'อุ้ม-สิริยากร'อยาก..หลุดพ้น"เวียนว่ายตายเกิด
'อุ้ม-สิริยากร'อยาก..หลุดพ้น"เวียนว่ายตายเกิด"
ทุกวันนี้สังคมไทยมีการตื่นตัวในเรื่องของการปฏิบัติธรรมกันมากขึ้น โดยเฉพาะนักแสดงหลายคนที่ได้ผ่านการอบรมวิปัสสนากรรมฐานมาแล้ว อาทิ "ลูกศร" ธนาภรณ์ รัตนเสน, "แนน" ชลิตา เฟื่องอารมย์, "แอน" สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์, "กิ๊ก" มยุริญ ผ่องผุดพันธ์
อุ้ม-สิริยากร พุกกะเวส นักแสดงและพิธีกรชื่อดัง เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้เข้าปฏิบัติธรรม ที่ศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติ วัดผาณิตาราม จ.ฉะเชิงเทรา มาแล้ว ถึงสองครั้ง ขณะเดียวกันได้ไปวิปัสสนากรรมฐานกับชมรมคนรู้ใจของ ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ณ สำนักสงฆ์เขาดินหนองแสง จ.จันทบุรี
สิริยากร ยอมรับว่า "ก่อนหน้านี้ไม่เคยเข้าใจเรื่องการมีสติว่าเป็นอย่างไร ปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามอารมณ์ที่เกิดขึ้น เราไม่เคยรู้ใจของเราในทุกขณะจิต"
อย่างไรก็ตาม ได้เข้าปฏิบัติธรรมครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม ๗ วัน ๖ คืน และวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๘ อีก ๓ วัน ทำให้มีความรู้สึกว่าชีวิตเปลี่ยนแปลงไป เพราะเป็นหลักสูตรเจริญสติเพื่อพัฒนาปัญญา ทำให้รู้ว่าจริงๆ มนุษย์ควรมีสติกำกับ แล้วต้องระลึกรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงทุกอย่าง ไม่ว่าเราจะทำอะไรอยู่ก็ตาม
อุ้ม บอกว่า การปฏิบัติธรรมที่ผ่านมา ทำให้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว ตัวเราไม่มีอะไรเลย มันเป็นเพียง ทาส ๔ ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่มารวมกันอยู่เท่านั้นเอง สิ่งที่เกิดขึ้นเราปรุงแต่งขึ้นมาเองทั้งหมด จริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรที่เที่ยงเลย แล้วเราจะไปยึดติดกับมันทำไม วันนี้เราพูดได้ การปฏิบัติ ก็ยังทำไม่ได้ทั้งหมด แต่เราก็ปล่อยได้เร็วขึ้น แทนที่มีอะไรมากระทบ จะหวั่นไหวไปกับมัน เราก็จะนิ่งขึ้น
แม้ว่าสิ่งที่ได้เราอาจไม่ได้ทุกขณะจิต เนื่องจากจิตเรายังไม่เข้มแข็ง มากขนาดนั้น แต่มีแนวทางว่าชีวิตเราควรจะดำเนินไปทางไหน ก่อนหน้านี้ จะเป็นคนสงสัยอะไรมากมาย ไม่ว่าจะมีเรื่องกลุ้มใจ ปรึกษาใครดี เราไม่รู้ว่าคำตอบจะอยู่ที่ไหน
ในที่สุดก็เข้าใจด้วยตัวเองว่า ธรรมะตอบเราได้ทุกอย่าง ถึงวันนี้จิตใจก็ยังอ่อนไหว อยู่บ้าง ถ้ามีอะไรมากระทบ แต่จะพยายามปฏิบัติในสิ่งเหล่านี้ให้ได้ เพราะเรารู้ว่าเป้าหมายของหลักธรรมอยู่ตรงไหน
นักแสดงชื่อดังกล่าวต่อว่า ทุกวันนี้พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อเกิดขึ้นก็ต้องดับไป ไม่ว่าเป็นสุขหรือทุกข์ หลายคน ที่เกิดปาฏิหาริย์กับชีวิต ตรงนี้อยากบอกว่า จริงๆ ไม่ได้เป็นปาฏิหาริย์อะไร มองว่าเป็นธรรมะจัดสรรให้มากกว่า เพราะสิ่งต่างๆ จะเกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดี และไม่ดี ตรงนี้เกิดจากผลที่เราได้กระทำกันมาตั้งแต่อดีต หรือการกระทำในปัจจุบัน จึงกลายเป็นผลถึงอนาคต สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เป็นการเกิดขึ้นจากเหตุ
ชีวิตที่ผ่านมาจะอธิษฐานขอพร แล้วก็เชื่อว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น สิ่งเหล่านั้นเป็นเพราะยังไม่รู้ว่าการขอพรนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร มาวันนี้รู้แล้วว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เชื่อในเรื่องกรรมและผลของกรรม
ดังนั้นเราต้องทำปัจจุบันให้ดีที่สุด หลังจากนั้นชีวิตเราจะดีเอง กรรมที่ว่านี้เกิดจาก การกระทำของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นกุศลกรรม หรืออกุศลกรรมที่เราเคยทำไว้ แต่เราไม่เคยรู้ ตรงนี้อยากบอกว่ากรรมทุกอย่างจะมีผลของมัน เมื่อทุกอย่างมาถึง วันหนึ่งก็ต้องจากไป เราจึงไม่ต้องทุกข์ร้อนใดๆ
นอกจากจะสวดมนต์คาถาชินบัญชรทุกคืนแล้ว ทุกวันนี้อุ้มยังเพิ่ม การสวดพุทธบูชา บทสวดอื่นๆ อีกหลายบท รวมทั้งมีการแผ่เมตตาให้กับเจ้ากรรมนายเวร ขณะเดียวกันหากมีเวลามากพอก่อนนอนยังต้องเดินจงกรม นั่งสมาธิเป็นประจำ
และเมื่อวันนี้เรายังต้องรับผิดชอบต่อสังคม มีหน้าที่อยู่ในโลก เราก็ควรให้เจริญทั้งทางโลกและทางธรรม คือโลกไม่ช้ำ ธรรมไม่ขุ่น ไม่เสีย เอาธรรมะมาอยู่กับงาน ทำทุกอย่างก็ต้องทำอย่างมีสติ "การมีสติรู้ในสิ่งที่ทำจึงเป็นเป้าหมายที่จะทำให้ได้ เพราะเป้าหมายสูงสุด วันหนึ่งเราจะได้หลุดจากกิเลสตัณหาลงทั้งหมด ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ คือการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดจากวัฏสงสาร
แต่ถ้าเรายังไม่หลุดพ้นกับมัน มีชาติต่อไป ของชีวิต อุ้มก็ตั้งใจปฏิบัติว่าถ้าเรายังไม่หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เป้าหมายของจิต ขอเพียงให้เราบำเพ็ญเพียรสนใจในธรรมะ จนท้ายที่สุดจะหลุดพ้นได้จริงๆ" สิริยากร กล่าวทิ้งท้าย
เรื่อง สุทธิคุณ กองทอง
http://board.agalico.com/showthread....569#post177569
ก่อนเกิดใครเป็นเรา<br />เมื่อเกิดแล้วเราเป็นใคร<br /><br />สิ่งที่ทำอยู่คือกรรมใหม่<br />ผลที่ได้รับคือกรรมเก่า<br /><br />ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน<br />มองในสิ่งที่ไม่เห็น<br />ทำในสื่งที่ไม่มี