ต่อจาก 8 ธ.ค.52
ตํ ญตฺวา มหาสตฺโต พระมหาสัตว์เจ้ารู้ประจักษ์แจ้งว่า พระเจ้าจุลนีพรหมทัตได้เสด็จออกจากพระนครแล้ว จึงตรัสสั่งพลโยธาของพระองค์ 300 คนว่า พวกเจ้าจงพากันลงอุโมงค์เล็กไปจับเอากษัตริย์ทั้ง 4 คือ พระมารดาพระเจ้าจุลนี และพระอัครมเหสี พระราชโอรส พระราชธิดา ออกมารักษาไว้ในที่ใกล้ประตูอุโมงค์ใหญ่ริมแม่น้ำโดยเร็วไว จวนเวลาที่พระเจ้าวิเทหราชจะเสด็จ จึงให้ออกไปไว้ ณ ท้องพระโรงใหญ่ริมประตูอุโมงค์เดี๋ยวนี้
พวกพลโยธาเหล่านั้น ได้รับคำสั่งของพระบรมโพธิสัตว์เจ้าแล้ว พากันลงอุโมงค์เดินไปจนสิ้นระยะทาง 100 เส้น ก็ถึงซึ่งอัฒจันทร์ที่มหาปราสาทของพระเจ้าจุลนีพรหมทัต รื้อที่ตั้งอัฒจันทร์นั้นขึ้นแล้ว ก็พากันไปจับผู้คนที่มีอยู่ภายในพระราชวังทั้งสิ้น ผูกมัดมือและเท้าปิดหูปิดปากไว้แล้ว จึงพากันเที่ยวค้นหากินเครื่องเสวยต่างๆ ตามชอบ เมื่อกินอิ่มหนำสำราญแล้ว ที่เหลือก็สาดเสียเทเสีย ทุบต่อยภาชนะใช้สอยเสียแหลกราน แล้วจึงพากันขึ้นไปถึงที่ประทับของกษัตริย์ทั้ง 4 กราบทูลพระราชชนนี้ของพระเจ้าจุลนีว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า บัดนี้พระเจ้าอยู่หัวจับพระเจ้าวิเทหราชและมโหสถฆ่าเสียแล้ว จะเสวยเหล้าชัยบานพร้อมด้วยกษัตริย์และราชบริพารทั้งปวง จึงตรัสใช้ให้ข้าพระพุทธเจ้ามาอัญเชิญพระองค์ทั้ง 4 ให้เสด็จไปในเพลาราตรีวันนี้ กษัตริย์ทั้ง 4 ก็ทรงเชื่อว่าเป็นจริง จึงเสด็จลงปราสาทชั้นบน แต่พอถึงอัฒจันทร์ก็ถูกเชิญลงไปในอุโมงค์ กษัตริย์ทั้ง 4 จึงตรัสว่า หนทางนี้เราไม่เคยเดิน พวกนั้นกราบทูลว่า ขอพระราชทาน ทางนี้เป็นมงคลวิถี ต่อเมื่อใดมีการมงคลอันใหญ่หลวง จึงสมควรจะเสด็จตามทางนี้ กษัตริย์ทั้ง4 พระองค์นั้นก็ทรงเข้าพระทัยว่าจริง จึงเสด็จลงสู่อุโมงค์ พวกพลโยธาเหล่านั้นก็แบ่งกันออกเป็น 2 พวก พวกหนึ่งคุมกษัตริย์ทั้ง 4 นั้นไป อีกพวกหนึ่งย้อนกลับไปสู่พระราชวัง ขนเอาแก้วแหวนเงินทองตามที่ต้องการปรารถนาจมหมดสิ้น ส่วนกษัตริย์ทั้ง 4 เมื่อเสด็จไปถึงอุโมงค์ใหญ่ ก็ทรงเข้าพระทัยว่า ที่อันนี้คงเป็นที่ประพาสเล่นแห่งพระมหากษัตริย์ของเรา พอเสด็จไปถึงปากประตูอุโมงค์ริมน้ำ พวกพลโยธาก็ให้กษัตริย์ทั้ง 4 ทรงประทับอยู่ในห้องใหญ่ห้องหนึ่ง แล้วใช้ให้พรรคพวกไปทูลแจ้งแก่พระบรมโพธิสัตว์เจ้า พระบรมพระโพธิสัตว์เจ้าได้เสด็จขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าวิเทหราช ซึ่งกำลังตั้งพระหฤทัยคอยทอดพระเนตรพระนางปัญจาลจันที อยู่ที่ช่องพระแกลว่า บัดนี้แลพระเจ้าจุลนีจะส่งพระราชธิดาออกมาให้แก่เรา แต่พอท้าวเธอได้ทอดพระเนตรเห็นพวกพลโยธามาล้อมพระนครอยู่แน่นหนา สว่างไสวไปด้วยคบเพลิงมากกว่าหมื่นกว่าแสน ก็ทรงประหลาดพระทัย จึงทรงปรึกษากับเหล่านักปราชญ์ทั้งปวงว่า เหตุไรพวกพลโยธาจึงมาล้อมพระนครเราไว้แน่นหนาถึงเพียงนี้
