ภูมิของสัตว์ทั้ง ๓๑ ภูมิ

กระทู้: ภูมิของสัตว์ทั้ง ๓๑ ภูมิ

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. ปีศาจ said:

    Re: ภูมิของสัตว์ทั้ง ๓๑ ภูมิ

    เวตรณีนรก ๔
    นรกขุมนี้ดู ๆ แล้วก็ไม่เหมือนนรกเท่าไร เพราะว่ามีน้ำใสสะอาด มองแล้วเห็นลึกลงไปจนกระทั้งเกือบถึงพื้นดินข้างล้าง บรรดาสัตว์ทั้งหลายโดนทรมานจากนรกขุมต่าง ๆ มาแล้ว ต่างก็คิดว่าเวลานี้เราพ้นทุกข์แล้ว ต่างก็ยิ้มแย้มแจ่มใสอิสรภาพมีสำหรับเรา บรรดาสัตว์ทั้งหลายอาศัยที่มีความร้อนเผาผลาญมานาน แล้วก็มีความกระหายน้ำมีความร้อนกลุ้มใจอยากจะอาบน้ำมานาน พอเห็นแม่น้ำใสมีอยู่ข้างหน้าต่างก็พากันดีใจ เราจะกินน้ำให้สบายจะว่ายน้ำดำหัวเล่นให้สบาย สมกับที่เราลงโทษมาจากกองไฟสิ้นเวลากาลนาน
    เมื่อสัตว์ทั้งหลายดำริดังนี้แล้ว มันใกล้แม่น้ำเข้าไปก็วิ่ง ดีใจ มีความรื่นเริงบันเทิงใจวิ่งลงไปปรารถนาจะกระโดดลงไปในน้ำ เมื่อไปถึงแม่น้ำ ก็มีต้นหวายใหญ่มีหนามยาวแหลมคมมาก ไม่รู้ว่ามันปรากฏขึ้นมาตอนไหน มันโผล่ขึ้นมาขวางไว้ สัตว์ทั้งที่โดดลงไปก็ค้างอยู่บนหวาย หวายหนามนั้นกลายเป็นหวายเหล็กที่ถูกไฟเผาจนแดงโชน คมของหนามหวายมันก็ทิ้มมันก็แทง ความร้อนและความเจ็บปวดทำให้สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นดิ้นรน ดิ้นไปดิ้นมา
    ในที่สุดก็หล่นลงไปในน้ำ น้ำที่ใสสะอาด แต่กับกลายเป็นน้ำกรด เมื่อสัตว์เหล่านั้นหล่นลงไป น้ำกรดกัดแสบเป็นแผลไปหมดทั้งตัว ต่างก็พากันว่ายหนีน้ำกรด ว่ายไปว่ายมาไม่รู้จะขึ้นที่ไหน หวายมันก็กั้นเข้าไว้ และก็มีดอกบัวโผล่ขึ้นมาในระหว่างกลางแม่น้ำดอกใหญ่ ๆ บรรดาสัตว์เหล่านั้นก็ดีใจ ได้พากันปีป่ายขึ้นไปบนดอกบัว พอขึ้นไปด้แล้วดอกบัวที่เห็นว่าเป็นดอกบัวธรรมดานั้นได้กลายเป็นดอกบัวเหล็กกลีบก้เป็นเหล็ก มีความคมมาก มันก็เลยบาดเอาเนื้อบาดตัวเอา
    ขยับเขยื่อนไม่ได้ มันมีความคมเป็นกรดบาดเสียเนื้อหนังหลุด เหวอะหวะไปหมดทั้งตัว บรรดาสัตว์ทั้งหลายทนเจ็บต่อความเจ็บปวดทุกขทรมานไม่ไหว ก็พากันกระโดดจากดอกบัวหนีลงไปในน้ำ ก็ต้องเจอกับความแสบของน้ำกรดเข้าอีก คราวนี้สัตว์ทั้งหมดก็คิดว่าจะดำน้ำหนีลงไปข้างล่าง ดำลงไปถึงพื้นข้างล่างก็ไปพบหอกดาบทิ่มแทงเข้าให้อีก เป็นอันว่าสัตว์นรกทั้งหมด ไม่พ้นจากความทุกข์ทรมานจากนรกขุมนี้ ไม่ทราบว่านานเท่าไร มาถึงนี่แล้ว ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายได้รับทราบไว้ว่า อุสสุทนรกซึ่งล้อมรอบเป็นบริวารชั้นในแห่งมหานรกมีอยู่ทั้งหมด ๑๒๘ ขุม และมีชื่ออยู่ ๔ ชื่อนี้เท่านั้น
    มหานรกแต่ละขุม นอกจากจะมีอุสสุทนรกซึ่งล้อมรอบเป็นบริวารชั้นใน ๑๒๘ ขุม ปรากฏอยู่ในทิศทั้ง ๔ อีกทิศละ ๑๐ ขุม ก็นรกขุมเล็กซึ่งล้อมรอบเป็นบริวารชั้นนอกของมหานรกทั้งหลายนี้ มีชื่อเรียกว่า ยมโลกนรก
    เพราะเจ้ามาจากดิน
    แม้ว่าเจ้าจะโบยบินไปไกลแสนไกล
    แต่สุดท้าย...เจ้าก็ต้องกลับคืนสู่ดิน...
    ...ดิน...ที่เจ้าจากมา...
    http://learnkaweethai.blogspot.com
     
  2. ปีศาจ said:

    Re: ภูมิของสัตว์ทั้ง ๓๑ ภูมิ

    ยมโลกนรก
    ยมโลกนรก นี้ ตั้งอยู่ในสถานที่ซึ่งต่อจากอุสสุทนรกออกไป เป็นนรกแต่ละขุม มียมโลกนรกล้อมรอบเป็นบริวารชั้นนอกอยู่ในทิศทั้ง ๔ คือ ทิศบูรพา ๑๐ ทิศ ก็เป็น ๔๐ ขุม มหานรกมีอยู่ ๘ ขุม มหานรกขุมหนึ่ง ๆ มียมโลกนรกทั้งหมด ๓๒๐ ขุมพอดี อธิบายอย่างนี้รู้สึกจะเป็นความลำบากทั้งผู้ศึกษาและผู้อธิบายอยู่บ้าง ดังนั้น จึงจะขอแยกจำนวนยมโลกนรกให้ดู เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ดังต่อไปนี้
    ๑. ล้อมรอบสัญชีวมหานรก ๔๐ ขุม
    ๒. ล้อมรอบกาฬสุตตมหานรก ๔๐ ขุม
    ๓. ล้อมรอบสังฆฏมหานรก ๔๐ ขุม
    ๔. ล้อมรอบโรรุวมหานรก ๔๐ ขุม
    ๕. ล้อมรอบมหาโรรุวมหานรก ๔๐ ขุม
    ๖. ล้อมรอบตาปนมหานรก ๔๐ ขุม
    ๗. ล้อมรอบมหาตาปนมหานรก ๔๐ ขุม
    ๘ . ล้อมรอบอเวจีมหานรก ๔๐ ขุม
    รวมเป็น ยมโลกนรก ๓๒๐ ขุม

