระองค์ทรงเสวยพระชาติเป็นพระมโหสถบันฑิต โดยสมควร
ก็แลเรื่องพระมโหสถชาดกนี้ เป็นเรื่องพิสดารกว้างขวางมากจึงำม่สามารแสดงให้จบในตอนเดียวได้ ส่วนในตอนนี้จะแสดงเป็นตอนที่ ๑ ซึ่งมีเนื้อความสืบต่อไปตามวาระพระบาลีและอรรถกถาว่า เมื่อครั้งสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งเราทั้งหลาย ประทับอยู่ในเชตะวันมหาวิหารใกล้กรุงสาวัตถีนั้น พระองค์ทรงปรารภซึ่งพระปัญญาบารมีของพระองค์เองให้เป็นต้นเหตุ จึงตรัสเทศนาพระมโหสถชาดกนี้ให้เป็นผล มีคำเริ่มต้นว่า ปญฺจาโล สพฺพเสนาย ดังนี้
มีเรื่องพิสดารสืบต่อไปว่า ในเวลาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายได้ประชุมสนทนากันในธรรมสภาพรรณนาซึ่งพระปัญญาบารมีของพระตถาคตเจ้าว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย พระตถาคตเจ้าเป็นผู้มีพระปัญญามาก มีพระปัญญาหนาแน่นเหมือนกับแผ่นพื้นพสุธา มีพระปัญญาทำให้เวไนยสัตว์ร่าเริง มีพระปัญญาลึกซึ้ง มีพระปัญญากว้างขวางเหมือนกับดินฟ้าอากาศ มีพระปัญญาเฉียบแหลม มีพระปัญญาว่องไว มีพระปัญญาทำลายเสียซึ่งกิเลสอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ทรงย่ำยีเสียซึ่งถ้อยคำของผู้อื่นได้ พระองค์ได้ทรมานฝึกฝนคนทั้งหลาย ให้หมดพยศอันร้ายกลายเป็นคนดีมากมายนัก จักนับไม่ถ้วนด้วยพระปัญญาของพระองค์ เป็นต้นว่า กูฏทันตพราหมณ์ และสัพพิยปริพาชก อาฬวกยักษ์ พระอินทร์ พระพรหม อังคุลิมาลโจร ดังนี้ฯ เมื่อสมเด็จพระชินศรีสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงสดับคำสนทนาแห่งภิกษุทั้งหลายแล้ว จึงเสด็จไปประทับที่ธรรมสภาทรงสอบถามให้ทรงทราบเนื้อความสนทนาอันนั้นแล้ว จึงถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่เราตถาคตจะมีปัญญาปรากฏแก่กล้า แต่ในเวลานี้เท่านั้นก็หาไม่ ถึงในปางก่อน เราตถาคตก็มีปัญญาแก่กล้าเหมือนกัน ครั้นตรัสดังนี้แล้วก็ทรงนิ่งอยู่ ภิกษุทั้งหลายใคร่จะทราบเรื่องอดีตของพระองค์ จึงทูลอาราธนาให้แสดงเรื่องในอดีตต่อไป พระองค์จึงทรงนำมาซึ่งเรื่องมโสถชาดกนี้ แสดงแก่ภิกษุทั้งหลาย ดังต่อไปนี้
อตีเต ภิกฺขเว มิถิลายํ วิเทหรฏฺเฐ วิเทโห นามราชา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาลล่วงแล้วมา มีพระราชาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระเจ้าวิเทหราช เสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงมิถิลา
อันเป็นประเทศวิเทหรัฐ พระเจ้าวิเทหราช พระเจ้าวิเทหราชนั้นมีนักปราชญ์สำหรับสั่งสอน อรรถธรรมอยู่ ๔ คนด้วยกัน คนหนึ่งชื่อ เสนกะ คนหนึ่งชื่อ ปุกกุสะ คนหนึ่งชื่อว่า กามินท์ คนหนึ่งชื่อ เทวินท์ ครั้นอยู่มาในเวลาที่พระมโหสถถือปฏิสนธินั้น พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงพระสุบินนิมิตอันแปลกประหลาด ในเวลาจวนใกล้รุ่งว่า มีกองเพลิงอยู่ ๔ กอง สูงเท่ากำแพงวัง เกิดขึ้นในมุมกำแพงวังทั้ง ๔ แต่มีกองเพลิงอีกกองหนึ่งเกิดในท่ามกลางแห่งกองเพลิงทั้ง ๔ นั้น บัดเดี๋ยวใจก็รุ่งโรจน์โชตนาการท่วมกองเพลิงทั้ง ๔ แล้วสูงขึ้นไปจนกระทั่ง ถึงอกนิฏพรหม สว่างไสวไปทั่วจักรวาล โดยที่สุดแม้เมล็ดพันธุ์ผักกาดอันตกลงไปในสถานที่ทั้งปวงก็ปรากฏสิ้น ในขณะนั้น แม้เทวดาและมหาชนในมนุษย์โลก เทวโลก มารโลก พรหมโลก พากันเกลื่อนกล่นมาบูชาซึ่งกองเพลิงนั้น แล้วพากันเดินผ่านไปมาในระหว่างกองเพลิงนั้นได้ตามสบาย ไม่มีความร้อนรนแม้แต่ขุมขนหนึ่ง สิ้นพระสุบินนิมิคของพระเจ้าวิเทหราชแต่เพียงเท่านี้
ราช อิมํ สุปินํ ทิสฺวา ครั้นพระเจ้าวิเทหราชทรงพระสุบินนิมิตดังนี้แล้ว ก็ทรงสะดุ้งพระทัยตื่นจากพระบรรทม ทรงดำริว่า จักมีเหตุผลดีร้ายประการใดหนอ ครั้นทรงพระดำริแล้ว ก็ประทับนั่งอยู่จนกระทั่งอรุณขึ้น จตฺตาโร ปณฺฑิตา ปาโตว อาคนฺตวา ครั้นรุ่งเช้านักปราชญ์ทั้ง ๔ ก็เข้าไปทูลถาม สุขไสยาจารวัตรว่า ข้าแต่สมมติเทวราชเจ้า พรองค์ทรงบรรทมเป็นสุขหรือประการใด พระเจ้าข้า ตรัสตอบว่า ดูก่อนท่านอาจารย์ทั้ง ๔ เราจะมีความสุขมาแต่ไหน เพราะเมื่อคืนนี้เราฝันเห็นสิ่งประหลาดนักหนา ลำดับนั้น เสนกะ กราบทูลว่า พระองค์ทรงสุบินเป็นประการใด ท้าวเธอจึงเล่าพระสุบินนิมิตนั้นให้ฟัง เสนกะ จึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ขอพระองค์จงอย่าได้ทรงหวันพระทัยเลย พระพุทธเจ้าข้าเพราะพระสุบินนิมิตนี้ เป็นมหามิ่งมงคลอันใหญ่หลวง จะนำสิริสวัสดิ์พิพัฒมงคลทั้งปวงมาให้แด่พระองค์ คือ พระองค์จะได้นักปราชญ์อีกคนหนึ่งเป็นคำรบ ๕ นักปราชญ์คนนั้นจะครอบงำเสียซึ่งปัญญาแห่งข้าพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ มีอุปมาเหมือนกับกองเพลิงอันน้อย ซึ่งมีรัศมีอันรุ่งโรจน์ยิ่งกว่ากองเพลิงทั้ง ๔ นั้น ข้าพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ ซึ่งเป็นนักปราชญ์อยู่เวลานี้เปรียบเหมือนกองเพลิงทั้ง ๔ ที่เกิดขึ้นอยูในมุมกำแพงวังทั้ง ๔ ส่วนนักปราชญ์คนที่ ๕ ซึ่งจักเกิดมีขึ้นใหม่นั้น เปรียบเหมือนกองเพลิงอันน้อยซึ่งเกิดขึ้นมาใหม่ในท่ามกลางกองเพลิงทั้ง ๔ นั้น นักปราชญ์คนใหม่นั้นจะหาผู้ใดเสมอมิได้ ทั้งในมนุษยโลกและเทวโลก ขอพระองค์จงทรงทราบผลแห่งพระสุบินนิมิตไว้ดังนี้เถิด พระพุทธเจ้าข้าฯ
อิทานิ ปเนสํ กุหิสมเด็จพระเจ้าวิเทหราชจึงมีพระราชดำรัสถามว่า ดูก่อนอาจารย์ ก็บัดนี้นักปราชญ์คนใหม่นั้นอยู่ที่ไหน ท่านรู้ได้หรือไม่ หรือรู้แต่เพียงว่า จะได้นักปราชญ์คนใหม่เท่านั้นฯ มหาราช อชฺช ตสฺส ปฏิสนฺธิคหเณน วา /-ข้าแต่มหาราชเจ้า นักปราชญ์คนใหม่นั้น ข้าพระพุทธเจ้าเข้าใจตามตำราทายพระสุบินนิมิตว่า ต้องถือปฏิสนธิในครรภ์มารดาในคืนวันที่พระองค์ทรงพระสุบินนิมิตนี้ หรือไม่อย่างนั้นก็จะประสูติจากครรภ์มารดาพร้อมกับในเวลาที่พระองค์ทรงสุบินนิมิตนั้น อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่แท้ การที่ เสนกะกราบทูลทำนายพระสุบินนิมิตนี้ คล้ายกับเห็นด้วยทิพพจักษุ ฉะนั้น
ราชา ตโต ปฏฺฐาย ตํ วจนํ อนุสฺสริ จำเดิมนั้นมา
โปรดรออ่านตอนต่อไป