เสนกจึงกราบทูลว่า ขอพระราชทาน ชะรอยพระเจ้าจุลนีพรหมทัตได้อัญเชิญพระราชธิดาออกมาแล้ว ปุกกุสกราบทูลว่า ชะรอยพวกเหล่านี้จะเป็นพวกที่ออกมาพิทักษ์รักษาพระองค์ ผู้เป็นแขกเมืองให้สมกับพระเกียรติยศของพระองค์ แต่ในไม่ช้าพระเจ้าวิเทหราชกับอำมาตย์ราชเสวกทั้งหลายก็รู้แน่ว่า เป็นกองทัพที่จะมาล้อมจับ ต่างก็กลัวตายจนหาที่เปรียบมิได้ ในลำดับนั้น พระเจ้าวิเทหราช จึงตรัสถามพระบรมโพธิสัตว์เจ้าว่า
ดูก่อนมโหสถ พวกเสนาที่มาแวดล้อมนี้จะดีร้ายประการใด
ขอพระราชทาน ขอพระองค์จงทรงทราบเถิดว่า พระเจ้าจุลนีพรหมทัตได้เสด็จยกกองทัพออกมาล้อมไว้ เพื่อจะจับพระองค์ฆ่าเสียในวันพรุ่งนี้เช้า
ในเวลานั้นยิ่งเพิ่มความกลัวตายให้แก่คนทั้งปวง มีพระเจ้าวิเทหราชเป็นประธาน พระเจ้าวิเทหราชทรงกระวนกระวายพระทัยจนแทบไม่ได้สติสมปฤดี ถึงกับทรงพระกันแสง
พระบรมโพธิสัตว์เจ้าจึงกราบทูลว่า ขอพระราชทานความคิดของพระองค์ที่ทรงคิดไว้กับนักปราชญ์ทั้ง 4 นั้น ได้ถูกทำลายเสียแล้วพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นอำมาตย์ผู้ภักดีต่อพระองค์ ได้กราบทูลคัดค้านพระองค์ไว้แล้วมิใช่หรือ ก็บัดนี้พระองค์จงให้นักปราชญ์ทั้ง 4 ซึ่งเป็นผู้มีความคิดรักษาพระองค์เถิด เวลานี้พระองค์ตกอยู่ในเงื้อมมือของพระเจ้าจุลนีพรหมทัตแล้ว เหมือนกับเนื้ออันตกอยู่ในเงื้อมมือของนายพรานแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าได้กราบทูลไว้แล้วว่า ถ้าพระองค์ทรงลุ่มหลงพระราชธิดา ขืนเสด็จมาสู่อุตตรปัญจาละแล้ว ก็จะถึงซึ่งความพินาศ เหมือนกับเนื้ออันเสียชีวิต เพราะความลุ่มหลงนางเนื้อชนวนของนายพราน ไม่อย่างนั้นก็เหมือนกับปลา อันเห็นแก่เหยื่อซึ่งกลืนเบ็ดเข้าไป ไม่อย่างนั้นก็เหมือนกับเนื้ออันหลงเข้าไปในละแวกบ้าน ฉะนั้น แต่พระองค์หาได้ทรงเชื่อฟังคำของข้าพระพุทธเจ้าเลย ขอพระราชทาน ขึ้นชื่อว่า การคบหากับคนพาล ดังเช่นเกวัฏฏพราหมณ์นั้น ย่อมมีแต่จะถึงซึ่งความทุกข์ เหมือนกับบุคคลจับงูเห่าใส่พกไว้ ฉะนั้น การคบหากับบัณฑิตผู้มีความรู้และความประพฤติดี ย่อมมีแต่ความสุขทุกเวลา