    โลหะกุมภี ๑.
    กุมภีแปลว่าหม้อ หรือแปลมีหม้อโลหะใหญ่ ตามศัพท์หนังสือท่านเขียนว่าหม้อทองแดง หรือมีหม้อทองแดงใหญ่โตมหึมา ใหญ่เท่า ๆ กับสัตว์ที่จะลงนรกขุมนี้ ถ้ามีสัตว์ที่จะลงนรกมาก หม้อก็ใหญ่มาก มีสัตว์ลงนรกน้อย หม้อใหญ่ก็น้อยหดลง ดีเหมือนกัน นรกตามใจคน นรกไม่ขัดใจนคน พอมีคนมากก็ขยายออกไปให้ใหญ่มีคนน้อยก็ขยายให้น้อยได้ ในหม้อทองแดงนี้มีน้ำทองแดง น้ำเป็นน้ำโลหะที่ถูกเคี่ยวจนเดือดพล่าน
    ท่านเคยเห็นคนที่เขาหล่อพระพุทธรูปหรือหล่อหล่อมโลหะไหม? เขาจะเคี่ยวทองเหลือหรือทองแดงหรือว่าโลหะ เคี่ยวไปจนเป็นน้ำ แล้วก็เทลงไปในเบ้าหลอม สภาพของน้ำทองแดงก็เป็นอย่างนั้น แต่ว่ามีความร้อนแรงยิ่งกว่าน้ำทองแดงหรือทองเหลืองที่เราเห็นกัน มันแรงมากกว่าเรียกว่ามีความร้อนจัด และมีความรัดตัวมากกว่า เพราะเป็นน้ำทองแดงของนรก บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายที่มีโทษปาณาติบาตเหลือเป็นเศษของกรรม เศษนะ นายนิริยบาลก็เอาหอกมาเสียบแล้วก็โยนลงเทลงหม้อทองแดง
    หม้อทองแดงเป็นน้ำเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลา ถูกความร้อนจากเหล็ก ถูกความร้อนจากไฟ เผาผลาญอยู่อย่างนั้น ขึ้นปากหม้อแล้วก็จมลงไปก้นหม้อ จมลงไปก้นหม้อแล้วก็ไหลขึ้นมาปากหม้อ วนเวียนกันอยู่แบบนี้ไม่มีเวลาจำกัด จนกว่าจะหมดเศษกรรมเรื่องปาณาติบาต มนุษยเราชอบพูดกันนักว่า สัตว์ทั้งหลายเกิดมาก็เป็นอาหารของคน สัตว์ทุกตนรักชีวิตของตัวเวลาที่เราจะเข้าไปจับ หรือเวลาที่เราจะไปฆ่ามันจะดิ้นรนเพื่อหาอิสรภาพ ไม่ต้องการให้ใครมาฆ่าหรือทำร้ายมัน
    ถ้าบุคคลผู้นั้นไม่ได้เจตนาหรือจงใจ เช่นบังเอิญเราเดินไปเหยีบบ้าง หรือเวลายุงมันมากัดเรา ๆ รำคาญก็เอามือไปลูบไปแตะเพื่อให้ยุงมันหนีไป แต่บังเอิญเจ้ายุงมันตระกระกินมากไปบินไปไม่ไหว ตัวมันอ่อน ไปถูกเข้าตายโดยบังเอิญ เราไม่มีเจตนาฆ่าให้มันตาย อันนี้ไม่มีโทษต้องลงยมโลกยนรก ลงโลกหะกุมภี ทั้งนี้เพราะว่าเราไม่ได้มีเจตนา
    เป็นอันว่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้นจะลงนรกได้ต้องมีเจตนา ถ้าท่านอยากลงนรกขุมนี้ ก็เชิญฆ่าสัตว์ด้วยเจตนา ถ้าไม่อยากจะมาก็ให้มีเมตตาปราณีเข้าไว้ ทรงพรหมวิหาร ๔ มีเมตตาในพรหมวิหาร ๔ หรือทรงวิหาร ๔ ทั้งหมด นรกยมโลกียนรกขุมนี้ ท่านไม่ได้บอกอายุไว้ ไม่บอกว่าตกกี่วันกี่ปีกี่เดือน แต่ว่านานเหลือเกิน อย่าลืมนะ พอลงไป ๑ ขุม อย่างน้อยที่สุดพระพุทธเจ้าตรัสไป ๒ - ๓ องค์ ก็ยังไม่ได้โผล่ขึ้นมาเลย
    เพราะเจ้ามาจากดิน
    แม้ว่าเจ้าจะโบยบินไปไกลแสนไกล
    แต่สุดท้าย...เจ้าก็ต้องกลับคืนสู่ดิน...
    ...ดิน...ที่เจ้าจากมา...
    http://learnkaweethai.blogspot.com
     
  3. ปีศาจ said:

    Re: ภูมิของสัตว์ทั้ง ๓๑ ภูมิ

    สิมพลีนรก ๒.
    สิมปลิวนะนรก นรกป่างิ้ว
    สิมพลีนรก นรกต้นงิ้ว เป็นต้นงิ้วยักษ์มีพิษมาก และเป็นต้นงิ้วที่ไม่มีใบมีแต่กิ่งกับหนาม ปุ่มเล็ก ๆ นิดเดียวอยู่รอบของต้น หนามงิ้วยาว ๑๖ องคุลีนรก ( ไม่ใช่องคุลีมนุษย์เรา) ยาวมาก ใหญ่มาก มีสภาพเป็นสปริงมันเกาะอยู่กับต้นธรรม มีความคมเป็นกรด เวลามีคนมีบาปขึ้นไป มันมีอาการพุ้งตัวแทงให้ทะลุหลังขึ้นไปได้ มันไม่นอนนิ่ง ๆ มันเด้งได้เหมือนสปริงที่เราทำเก้าอี้ พอเวลานั่งก็ยบลงไป เวลาลุกก็ฟูขึ้นมา ดูคล้าย ๆ กับมันมีชีวิต แต่จริงๆ แล้วมันไม่มีชีวิต แต่มันรู้ว่าคนที่มีความชั่วขึ้นไป ไปกระทบตัวมัน ๆ ก็จะพุ่งแทงทันที เลือดของคนมีบาปแดงฉานลงมา นรกขุมนี้เขามีไว้สำหรับลงโทษ พวกคนชั่วใจชั่วเจ้าชู้ไม่เลือก ไม่รู้จักว่าผัว เมียใคร ลูกใคร ข้าทาสหญิงชายของใคร
    เรื่องนี้ไม่ได้บังคับแต่เฉพาะว่า ผัวใครเมียใครหรอก แม้แต่ลูกของเขา ถ้ายังไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปรกครอง คือบิดามารดา แม้ว่าเจ้าตัวเขาจะยินยอมก็ตามที ไม่ได้ต้องลงโทษ ต้องมานรกขุมนี้ ข้าทาสหญิงชายของบุคคลอื่นหรือบุคคลที่อยู่ในปกครอง ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปรกครองแล้วไปร่วมรักกันเข้า ท่านกล่าวว่ามีโทษตกนรกขุมนี้
    เอาละมาดูว่าที่นรกขุมนี้มีอะไรบ้างทำอย่างไรกับสัตว์นรกนี้บ้าง โคนต้นงิ้วจะมีนายนิริยบาลถือหอกใหญ่โตมาก มีความคม แล้วก็มีสุนัขคอยยื้อและกัดสัตว์ใจบาป และบนยอดงิ้วก็มีแร้งมีกาตัวใหญ่ ๆ ปากเป็นเหล็กคอยรออาหารอยู่ ต้นงิ้วในนรกขุมนี้ดูสะพรั่งไปหมด และไม่มีต้นไหนเลยที่จะว่างเว้นจากสัตว์นรกเลย มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย ไต่ไปบนต้นกันยั้วเยี้ยไปหมด คนที่ยังไม่ขึ้น นายนิริยบาลก็เอาหอกเสียบเข้าให้ สัตว์นรกเหล่านั้นต้องตระเกียกกระกายขึ้นไป ถ้าไม่ไต่ที่สูงขึ้นไปก็จะถูกหอกแทงซ้ำดันขึ้นไป หนามก็บาดเลือดก็โทรมบรรดาหนามทั้งหลายก็พุ่งหน้าพุ่งหลังพุ่งข้างตัว ดูเลือดฉานไปหมด ร้องครวญครางกันเป็นตับเสียงระงมไปหมด
    เมื่อสัตว์เหล่านั้นไต่ขึ้นไปจนถึงยอดก็ถูกแร้งกาปากเหล็กจิกกินเนื้อบ้าง ตีด้วยปีกบ้าง ข่วนด้วยเล็บบ้าง อดรนทนไม่ไหวไต่ลงมาข้างล้าง นายนิริยบาลก็เอาหอกยันเข้าไว้ และสุนัขใหญ่ก็กระโจนเข้ากัดอีก กินเนื้อแทะถึงกระดูก เมื่อกระดูกล่อนไม่มีเนื้อแล้วก็มีเนื้อเต็มร่างขึ้นมา นายนิริยบาลก็เอาหอกยันให้ไต่ขึ้นไปใหม่ วนเวียนอยู่อย่างนี้จนกว่าจะสิ้นกรรม
    ท่านทั้งหลายผู้หญิงหรือผู้ชาย อย่าคิดว่าไปยุ่งกับคนอื่นแล้วไม่มีโทษ ถ้าเมียเขาหรือสามีเขาไม่อนุมัติแล้ว อย่าเชียว มาแน่ นรกต้นงิ้วนี่มาแน่ แล้วเวลากลับก็ไม่มีเวลากลับที่แน่นอน...

    อสินขนรก ๓.
    อสินขนรก นรกขุมนี้มีสัตว์คอยกัดกินอยู่ตลอกเวลา ตามบาลีท่านกล่าวว่ามีสุนัขตัวใหญ่คล้าย ๆ ช้างคอยกัดกินสัตว์นรก สำหรับโทษของนรกขุมนี้ท่านกล่าวว่าเป็นโทษอทินนาทาน ความจริงโทษอทินนาทานก็ดี โทษปาณาติบาตก็ดีก่อนที่จะมานรกขุมนี้ ต้องไปเสวยนรกขุมใหญ่เสียก่อนไม่ขุมใดก็ขุมหนึ่ง เพราะเนื่องด้วยกรรมบถ ๑๐ สำหรับกาเมสุเมจฉาจารนี่ ก็คิดว่าเหมือนกันต้องไปลงนรกขุมใหญ่ก่อนแล้วมายุมโลกีนรก มันเนื่องด้วยกรรมบถ ๑๐ เหมือนกัน
    คือ กรรมบถ ๑๐ ก็มี ปาณษ อทินนา กาเม ๓ อย่างนี้มีอยู่ในกายกรรม ฉะนั้นท่านที่ระเมิดกรรมประเภทนี้ต้องไปนรกขุมใหญ่ขุมหนึ่งหรือว่าสองขุมสามขุม แล้วผ่านนรกบริวาร จึงมาไล่เบี้ยเฉพาะในยมโลกีนรกนี่อีกใหม่ นรกขุมนี้ไม่มีอะไรวิจิตรพิสดารอะไร จะมีนายนิริยบาลคอยควบคุมอยู่ และสุนัขตัวใหญ่ คล้าย ๆ ช้าง คอยไล่กัดตลอดเวลา ครั้นสัตว์นรกเหล่านั้นวิ่งหนีสุนัขก็จะไปเจอกับนายนิริยบาลเอาหอกเสียบแทงบ้าง ใช้ค้อนทบบ้าง สุนัขก็กัดกินสัตว์นรก กินจนเหลือแต่กระดูก พอเหลือถึงกระดูกก็เจ็บแสบนัก ขึ้นชื่อว่าความตายไม่มี สัตว์นรกไม่มีการตาย แม้ชั่วครึ่งวินาทีก็ไม่ตาย ความรู้สึกตัวนี่ไม่มีสำหรับสัตว์นรก ถ้ายิ่งถึงกระดูกสัตว์แทะกระดูกก็ยิ่งเจ็บหนัก พอมันของกระดูกหมดแล้วก็ปรากฏว่ามีเนื้อหนังขึ้นมาตามเดิมลุกขึ้นวิ่งหนีสัตว์ นายนิริยบาลก็ไล่ทุบไล่แทงอีก บรรดาสัตว์ทั้งหลายก็ไล่ต้อนกัดกินอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา
    ทั้งนี้ก็เพราะโทษของการชอบขโมยทรัพย์สินของชาวบ้าน คดโกงเขาบ้าง จี้ ปล้น เรียกว่าหาทรัพย์สินมาได้โดยไม่ชอบธรรม ฯลฯ
    เพราะเจ้ามาจากดิน
    แม้ว่าเจ้าจะโบยบินไปไกลแสนไกล
    แต่สุดท้าย...เจ้าก็ต้องกลับคืนสู่ดิน...
    ...ดิน...ที่เจ้าจากมา...
    http://learnkaweethai.blogspot.com
     
  4. ปีศาจ said:

    Re: ภูมิของสัตว์ทั้ง ๓๑ ภูมิ

    ตามโพทนะนรก๔.
    นรกขุมนี้มีหม้อเหล็กแดงแล้วก็เคี่ยวน้ำทองแดงไว้เต็ม คอยรอสัตว์ใจบาปหยาบช้าทั้งหลาย นรกขุมพิเศษขุมนี้สำหรับสัตว์ที่ดื่มสุราและเมรัย เรียกว่าของที่ทำให้ใจของเรานี้ฟั่นเฟือนด้วยอำนาจการเสพติด จะเป็นสุราเมรัยที่เป็นน้ำ หรือเป็น กัญชา เฮโรอิน อะไรก็ตาม ที่ทำให้มีความมึนเมาสติสัมปชัญญะเคลื่อน นี่นายนิริยบาลท่านไม่ถือ ท่านได้ต้อนรับด้วยการเลี้ยงดูปูเสือด้วยน้ำกระทองแดงอยู่แล้ว
    นรกขุมนี้มีไฟแดงฉาน พื้นข้างล้างเป็นพื้นเหล็กเเดง ไฟเผาจนแดงโชน บริเวรนั้นจะมีหม้อทองแดงที่เคี่ยวน้ำทองแดงไว้เกลื่อนกลาดไปหมด พอดีกับปริมาณของคนที่ลงมาในนรกขุมนี้ เรียกว่าจะขาดจะเกินนั้นไม่มี ลงมาเท่าไรหม้อทองแดงเกิดเท่านั้น นายนิริยบาลจะจับสัตว์นรกเหล่านั้นให้นอนนบแผ่นเหล็กที่มีไฟเผ่โชน เห็นพรือยัง บังคับให้นอน ถ้าไม่นอนก็ขวานบ้าง หอกบ้าง ค้อนบ้าง ทุบลงไป แทงลงไป ฟันลงไป ต้องนอน ถ้นดินรนขัดขืนจะมีคนจับหัวจับท้ายจับหัวกดห้ามดิ้น ลองคิดดูว่าไฟก็เผา เหล็กก็แดงโชนเป็นเปลวเพลิงแล้วไหม้ทั้งกายอยู่แล้ว แล้วนี่มานอนลงไปอย่างนั้นมันจะแสบปวดร้อนแค่เพียงใด สัตว์นรกทุกตัวทุกตนดิ้นร้องกระวนกระวาย น่าสงสาร
    เมื่อสัตว์นรกทั้งหลายนอนลงแล้ว เขาก็เอาหม้อที่มีน้ำทองแดงเคี่ยวไว้ดีแล้วมีกระแสเปลวเพลิงขึ้นมาพรึ่บ ๆๆ เต็มหม้อ เอาคีมงัดปากให้สัตว์นรกเหล่านั้นอ้าปาก เมื่ออ้าปากแล้วก็กรอกด้วยน้ำทองแดง น้ำทองแดงเข้าปาก ปากพัง ไหลไปถึงคอ คอพัง ไหลไปถึงอก อกพัง ไหลไปถึงท้อง ท้องพังหมด ร่างกายสลายหมด แต่สัตว์ทั้งหลายไม่ตาย เมื่อร่างกายสลายตัวไปแล้วก็กลับเป็นตัวเป็นตนเหมือนเดิม ปับเดียว เป็นคนบริบูรณ์ไปด้วยอวัยวะต่าง ๆ ตามเดิม แล้วก็ถูกนายนิริยบาลกรอกอยู่อย่างนนั้น จนกว่าจะสิ้นกฏของกรรม ถ้าจะถามว่าเวลากฏของกรรมเป็นกี่วัน กี่เดือน กี่ปีของเมืองนรกก็ตอบไม่ได้เพราะเขาไม่ได้บอกไว้

    อาโยคุฬะนรก ๕.
    นรกขุมนี้มีก้อนเหล็กแดงเกลื่อนกลาด พื้นก็เป็นเหล็กเผาจนแดงเหมือนกัน มีไฟเผ่ตลอดเวลา ในบริเวรของพื้นที่เป็นเหล็กเผาจนแดงโชน ก็มีก้อนเหล็กกลม ๆ คล้าย ๆ ลูกกระสุนปืนใหญ่โบราณ วางแดงอยู่เกลือนไปหมด และก็มีไฟเผาสุกอยู่เหมือนกัน นรกขุมนี้มีไว้เป็นที่ลงโทษสัตว์นรกคือ นักบุญ? คือนักบุญประเภทที่มีการเรี่ยไรบอกบุญ เขามีไว้เฉพาะนะ เมื่อลักขโมยเขาก็มี ว่าไว้เรื่องหนึ่ง ที่นี่มาว่าถึงนักบุญที่มีการเรี่ยไร มีการบอกบุญ จะเป็นพระเป็นเณรเป็นเถรเป็นชีเป็นฆราวาสเป็นทายกทายักอะไรก็ตาม มีการลงโทษเหมือนกัน เวลาบอกบุญเวลาเรี่ยไรเขามาแล้ว
    บอกว่าจะสร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างถนน สร้างส้วม สร้างกุฏิ สร้างหอสวดมนต์ อะไรก็ตาม เป็นเรื่องของบุญก้แล้วกัน เมื่อบอกมาแล้ว เวลาได้มาแล้วไม่ยักเอาไปทำหมด บางทีก็กันเสียหมดเลย หรือไม่ก็ถึงแค่ครึ้ง ตัวเองเสียครึ้งหนึ่งอย่างนี้ หรือว่าบางรายบอกเรี่ยไรเขามาได้แล้ว แต่เอามาแบ่งสรรปันส่วนกันก่อน ว่านี่ค่าจ้างของฉัน นี่ค่าอาหาร นี่เป็นค่าเครื่องดืม นี่เป็นค่าเหล้า เมื่อเราเรี่ยไรให้แก่วัด เราก็ต้องกินของวัด แต่ความจริงจะกินแค่อาหารอีกทั้งบุหรี กาแฟตามความจำเป็น อันนี้ก็เห็นว่าไม่น่าเป็นอะไร แต่ทว่าจะต้องตกลงกันไว้กับเจ้าอาวาสเสียก่อน หรือบรรดาคณะสงฆ์เสียก่อน แต่ว่าถ้าจำเป็นไปถึงสุราเมรัยละก็ อันนี้ไม่เป็นเรื่องแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่จะอภัยกันได้ ระวังกฏของกรรมเขาจะลงโทษเอาเข้าให้นะ
    นรกขุมนี้ปรากฏว่าก้อนทองแดงหรือเหล็กแดงที่เผาโชนมีเปลวไฟไปด้วยกฏของกรรมบังคับอยู่ แทนที่สัตว์นรกเหล่านั้นจะเห็นเป็นก้อนเหล็ก สัตว์เหล่านั้นก็จะเห็นว่าเป็นชิ้นเนื้ออันโอชะ เกิดความหิวความกระหายอย่างหนัก วิ่งเข้าไป แย่งกันกิน เพราะเห็นว่าเป็นก้อนเนื้ออย่างดีมีกลิ่นหอม พอวิ่งเข้าไปถึงก็แย่งกันเอาก้อนเหล็กแดงเข้าใส่ปาก เคี่ยวกินก้อนเหล็กแดงไม่ใช่สีแดง มันแดงเพราะความสุกของไฟ พื้นที่วิ่งลงไปก็มีไฟตลอดเวลา คือบริเวรที่วิ่งลงไปนั้นเดินไปอยู่นั้นนะ มีไฟทั้ง ๔ ทิศตลอดเวลาพุ่งเข้าหากัน พื้นข้างล้างก็เป็นแผ่นเหล็กแดงโชนก้อนเหล็กที่กินเข้าไปก็เป็นก้อนเหล็กที่เผาแดงโชน เมื่อกินก้อนเหล็กแดงเข้าไปพอถึงปาก ปากพัง ถึงคอ คอพัง ถึงอก อกพัง ถึงท้อง ท้องพัง ล้มลงถึงแก่ความตาย แต่ความจริงไม่ตาย มีความรู้สึกแต่กระดิกกระเดี้ยไม่ไหว เมื่อกระดิกกระเดี้ยไม่ไหว ก็ปรากฏว่ามีการทรงกายตามเดิม
    เมื่อมีการทรงกายตามเดิมก็ลุกขึ้นมีความหิวจัด กฏของกรรมมันบังคับให้หิว เรื่องของความจำว่าไอ้อาหารก้อนนี้มันเป็นก้อนเหล็กที่เผาไฟจนแดงนั้น ไม่มีความจำเลย เพราะเป็นกฏของกรรมบังคับ เกิดความหิวขึ้นมาอีก ถูกไฟเผาทั้ง ๔ ทิศ ข้างล้างก็เป็นพื้นเหล็กที่เผาจนแดงโชนร้อน แต่ความหิวบัวคับให้วิ่งเข้าไปหาก้อนเหล็กแดงใหม่ กินเข้าไปแบบนั้น ทำอยู่อย่างนี้อยู่ตลอดเวลา จนกว่าจะสิ้นกฏของกรรม ท่านที่เป็นนักเรี่ยไรจงระวังให้ดีอย่าได้มาที่นี่ก็แล้วกัน
    เพราะเจ้ามาจากดิน
    แม้ว่าเจ้าจะโบยบินไปไกลแสนไกล
    แต่สุดท้าย...เจ้าก็ต้องกลับคืนสู่ดิน...
    ...ดิน...ที่เจ้าจากมา...
    http://learnkaweethai.blogspot.com
     