เมื่อสมเด็จพระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับดังนี้ ก็ทรงน้อยพระทัยว่า มโหสถนี้ลำเลิกโทษของเราเสียแล้วและทรงพระดำริว่า การที่มโหสถว่ากล่าวข่มขี่เราไว้แต่ก่อนนั้น ก็เพราะมองเห็นภัยในอนาคตเช่นนี้ จึงตรัสว่า ดูก่อนมโหสถ ธรรมดานักปราชญ์ย่อมไม่ยกเอาโทษที่ล่วงแล้วมากล่าวเสียดแทงผู้อื่น เพราะฉะนั้น ขอพ่ออย่ายกเอาโทษในอดีตมาว่ากล่าวเสียดแทงบิดาเลย ถ้าพิจารณาเห็นอุบายที่จะช่วยให้บิดาพ้นทุกข์ได้ในครั้งนี้ ก็จงช่วยเถิด บิดาเห็นว่า นอกจากเจ้าแล้ว ไม่มีผู้ใดจะช่วยได้
ขอพระราชทาน กาลครั้งนี้ สุดความคิดของมนุษย์แล้ว เว้นแต่มีช้างหรือม้าตัวประเสริฐ ครุฑหรือยักษ์ที่จะมารับพาเหาะไปทางอากาศนั้นแหละ จึงจะพ้นจากข้าศึกได้ สำหรับข้าพระพุทธเจ้าเป็นอันหมดความสามารถแล้ว พระพุทธเจ้าข้า
สมเด็จพระเจ้าวิเทหราชก็ทรงอัดอั้นตันพระหฤทัย ไม่สามารถจะตรัสจำนรรจาต่อไปได้ เสนกจึงอ้อนวอนพระบรมโพธิสัตว์เจ้าต่อไปว่า ข้าแต่เจ้าปราชญ์ บุคคลที่สำเภาแตก กำลังว่ายน้ำอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทรซึ่งแลไม่เห็นฝั่ง เมื่อลอยไปตามกระแสน้ำ ถึงที่ตื้นแล้วจึงจะได้ความสุขฉันใด พระมหากษัตริย์กับข้าพเจ้าทั้งปวงนี้ ก็มีอุปไมยฉันนั้น ส่วนตัวท่านซึ่งเป็นผู้เลิศด้วยความคิดจงทำตัวให้เป็นเหมือนที่ตื้น เพื่อให้พระมหากษัตริย์กับข้าพเจ้าทั้งปวงได้หยุดยืนพอได้ความสุขเถิด เมื่อครั้งพระเจ้าจุลนีพรหมทัตกรีฑาทัพไปล้อมพระนครของเราไว้ ท่านก็ได้ปลดเปลื้องให้คนทั้งปวงรอดพ้นความตายไปได้
พระบรมโพธิสัตว์เจ้าจึงตอบว่า ดูก่อนเสนก อันครั้งกระโน้นเราพอช่วยได้ แต่มาบัดนี้ เราหมดความสามารถที่จะช่วยแล้ว เว้นแต่มีผู้วิเศษ มาพาเหาะไปเท่านั้นแหละจึงจะพ้นไปได้
ในลำดับนั้น พระเจ้าวิเทหราชก็ทรงผันพระพักตร์ไปปรับทุกข์กับเสนกด้วยถ้อยคำต่างๆ
เสนกจึงดำริว่าพระมหากษัตริย์ทรงเห็นเป็นประการใด จึงมาปรับทุกข์กับเราผู้เป็นเหมือนกับคนตาบอดเช่นนี้ เราจะต้องกราบทูลไปตามความคิดของเรา ครั้นคิดแล้วจึงกราบทูลว่า ขอพระราชทาน ข้าพระบาทคิดเห็นว่า ควรจะปิดประตูปราสาทเสีย เอาไฟจุดปราสาทขึ้น แล้วพวกเราถือเอามีดคนละเล่มๆ ตลุมฟันกันให้ตายเสีย ดีกว่าจะให้พระเจ้าจุลนีจับเอาไปฆ่า เราเอาปราสาทนี้แหละเป็นเชิงตะกอน
จึงทรงนึกว่า เชิงตะกอนเช่นนี้ให้เสนกเอาไปทำให้แก่บุตรภรรยาของเจ้าเถิด จึงหันไปตรัสถามปุกกุสว่า จะทำประการใดดี ปุกกุสกราบทูลว่า ควรจะกินยาพิษให้ตายเสียดีกว่า แล้วตรัสถามกามินท์และเทวินท์ต่อไป กามินทร์กราบทูลว่าพวกเราควรจะผูกคอตายเสียดีกว่า เทวินทร์กราบทูลว่า ควรจะอ้อนวอนมโหสถให้ช่วย ถ้ามโหสถช่วยไม่ได้แล้ว ก็จงทำตามอุบายของเสนกเถิด เพราะเป็นอุบายดีกว่าอุบายทั้งปวง
พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับถ้อยคำของนักปราชญ์ทั้ง 4 ดังนี้แล้ว ก็ทรงพระกันแสงคร่ำครวญว่า ธรรมดาคนที่หาแก่นต้นไม้จากต้นกล้วย หรือต้นงิ้วไม่ได้ดังประสงค์ฉันใด เราก็หาอุบายให้พ้นจากพวกคนโง่ มีเสนกเป็นต้น ก็ไม่ได้เหมือนกันฉันนั้น เราคบกับพวกเสนก ย่อมเหมือนกับช้างสารอันตกอยู่ในที่ซึ่งหาน้ำไม่ได้ มีแต่จะถึงซึ่งความตายฉะนั้น เออ ตัวเรานี้ได้เลี้ยงนักปราชญ์ไว้ถึง 5 คน แต่จะเอาเป็นที่พึ่งสักคนหนึ่งก็ไม่ได้ เวลานี้เรารู้นึกว่าตัวของเราหวั่นไหวไปหมด เหมือนกบไปในสำเภาอันถูกลมพัดในคอของเราก็รู้สึกแห้งผาก ในท้องของเราก็รู้สึกเหมือนกับเตาอบแห่งช่างทองฉะนั้น ท้าวเธอไม่ทรงทราบว่าจะทำประการใด ได้แต่ทรงพระกันแสงคร่ำครวญด้วยถ้อยคำต่างๆ ดังแสดงมานี้
ตํ สุตฺวา ปณฺฑิโต อยํ ราชา อติวิย กิลมติ สเจ น นํ อสฺสาเสสฺสามิ หทเยน ผลิเตน มริสฺสตีติ จินฺเตตฺวา อสฺสาเลติ ฯ ตมตฺถํ ปกาเสนฺโต สตฺถา อาห
ตโต โส ปณฺฑิโต ธีโร อตฺถทสฺสึ มโหสโถ
เวเทหํ ทุกฺขิตํ ทิสฺวา อิทํ วจนมพฺรวีติ.
ดำเนินความว่า พระบรมโพธิสัตว์เจ้า ได้ทรงสดับถ้อยคำพิไรรำพัน แห่งสมเด็จพระเจ้าวิเทหราชดังนั้น จึงทรงพระดำริว่า พระมหากษัตริย์นี้ทรงลำบากพระหฤทัยยิ่งนัก ถ้าแม้ว่าเราจะนิ่งเสียมิได้โลมเล้าเอาพระทัยของท้าวเธอในบัดนี้ ท้าวเธอก็จักมีพระหฤทัยแตกทำลาย
ครั้นทรงดำริอย่างนี้แล้วจึงกราบทูลว่า ขอพระราชทาน พระองค์อย่าได้ทรงครั่นคร้ามสิ่งใดเลย ข้าพระบาทจะปลดเปลื้องพระองค์ให้พ้นภัยในครั้งนี้ให้จงได้ ให้มีอุปไมยดังเทพยดาผู้มีฤทธิ์ปลดเปลื้องเสียซึ่งพระจันทร์พระอาทิตย์ ให้พ้นจากปากอสุรินทราหู หรือเหมือนดังเทพยดาอันมีกำลังมากยกช้างสารอันจมอยู่ในเมือกตม หรือเหมือนดังบุคคคลอันปล่อยงูเสียจากกระโปรง ปล่อยนกเสียจากกรง ปล่อยปลาเสียจากแหฉะนั้น ข้าพระบาทนี้แหละจะเปลื้องพระองค์ด้วยอำมาตย์ราชเสนาพลโยธาทั้งปวง ให้พ้นจากอันตรายในครั้งนี้ ขอพระองค์อย่าทรงตกพระทัยเลย พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระบาทจะกำจัดเสียซึ่งพลโยธาของพระเจ้าจุลนีพรหมทัต เหมือนกับบุคคลอันไล่กาหนีด้วยไม้ค้อนก้อนดินฉะนั้น อำมาตย์ผู้มีปัญญาดังข้าพระบาทนี้ เมื่อเปลื้องเจ้านายผู้ตกทุกข์ไม่ได้แล้วจะนับว่ามีปัญญาอย่างไรได้ ข้าพระบาทได้ล่วงหน้ามาก่อนพระองค์ ก็เพื่อประสงค์จะมาจัดการป้องกันอันตรายทั้งสิ้น จะมาโลเลเหลาะแหละลุ่มหลงด้วยมาตุคามนั้นหามิได้ ขอพระองค์อย่าได้ทรงสะดุ้งตกพระทัยเลย พระพุทธเจ้าข้า
ครั้นพระบรมโพธิสัตว์เจ้า กราบทูลอย่างนี้แล้ว สมเด็จพระเจ้าวิเทหราชพร้อมด้วยราชบริพารทั้งปวงก็แสนที่จะชื่นชมโสมนัสปรีดา
โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป 22 ธ.ค.52