  5. ปีศาจ said:

    Re: ภูมิของสัตว์ทั้ง ๓๑ ภูมิ

    ปิสสกปัพพตะนรก ๖
    สำหรับนรกขุมที่ ๖ แห่งนมโลกียนรกนี้ มีชื่อว่าปิสสกปัพพตะนรก นรกขุมนี้แปลว่าภูเขา บรเวรของนรกขุมนี้ทั้งหมดมีกำแพง ๔ ด้านกั้น เป็นบริเวรใหญ่มาก แล้วจากกำแพง ๔ ด้านนั้น ก็มีไฟพุ่งเข้ามาส่วนกลาง พุ่งเข้ามาทั้ง ๔ ทิศแล้วในบริเวรกำแพงนั้น มีบรรดาสัตว์นรกกลาดเกลื่อน นรกขุมนี้ดูแล้วมีคนมากจริง ๆ มากไม่น้อยหน้าขุมอื่น ๆเลย กลาดเกลื่อนไปหมด นอกจากมีกำแพงกั้นแล้วก็มีภูเขาเหล็กใหญ่มหึมาไม่ใช่ภูเขาหิน แล้วไม่ขรุขระเหมือนหินธรรมดาบนภูเขา เรียกว่าเหล็กก้อนใหญ่คล้ายภูเขา เท่า ๆ ภูเขาเป็นเหล็กก้อนใหญ่เท่า ๆ ภูเขา แล้วเหล็กนี่ก็ถูกเผาจนแดงโชน มีอยู่ ๔ ทิศด้วยกันประสานกัน กลิ้งเข้ากลิ้งออก กลิ้งออกแล้วกลิ้งเข้าอยู่ตลอดเวลา
    แล้วบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายเหล่านั้นก็พากันถูกบดขยี้ไปด้วยภูเขาเหล็กทั้ง ๔ ทิศ จะวิ่งหนีไปทางไหนนะไม่มีโอกาส แสงไฟที่พวยพุ่งเข้ามาก็มีความแรงมาก ถูกเข้าที่ไหนพังที่นั้น พอพังแล้วเป็นเนื้อเต็มตามเดิม เรียกว่าการหมดไปสูญไปตายไปไม่มีสำหรับสัตว์นรก เป็นแดนทรมาน เรียกว่าจะมีความสุขสักหายใจเข้าครึ้งท้องไม่ เรียกว่าหายใจเข้าไม่ต้องเต็มท้อง ไม่ต้องถึงที่สุดของลมหายใจ ดึงลมหายใจเข้าไปสักนิดหนึ่งจัดว่าเป็นความสุข เวลานั้นไม่มี ถูกไฟเผา ถูกภูเขาบดขยี้ตลอดเวลา กาลเวลาสำหรับในนรกขุมนี้ก็ไม่ทราบชัดเหมือนกันว่าเวลาเท่าไร ท่านบอกว่าจะต้องเสวยผลไปจนกว่าจะหมดกฏของกรรม ระยะของกรรมชั่วนี้เขาให้เวลาเท่าไหร่ไม่ทราบ นรกขุมมีไว้ลงโทษ พวกช้อราชบังหลวง พวกทุจริตหาประโยชน์ให้ตัวเองโดยไม่คำนึงว่าถูกหรือผิด พวกชอบรีด พวกคดโกง สำหรับคนพวกนี้เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ชอบไปรีดเขา เมื่อตายไปแล้วจึงต้องให้นรกรีดให้บ้าง ทับบดขยี้ให้แบนราบแล้วก็ยังมีไฟเผาอยู่อย่างนี้ตลอดเวลาอีกด้วย...ถ้าท่านไม่กลัวก็เชิญนะ.....

    ธุสะนรก ๗
    ธสะนรกขุมนี้ เป็นแม่ใหญ่ น้ำใสแจ๋ว สะอาดสะอ้านดูแล้วรื่นรมย์เหลือเกิน น่าโดดเล่น บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายที่ลงนรกต่าง ๆ มาแล้ว ถูกไฟเผาผลาญมีความร้อน นับเวลาไม่ได้ ก็รู้สึกทุรนทุรายต้องการน้ำ คือความกระหายน้ำ ต้องการจะอาบน้ำให้สบายตัวสบายกาย เมื่อเดินทางมาใกล้ถึงนรกขุมนี้แล้ว มองเห็นน้ำใสสะอาดมีความเย็นสดชื่นตา ต่างก็วิ่งรี่เข้าไปหาแม่น้ำเพราะความหิวน้ำ เพราะความร้อนบังคับ
    เมื่อถึงแม่น้ำแล้วก็วิ่งกรู ต่างก็กระโดดลงไปหวังจะดื่มกินไปพร้อม ๆ กันกับเล่นน้ำให้ชุ่มชื่นใจ แต่ที่ไหนได้ พอโดดลงไปแล้วก็ปรากฏว่าน้ำในนั้นแห้งหมด ไม่เหลือ ไม่ปรากฏมีซากของน้ำแม้สักนิดเดียว กลายเป็นแกลบ น้ำเป็นแกลบหิน แกลบเหล็ก แล้วแกลบนั้นก็กลายเป็นไฟกรดลุกโพลง แกลบแดงโชนเป็นเหล็กแดง ไฟเผาผลาญ เมื่อเป็นเช่นนี้ต่างก็วิ่งกันพลุกพล่าน
    ถ้าวิ่งขึ้นมาบนของแม่น้ำ ก็ถูกนายนิริยบาลยันลงไปด้วยหอกบ้าง ตีลงไปด้วยค้อนบ้าง ให้ลงไปบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายเหล่านั้นก็มีแต่ทุกขเวทนา วิ่งไปวิ่งมา วิ่งมาวิ่งไป แกลบก็เป็นแกลบเหล็กเผาไฟแดงโชนอย่างนี้ได้รับทุกข์ทรมานน่าสลดใจยิ่ง
    นรกขุมนี้เขามีไว้สำหรับคนประเภท ชอบคดโกงหลอกลวงชาวบ้าน จะเป็นกรณีใด ๆ ก็ตาม เมื่อลงไปสู่นรกขุมใหญ่แล้ว ก็มาผ่านนรกขุมนี้อีก ๑ ขุมเป็นอันว่ายมโลกียนรกนี่ เป็นเศษส่วนหรือเป็นนรกบริวารของนรกขุมใหญ่ เป็นเศษส่วนหนึ่งของนรกขุมใหญ่ หมายความว่ามาเก็บกรรมตามกฏของกรรม นรกขุมใหญ่นะ รวมกฏของกรรม ละเมิดกรรมบถ ๑๐ ร้ายแรงน้อยกว่านรกขุมที่ ๑ ร้ายแรงมากอีกนิดก็นรกขุมที่ ๒ แต่ต้องผ่านบริวาร ร้ายแรงมากก็ลงอเวจี แต่ทว่ามายมโลกียนรกนี่ มาไล่เบี้ยกฏของกรรมเป็นอย่าง ๆ
    ใครทำแบบไหนก็ต้องลงนรกขุมนั้น ๆ โดยเฉพาะ ไม่ใช่ลงโทษรวม เป็นอันว่านรกขุมใหญ่เป็นนรกเป๊ะเจี๊ยะเฉย ๆ เผาผลาญเฉย ๆ ลงโทษเฉย ๆ ไม่ได้ให้สิทธิออกมาเลย ออกมาแล้วก็มาถูกเก็บขุมนี้อีก บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายที่มาอยู่นรกขุมนี้ทุกคนเป็นคนไม่ซื่อ ความไม่ซื่อตรงด้วยกรณีใด ๆ ก็ตาม ผ่านนรกขุมใหญ่แล้วก็มาขุมนี้...
    เพราะเจ้ามาจากดิน
    แม้ว่าเจ้าจะโบยบินไปไกลแสนไกล
    แต่สุดท้าย...เจ้าก็ต้องกลับคืนสู่ดิน...
    ...ดิน...ที่เจ้าจากมา...
    http://learnkaweethai.blogspot.com
     
  6. ปีศาจ said:

    Re: ภูมิของสัตว์ทั้ง ๓๑ ภูมิ

    สีตโลสิตะนรก ๘
    สีตโลสิตะนรก ชื่อแปลก ในนี้เขาบอกว่ามีน้ำเย็นเฉียบ มาพบนรกน้ำอีกแล้ว นี่ก็แปลกเหมือนกัน นรกน้ำติด ๆ กัน ๒ ขุมน้ำเย็นเฉียบ ที่นี่สัตว์นรกทั้งหลายต่างก็ได้รับความทุกข์ทรมานเพราะความเย็นของน้ำเป็นสำคัญ นรกขุมนี้เขามีไว้สำหรับคนที่ขาดเมตตา เมื่อตอนที่เขาเหล่านั้นสมัยเมื่อเป็นมนุษย์นั้น เป็นคนที่ไม่มีเมตตาปรานีใคร เจอะเป็ดเจอะไก่ เจอะหมู เจอะหมาก็เหวี่ยงลงไปใต้ถุนบ้านบ้าง เหวี่ยงจากที่สูงไปที่ต่ำบ้าง เหวี่ยงลงน้ำบ้าง เหวี่ยงลงเหวบ้าง หาความเมตตาปรานีไม่ได้
    พบสัตว์ที่กินได้หรือไม่ได้ก็ทุบก็ตีเข่นก็ฆ่า เพื่อความสนุกบรรเทิงใจบ้าง ฯลฯ แต่ว่านรกขุมนี้ไม่ใช่ถึงขั้นฆ่า โยน ไร้ความเมตตา หรือว่าทรมานสัตว์เล่น ไม่ถึงกับฆ่าให้ตาย นี่ความจริงเขาควรจะไปรวมไว้ในโลหะกุมภี โลหะกุมภีนี่เขาฆ่าสัตว์ให้ตาย แต่ว่านรกขุมนี้ ไม่ได้ทำให้สัตว์ให้ถึงตาย เพียงแต่ไร้ความปรานี ลงโทษสัตว์เล่น เช่นทุบตีบ้าง คือขาดเหตุผล อย่างคนเราเลี้ยงสุนัขเลี้ยงแมวถ้าปฏิบัติตนไม่ดี ข่มแหงตะกละตะกราม เราตีเพื่อความหวังดี นี่ท่านไม่ว่าไม่นำมานรกขุมนี้เพราะทำด้วยความอำนาจของเมตตา หากว่าทำไปด้วยอำนาจการขาดเมตตาละก็เอาแน่ นรกขุมนี้ท่านไม่ปล่อย ให้ลอยนวน
    วิธีลงโทษของนรกขุมนี้ เมื่อสัตว์นรกทั้งหลายเห็นน้ำเย็นต่างก็โดดลงไป น้ำเย็นนี่เย็นจริง ๆ มันเย็นยะเยือก เย็นจับจิตจับใจแล้วกลายเป็นน้ำกรด กัดบาดตัวสัตว์นรกทั้งหลายเหล่านั้น นรกขุมนี้ไม่มีความร้อนมีแต่ความหนาว เมื่อถูกความแสบของน้ำกรดแล้วก็มีความหนาวเยือกเย็นเข้ามาทับท้วมหัวใจ ทนไม่ไหวต่างก็ตะเกียกตะกายขึ้นมาบนฝั่ง นายนิริยบาลก็ใช้หอกแทงสวนไปบ้าง ใช้ค้อนทุบให้ลงไป ห้ามขึ้นเอาค้อนตีให้หล่นลงไป ห้ามขึ้น แม่น้ำนี้ไม่ยักเป็นแกลบไม่แห่ง มีน้ำ แต่ว่าเป็นน้ำกรดเย็นยะเยือก..

    สุนขะนรก ๙.
    สุนขะนรก นรกขุมนี้ไม่ใช่นรกลงโทษหมา แต่หมาลงโทษสัตว์นรกที่นี่ เป็นนรกหมาที่หมาทีอำนาจมาก มีหมาแยะ หมาที่นี่ตัวใหญ่มาก มีหน้าที่คอยกัดกินสัตว์นรกที่ลงมาในนรกขุมนี้ พื้นก็เป็นเหล็กเผาแดง มีกำแพงทั้ง ๔ ก็มีไฟพวยพุ่ง จะมีสัตว์นรกเหล่านั้นวิ่งอยู่ในบิเวรของไฟ แล้วก็มีสัตว์ใหญ่ ๆ คือสุนัขอยู่เยอะแยะ ไล่กัดกินสัตว์นรกเหล่านั้นอย่างไม่มีความปรานี กินเนื้อหมดก็แทะกระดูกเหมือนนรกทุกขุม เมื่อเนื้อหมดเหลือแต่กระดูกแทะจนหมดมันก็ไม่ตายเนื้อก็เกิดขึ้นมาใหม่อีก แล้วก็วิ่งหนีหมา ไฟหรือก็เผา วนเวียนอยู่อย่างนี้จนกว่าสิ้นกฏของกรรม
    นรกขุมนี้เขามีไว้เพื่อลงโทษ พวกคนที่ปากคอเลอะร้าย ด่าไม่เลือก พ่อแม่ก็ด่า ชาวบ้านและพระเณรเถรชีด่าไม่เลือก นินทราว่าร้ายกล่าวโทษโจษความไม่ดีของบุคคลผู้ทำความดี ใครเขาไม่ได้เลวตามที่ตนว่า ไอ้ตนเองก็นึกว่าเขาเลวตามตน คนที่จะเห็นว่าบุคคลอื่นเลว ตนต้องเลวตามนั้น เพราะตามธรรมดาคนเรากินอาหาร ถ้าเราชอบเปรี้ยว ก็นึกว่าชาวบ้านเขาชอบเปรี้ยว ถ้าเราชอบเค็มก็นึกว่าชาวบ้านชอบเค็ม มักจะปรุงอาหารตามอัธยาศัยของตัว นี่ฉันใด คนประเภทนี้จึงได้มาลงในนรกขุมนี้ไงละ...

    ยันตปาสาณนรก ๑๐
    ยันตปาสาณนรก นรกขุมนี้มีภูเขา ๒ ลูก แน่ะมาเจอภูเขาเข้าอีก ๒ ลูกกระทบกัน พอกระทบกันมันหมุนคล้าย ๆ กับที่หีบอ้อย เครื่องหีบอ้อยที่เขาบีบน้ำนะ มีสะภาพคล้ายกัน หรือที่รีดปลาหมึก ใครเคยเห็นไหม? ไปดูตามซอกซอยจะเห็นบรรดารถเข็นที่เขามาขายปลาหมึกปิ้งแขวนปลาหมึกเป็นราวหลายชั้นนั้นแหละไปขอเขาดู แต่ว่าอย่าไปเทียบว่าคงเท่ากับภูเขานี้ มันเทียบกันไม่ได้ ภูเขาในนรกนี้ใหญ่โตมโหราญเขามีไว้สำหรับลงโทษสัตว์นรก นรกขุมนี้มีไฟเหมือนกัน แหละก็เป็นเหล็กด้วย ไม่ใช่ภูเขาหิน ไม่ค่อยมีแง่มีช่องหรอก มันเรียบ ๆ บดเสียติดกัน
    นายนิริยบาลก็ไล่ให้บรรดาสัตว์นรกเหล่านั้นให้เข้าไประหว่างภูเขาที่บีบเบียดกันหมุนกระทบกันอยู่ตลอดเวลา บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายฝืนใจเขาไม่ได้นะ จะไปดื้อไปด้านน่ะไม่ได้หรอก หอกที่มือค้อนใหญ่ที่มือ ทั้งแทงทั้งทุบ มีความเจ็บปวดมากก็เลยต้องวิ่งหนีเข้าไปในซอกภูเขา ภูเขาก็หมุนกระทบกันบีบเหมือนกับบีบน้ำอ้อยหรือรีดปลาหมึกย่าง ให้แบนแต๊ดแต๋ ทำอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา แล้วแทนที่จะตายร่างกายก็คงเดิม แล้วก็ถูกไฟเผาอีก ก็ต้องวิ่งเข้ามาทางนี้ให้ภูเขามันบี้มันบดให้อีก จนกว่าจะสิ้นกฏของกรรม
    นรกขุมนี้เขามีไว้เพื่อลงโทษคนใจร้าย ขาดความเมตตาปรานีต่อคู่ครอง เห็นไหมละ ใครล่ะที่ว่า ผัวฉันเมียฉันมันเป็นสิทธิ์ของฉันจะทำอะไรก็ได้ จะทุบจะตีจะด่าว่าก็ได้ เห็นไหมล่ะ เลยต้องมาลงนรกในขุมนี้ พวกที่ชอบด่าผัว ตีเมียชอบสาปแช่งชักหักกระดูก ด่าด้วยอำนาจความโกรธไร้เหตุผล ไม่ใช่ด่าด้วยความปรานี การด่าการว่าน่ะมี ๒ อย่าง ด่าด้วยเจตนาดี กับด่าด้วยเจตนาร้าย ว่าด้วยเจตนาร้ายก็ดี หรือเขาเรียกว่าติเพื่อก่อ ด่าด้วยความหวังดี ตักเตือนด้วยดีแล้วไม่ฟังก็ต้องด่าต้องว่า เพื่อให้กระทบใจแรง เพราะมีนิสัยหยาบ
    คนเราเกิดมาในโลกนี้มีนิสัย ๒ อย่าง ถ้าคนมีนิสัยละก็ให้เหตุผล เขาชอบรับฟัง เมื่อเข้าใจในเหตุผลก็ปฏิบัติตามโดยง่าย แต่ว่าคนที่มีนิสัยหยาบไม่ยังงั้น ไปพูดดี ๆ พูดเพราะ ๆ ให้เหตุผลแก แกไม่ฟัง ดันเข้าใจว่าเขาเกรงกลัวอำนาจแก ในที่สุดก็ต้องด่า ต้องตีกันแกจึงจะทำ มันเป็นอย่างนี้ แต่ว่าที่เขาพูดไว้ในที่นี้ก็หมายความว่าไม่ได้ด่าได้ตีด้วยความหวังร้าย ขาดเหตุผล แต่เขาพูดสำหรับคนที่ถือว่าตนมีอำนาจบาทใหญ่ยิ่งกว่าผัวหรือเมีย อันนี้แหละนรกนี้เขาต้องการบุคคลอย่างนี้ท่านละอยู่ในบุคลลประเภทไหน..
    เพราะเจ้ามาจากดิน
    แม้ว่าเจ้าจะโบยบินไปไกลแสนไกล
    แต่สุดท้าย...เจ้าก็ต้องกลับคืนสู่ดิน...
    ...ดิน...ที่เจ้าจากมา...
    http://learnkaweethai.blogspot.com
     
  7. ปีศาจ said:

    Re: ภูมิของสัตว์ทั้ง ๓๑ ภูมิ

    โลกันตนรก
    นิรยภูมิ หรือโลกนรกนี้ นอกจากจะมีมหานรก อุสสุทนรก และยมโลกนรกดังกล่าวมาแล้ว ยังมีนรกขุมพิเศษอีกขุมหนึ่งซึ่งมีนามว่า โลกันตนรก อันว่าโลกันตนรกนี้เป็นขุมยิ่งใหญ่ แปละประหลาดกว่าบรรดาขุมนรกทั้งหลายเพราะอยู่ภายนอกจักรวาล สถานที่ตั้งของโลกันตนรกนี้อยู่ในจักรวาล ๓ โลก ถ้าจะเปรียบให้เห็นเป็นมโนภาพก็เหมือนกับเอาดอกปทุมชาติ ๓ ดอกมาตั้งชิดติดกัน ก็จะเกิดมีช่องว่างขึ้นในตอนกลางจักรวาล ต่าง ๆ ก็ตั้งชิดติดกันเช่นกับดอกปทุมชาติ ๓ ดอกนั้น
    ตรงช่องว่างเว้นอยู่ในระหว่าง ๓ โลกจักรวาลนั้นเอง เป็นสถานที่ตั้งแห่งนรกขุมพิเศษนี้ เพราะฉะนั้น นรกขุมพิเศษนี้จึงมีชื่อว่า โลกันตนรก = นรกขุมนี้พิเศษอันอยู่สุดโลกจักรวาล

    ก็ในโลกันตนรกนี้ มีสถาพมืดมนเป็นยิ่งนัก แสงดาวแสงเดือนและแสงตะวันส่องไปไม่ถึง เป็นสถานที่อันมืดมนนอนธการ สามารถที่จักห้ามเสียซึ่งความบังเกิดขึ้นแห่งจักษุวิญญาณ เปรียบปานเช่นกับคนหลับตาในคราวเดือนดับข้างแรมฉะนั้น
    สัตว์ที่ไปอุบัติเกิดในโลกันนรกนี้ ย่อมมีสภาพแปลกประหลาดพิลึก คือ มีสรีระร่างกายโตใหญ่เป็นยิ่งนัก ประกอบไปด้วยเล็บมือและเล็บเท้ายาวเหลือประมาณ ต้องใช้เล็บมือและเท้าเกาะอยู่ตามเชิงเขาจักรวาลห้อยโหนโยนตัว โดยเอาหัวปักลงมาข้างล้างชั่วนิรันดร์ เปรียบปานดังค้างคาวห้อยหัวอยู่บนกิ่งไม้ในมนุษย์โลกที่เราเห็นนี้ฉะนั้น ครั้นเขาได้ประสบการณ์อันแสนจะทรมานด้วยความมืดมากเช่นนี้ เขาก็ได้เแต่รำพึงรำพันอยู่ในใจว่า
    “ อโห ! กรรม ...อโห กรรม....ทำไมตูจึงเป็นอย่างนี้ และ ทำไมตูจึงมาอยู่ที่นี่ ชะรอยที่นี่จักมีแต่เพียงตูเพียงผู้เดียวกระมังหนา”
    เขาไม่ได้อยู่แต่เพียงผู้เดียวดอก มีอยู่มากมายที่สัตว์บุคคลทั้งหลายตายแล้วไปเกิดที่มันมืดแสนมืด มองไม่เห็นเพื่อนสัตว์นรกโลกันตนรกด้วยกัน และมองไม่เห็นอะไรเลยนั้นเอง
    ตลอดเวลาเหล่าสัตว์นรกโลกันตนรกไม่ต้องทำอะไร มีแต่จะห้อยโหนโยนตัวเปะปะด้วยความหิวโหยอย่างเหลือประมาณ ครั้นปีนป่ายตะกายไปถูกต้องตีนมือแห่งกันและกันเข้าแล้ว ก็สำคัญว่าตนมีชะตาผ่องแผ่วโชคดีเจออาหารซึ่งปรารถนาอยากจะกินมานาน จึงต่างก็ดีเนื้อดีใจ มิกิริยาขวนขวายไขว่คว้าฉวยจับกันและกัน โดยต่างตนต่างก็จะตะครุบกันกินเป็นอาหาร

    ต่างก็ปล้ำฟัดกันเพื่อจะจับกินเป็นภักษาหารอยู่อย่างนี้ ในไม่ช้าก็เผลอปล่อยมือและเท้าที่ใช้เกาะเชิงชายภูเขาจักรวาลนั้นเลยกันดำดิ่งนรกพลัดตกลงไปเบื้องล้าง โดยลักษณะการมีหัวปักดินลงมาและมีตีนชีฟ้า ลอยละลิ้วลงมาอย่างน่าหวาดเสียว
    สถานที่เบื้องล่างที่เขาพากันพลัดตกลงมานั้นมันไม่ใช่เป็นพื้นที่ธรรมดาโดยที่แท้เป็นทะเลนำกรดอันเย็นยะเยือก ซึ่งมีความเย็นอย่างร้ายกาจยิ่งนักครั้นเขากอดคอกันพลัดตกลมา พอถึงพื้นน้ำกรดนั้นแล้ว บัดเดี๋ยวใจตัวตนร่างกายของเขาก็เปื่อยพังแหลกลาญลงอย่างไม่มีชิ้นดี ทั้งนี้ก็เพราะว่าถูกน้ำกรดนรกอันมีความเย็นอย่างร้ายกาจนั้นกัดเอาร่างกายอันใหญ่โตและเหม็นสาบเหม็นสางน่าเกลียดน่าชังของเขา ถึงความเหลวแหลกละลายเพราะฤทธิ์น้ำกรดไปอย่างรวดเร็วประดุจดังก้อนอุจจาระที่ตกไปในน้ำ
    ครั้นแล้วด้วยอำนาจกรรมบันดาล เขาก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดมหัศจรรย์กลับเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาอย่างเก่า ให้รู้สึกหนาวเย็นและเจ็บปวดอย่างลึกเป็นกำลัง จึงรีบตะเกียกตะกายปีนป่ายขึ้นมาเกาะเชิงเขาจักรวาลด้วยความลำบากยากเย็น แล้วก็ห้อยโหนโยนตัวแสวงหาอาหารด้วยความหิวโหยต่อไปอีกตามเดิม

    ครั้นตะกายไปพบปะกันเข้า ก็ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะตะครุบกันกินด้วยความสำคัญผิดคิดว่าเป็นภักษาหาร แล้วก็กอดคอพากันพลัดตกลงไปในทะเลน้ำกรดเย็นจนถึงแก่ความตาย และแล้วก็กลับเป็นขึ้นมามาตามเดิมอีก พวกเขาเฝ้าเวียนตายเวียนเกิดด้วยความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสอยู่เช่นนี้ไม่มีวันสิ้นสุด โน่นแหละชั่วพุทธันดรหนึ่งนั้นแล จึงจะพ้นทุกข์โทษไปจากขุมนรกโลกันต์นี้
    ปรากฏมีปัญหาสอดแทรกเข้ามาว่า ได้เคยก่อกรรมทำเข็ญอะไรไว้เล่าจึงต้องมาเป็นสัตว์นรกเหมือนนกค้างคาว เกาะเชิงเขาจักรวาล ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสสากรรจ์ในโลกนตนรกนี้? ”
    ผีนรกเหล่าโลกันต์นี้ ได้เคยประกอบอกุศลกรรมอันร้ายกาจและหยาบช้าลามกนัก คือ เมื่อครั้งที่เขาเป็นมนุษย์ได้เคยทำการประทุษร้ายทรมานบิดามารดาผู้ให้กำเนิดตน เพราะเหตุที่เป็นคนปราศจากกตัญญูกตเวทีมีตามืดบอดมองไม่เห็นคุณท่านแม้แต่นิดหนึ่ง เมื่อเกิดความไม่พอใจขึ้นมาก็ทุบตีเตะถีบและด่าทอเอาตามอัธยาศัย อีกประการหนึ่งนั้นไซร้ได้เคยประกอบกรรมอันชั่วหนักไว้ คือ ประทุษร้ายพิฆาตท่านผู้ทรงศีลทรงธรรมไม่นำพาต่อบาปบุญคุณโทษคล้ายกับเป็นคนวิกลจริตเป็นบ้า ทั้ง ๆ ที่ตนก็เป็นมนุษย์มีรูปทรงสุดสง่าดีกว่าหมูหมาเป็ดไก่ซึ่งเป็นสัตว์เดียรัจฉานมากมายนัก

    แม้มีใจรักในการทำบาป จึงก้มหน้าทำแต่บาปทุก ๆ วัน เช่นกระทำปาณาติบาตหรือทินนาทาน ก็ทำมันทุกวันไป ครั้นแตกกายทำลายขันธ์แล้ว อำนาจอกุศลกรรมอันหนักและแกร่งกล้าเช่นนั้น จึงพลันให้วิบากชักนำให้ลงมาเกิดในโลกันตนรกนี้ ซึ่งมีสภาพมืดบอดนอนธการอยู่เป็นนิตย์ ต่อเมื่อใดองค์สมเด็จพระพิชิตมารสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติในโลกเรานี้แล้ว
    เมื่อนั้นโลกันตนรกนี้ จึงมีโอกาศปรากฏเป็นแสงสว่างขึ้นนิดหนึ่งชั่วฟ้าแลบ หรือชั่วระยะมาตรว่าสักลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น ตามที่พรรณนามานี้แล้ว คือสภาพแห่งนรก โลกันตนิรยภูมิ
    เพราะเจ้ามาจากดิน
    แม้ว่าเจ้าจะโบยบินไปไกลแสนไกล
    แต่สุดท้าย...เจ้าก็ต้องกลับคืนสู่ดิน...
    ...ดิน...ที่เจ้าจากมา...
    http://learnkaweethai.blogspot.com
     
  8. ปีศาจ said:

    Re: ภูมิของสัตว์ทั้ง ๓๑ ภูมิ

    อสุรกายภูมิ คือ ภูมิเป็นที่อยู่ของเหล่าสัตว์อันปราศจากความแช่มชื่นรื่นเริง
    อสุรกายภูมิ แบ่งออกเป็น ๓ พวกใหญ่ ๆ คือ
    ๑. เทวอสุรา ได้แก่ อสุรกายที่เป็น เทวดา
    ๒. เปติอสุรา ได้แก่ อสุรกายที่เป็นพวก เปรต
    ๓. นิรยอสุรา ได้แก่ อสุรกายที่เป็นสัตว์นรก
    เทวอสุรกาย คือ อสุรกายจำพวกเทวดา บางพวกก็พอจะมีความสุขอยู่บ้างเป็นครั้งคราว แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมีความสุข
    *เทวอสุรกาย มีอยู่ ๖ พวกด้วยกัน คือ
    ๑. เวปจิตติอสุรกาย
    ๒. ราหุอสุรกาย
    ๓. สุพลิอสุรกาย
    ๔. ปหารอสุรกาย
    ๕. สัมพรตีอสุรกาย
    อสุรกาย ๕ พวกนี้ อยู่ใต้ภูเขาสิเนรุ เป็นศัตรูกับเทวดาชั้นดาวดึงส์ มีเรื่องเล่าว่า เดิมเคยอยู่บนชั้นดาวดึงส์ สมัยเมื่อมาฆะมานพ และบริวาร ๓๒ คน ขึ้นไป
    เกิดเป็นพระอินทร์พร้อมกับบริวาร ๓๒ คน(รวมกันเป็น ๓๓ ดาวดึงส์ แปลว่า ๓๓) ได้มีการฉลองกันเป็นการใหญ่ เมื่ออสุรกาย ๕ พวกนี้เมาสุราได้ที่
    จึงถูกพวกพระอินทร์และบริวาร โยนลงจากยอดเขาสิเนรุ มาอยู่ใต้เขาสิเนรุจนกระทั่งทุกวันนี้ ทำให้อสุรกาย ๕ พวกนี้ แค้นเทวดาชั้นดาวดึงส์มาก
    และได้เคยยกพวกขึ้นเขาสิเนรุ ไปตีกับเทวดาชั้นดาวดึงส์หลายครั้ง บางครั้งก็ชนะบางครั้งก็แพ้ ซึ่งมีเรื่องเล่ายาวพอสมควร
    ๖. วินิปาติกอสุรกาย
    เป็นพวกที่มีรูปร่างเล็ก มีอำนาจน้อยกว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ อาศัยอยู่ในมนุษยโลกนี้ จะอยู่ตามป่า ตามเขา ตามต้นไม้ และตามศาลที่เขาปลูกไว้ เป็นบริวารของภุมมัฏฐเทวดา จัดสงเคราะห์เข้าในพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา

    *เปรตอสุรกาย คือ อสุรกายชนิดที่เป็นเปรต ซึ่งมีความเป็นอยู่ยากลำบากกว่าพวกอสุรกาย ที่เป็นเทวดา มีรูปร่างที่น่าเกลียดน่ากลัว
    เปรตอสุรกาย แบ่งได้เป็น ๓ ชนิด คือ
    ๑. กาลกัญจิกเปรตอสุรกาย
    เป็นพวกที่มีรูปร่างกายใหญ่โต แต่ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง มีเลือดฝาดน้อย มีสีสันคล้ายใบไม้แห้ง ตาโปนออกมาเหมือนตาปู มีปากเล็กเท่ารูเข็มอยู่บนกลางศีรษะ หิวน้ำอยู่ตลอดเวลา เดินหาน้ำอยู่ตามลำธารน้ำไหลกลางป่า ทั้ง ๆ ที่เดินท่องอยู่บนลำธารน้ำไหล แต่กลับมองเห็นน้ำที่ไหลมา ขาวเหมือนหินอ่อน ได้ยินเสียงน้ำไหลแต่มองไม่เห็นน้ำ เพราะกรรมบันดาลให้มองไม่เห็นน้ำ กินน้ำก็ไม่รู้จักอิ่ม เพราะปากเล็กเท่ารูเข็ม พระธุดงค์พบเข้าแม้จะช่วยกันกรอกน้ำใส่ปาก น้ำก็ไหลออกหมด เพราะเล็กเท่ารูเข็มเท่านั้น จึงต้องหิวโหยอยู่ตลอดเวลา
    ๒. เวมานิกเปรตอสุรกาย
    เป็นเปรตชนิดที่เสวยทุกข์ในเวลากลางวัน แต่เสวยสุข ในเวลากลางคืนเหมือนกับความสุขของเทวดาในชั้นดาวดึงส์ เพราะทำบุญกับบาปพร้อมกันไป เหมือนกับการฆ่าไก่ เพื่อถวายเป็นอาหารแก่พระธุดงค์ หรือการได้ทรัพย์มาโดยทางทุจริต แต่ก็นำเอาทรัพย์นั้น มาทำบุญใส่บาตรอีกต่อหนึ่ง
    ๓. อาวุธกเปรตอสุรกาย
    เป็นเปรตชนิดที่ต้องประหัตประหารกันด้วยอาวุธ มีแต่ความไม่พอใจซึ่งกันและกันตลอดเวลา ซึ่งตรงกันข้ามกับ เทวดาชั้นดาวดึงส์ ที่มีความรักใคร่กลมเกลียวกัน พวกนักเลงหัวไม้ หรืออันธพาลที่ชอบว่าจ้าง ให้ทำร้ายร่างกายหรือประหัตประหารผู้อื่น เมื่อสิ้นชีวิตลงจะต้องไปเสวยทุกข์ในนรก เมื่อพ้นจากนรกแล้วก็ต้องมาเสวย ทุกข์ทรมานด้วยการเป็นเปรตประเภทนี้อีก

    *นิรยอสุรกาย เป็นสัตว์จำพวกเดียวกัน ที่เกาะอยู่ตามขอบจักรวาลที่มืดมิด มีลักษณะเหมือนค้างคาว มีความหิวกระหายเป็นกำลัง เกาะไปพลาง ไต่ไปพลาง พอไปพบพวกเดียวกัน จะโผเข้าหากันเพื่อกินเป็นอาหาร ก็จะพลัดตกไปในน้ำกรดข้างล่าง ละลายหายไปทันที แล้วเกิดขึ้นมาใหม่ ตกตายไปอีกวนเวียนเช่นนี้ จนกว่าจะหมดกรรม
    โดยสรุปแล้ว ในอสุรกายภูมินี้ ถ้าจะสงเคราะห์แล้วก็ จัดสงเคราะห์เข้าในเปรตภูมิ แต่พวกที่มีความเป็นอยู่เป็นพิเศษ ที่เป็นปฏิปักษ์ หรือเป็นศัตรูกับเทวดาชั้นดาวดึงส์เท่านั้น เรียกว่า อสุรกาย
    เพราะเจ้ามาจากดิน
    แม้ว่าเจ้าจะโบยบินไปไกลแสนไกล
    แต่สุดท้าย...เจ้าก็ต้องกลับคืนสู่ดิน...
    ...ดิน...ที่เจ้าจากมา...
    http://learnkaweethai.blogspot.com
     
  9. ปีศาจ said:

    Re: ภูมิของสัตว์ทั้ง ๓๑ ภูมิ

    เปตติวิสยภูมิ คือ ภูมิเป็นที่อยู่ของเหล่าสัตว์ที่ห่างไกลจากความสุขสบาย
    เปรตที่อาศัยอยู่ ที่เชิงภูเขาหิมาลัยในป่าแห่งหนึ่ง ชื่อว่า วิชฌาฏวี มี ๑๒ จำพวก คือ
    ๑. วันตาสเปรต เปรตที่กินน้ำลาย เสมหะ และอาเจียน เป็นอาหาร
    ๒. กุณปาสเปรต เปรตที่กินซากศพคน หรือสัตว์ เป็นอาหาร
    ๓. คูถขาทกเปรต เปรตที่กินอุจจาระต่าง ๆ เป็นอาหาร
    ๔. อัคคิชาลมุขเปรต เปรตที่มีเปลวไฟลุกอยู่ในปากเสมอ
    ๕. สูจิมุขเปรต เปรตที่มีปากเท่ารูเข็ม
    ๖. ตัณหัฏฏิตเปรต เปรตที่ถูกตัณหาเบียดเบียน ให้หิวข้าวหิวน้ำอยู่เสมอ
    ๗. สุนิชฌามกเปรต เปรตที่มีตัวดำเหมือนตอไม้ที่เผา
    ๘. สัตถังคเปรต เปรตที่มีเล็บมือเล็บเท้ายาวและคมเหมือนมีด
    ๙. ปัพพตังคเปรต เปรตที่มีร่างกายสูงใหญ่เท่าภูเขา
    ๑๐. อชครังคเปรต เปรตที่มีร่างกายเหมือนงูเหลือม
    ๑๑. เวมานิกเปรต เปรตที่ต้องเสวยทุกข์ในเวลากลางวัน แต่กลางคืนได้ไปเสวยสุขในวิมาน
    ๑๒. มหิทธิกเปรต เปรตที่มีฤทธิ์มาก

    เปรต กลุ่มที่2
    ๑. อัฏฐิสังขสิก เปรตที่มีกระดูกติดกันเป็นท่อน ๆ แต่ไม่มีเนื้อ
    ๒. มังสเปสิก เปรตที่มีเนื้อเป็นชิ้น ๆ แต่ไม่มีกระดูก
    ๓. มังสปิณฑ เปรตที่มีเนื้อเป็นก้อน
    ๔. นิจฉวิริส เปรตที่ไม่มีหนัง
    ๕. อสิโลม เปรตที่มีขนเป็นพระขรรค์
    ๖. สัตติโลม เปรตที่มีขนเป็นหอก
    ๗. อุสุโลม เปรตที่มีขนเป็นลูกธนู
    ๘. สูจิโลม เปรตที่มีขนเป็นเข็ม
    ๙. ทุติยสูจิโลม เปรตที่มีขนเป็นเข็มชนิดที่ ๒
    ๑๐. กุมภัณฑ เปรตที่มีลูกอัณฑะใหญ่โตมาก
    ๑๑. คูถกูปนิมุคค เปรตที่จมอยู่ในอุจจาระ
    ๑๒. คูถขาทกเปรตสเปรต เปรตที่กินอุจจาระ
    ๑๓. นิจฉวิตก เปรตหญิงที่ไม่มีหนัง
    ๑๔. ทุคคุนธ เปรตที่มีกลิ่นเหม็น
    ๑๕. โอคิลินี เปรตที่มีร่างกายเป็นถ่านไฟ
    ๑๖. อสีส เปรตที่ไม่มีศีรษะ
    ๑๗. ภิกขุ เปรตที่มีรูปร่างเหมือนพระ
    ๑๘. ภิกขุณี เปรตที่มีรูปร่างเหมือนภิกษุณี
    ๑๙. สิกขมาน เปรตที่มีรูปร่างเหมือนสิกขมานา
    ๒๐.สามเณร เปรตที่มีรูปร่างเหมือนสามเณร
    ๒๑.สามเณรี เปรตที่มีรูปร่างเหมือนสามเณรี
    เพราะเจ้ามาจากดิน
    แม้ว่าเจ้าจะโบยบินไปไกลแสนไกล
    แต่สุดท้าย...เจ้าก็ต้องกลับคืนสู่ดิน...
    ...ดิน...ที่เจ้าจากมา...
    http://learnkaweethai.blogspot.com
     
  10. ปีศาจ said:

    Re: ภูมิของสัตว์ทั้ง ๓๑ ภูมิ

    ติรัจฉานภูมิ คือ โลกของเหล่าสัตว์ที่มีความยินดีในเหตุเพียง 3 ประการ
    1.การกิน
    2.การนอน
    3.การเมถุนกิจ
    สัตว์เดียรฉานทั้งหลายแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆมีจำนวน 4 ประเภท คือ
    1.อปทติรัจฉาน คือ สัตว์เดียรฉานประเภทไม่มีเท้าคือไม่มีขา ซึ่งได้แก่ งู ปลา ไส้เดือน เป็นอาทิ
    2.ทวิปทติรัจฉาน คือ สัตว์เดียรฉานประเภทมี 2 เท้า ซึ่งได้แก่ แร้ง กา นก ตะกรุม เป็ด ไก่ เป็นอาทิ
    3.จตุปทติรัจฉาน คือ สัตว์เดียรฉานประเภทมีเท้า 4 เท้า ซึ่งได้แก่ หมี หมา ช้าง ม้า วัว ควาย เสือ กวาง เป็นอาทิ
    4. พหุปปทติรัจฉาน คือ สัตว์เดียรฉานประเภทมีเท้ามากกว่า 4 เท้าขึ้นไป ซึ่งได้แก่ กิ้งกือ ตะเข็บ ตะขาบ เป็นอาทิ
    เพราะเจ้ามาจากดิน
    แม้ว่าเจ้าจะโบยบินไปไกลแสนไกล
    แต่สุดท้าย...เจ้าก็ต้องกลับคืนสู่ดิน...
    ...ดิน...ที่เจ้าจากมา...
    http://learnkaweethai.blogspot.com