รู้เท่าทัน ความกลัวตาย

กระทู้: รู้เท่าทัน ความกลัวตาย

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. *8q* said:

    รู้เท่าทัน ความกลัวตาย





    รู้เท่าทัน ความกลัวตาย

    โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2553
    โดย…ปรีดา เรืองวิชาธร


    คนที่รู้สึกว่าตัวเองกลัวตายนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หากไม่กลัวนี่สิแปลก
    จากประสบการณ์ของคนที่เข้าร่วมอบรม “เผชิญความตายอย่างสงบ”
    เกือบทั้งหมดต่างรู้สึกกลัวช่วงเวลาแห่งความตายไม่มากก็น้อย
    แม้หลายคนจะบอกอย่างมั่นใจว่า พร้อมที่จะตายอยู่ทุกเมื่อ
    แต่เอาเข้าจริงก็รู้สึกกลัวอะไรบางอย่าง
    ยิ่งพิจารณามรณสติจนเห็นภาพกระทั่งว่า
    เรากำลังจะจากโลกนี้ไปแล้วจริงๆ
    ก็ถึงกลับเสียววูบหรือร่างกายเย็นยะเยือกหมดแรงไปก็มี


    หลายคนยอมรับว่าที่กลัวตายนั้นปัจจัยหลักอันหนึ่งก็คือ ความไม่พร้อม
    ซึ่งอาจหมายถึงมีเรื่องครอบครัวที่ยังต้องห่วงกังวล
    (ห่วงกังวลว่าเขาจะอยู่โดยลำพังไม่ได้ถ้าไม่มีเรา หรือเขายังพึ่งพิงตนเองไม่ได้)
    และยังผูกพันรักใคร่ไม่อยากจากไป เรื่องหน้าที่การงานที่ยังคั่งค้าง
    เรื่องทรัพย์สินเงินทองที่ยังจัดการไม่ลงตัว บางคนมีเรื่องที่อยากทำแต่ยังไม่ได้ทำ
    เช่น ฝันอยากจะเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลกบ้างเพราะชีวิตจมปลักอยู่กับงานมาตลอด
    บางคนฝันอยากจะทำประโยชน์สร้างสรรค์เพื่อคนอื่นบ้าง
    รวมถึงหลายคนต้องการกล่าวคำขอโทษ
    หรือขออโหสิกรรมกับคนที่เขาได้ล่วงเกินไว้ เป็นต้น
    ในขณะที่อีกหลายคนหวาดกลัว
    หากจะต้องเผชิญสภาพความเจ็บปวดในช่วงกำลังจะตาย
    เพราะไม่รู้ว่าจะเจ็บปวดทรมานสักเพียงใด
    เป็นความกลัวต่อสิ่งที่ไม่คุ้นเคยและยังมาไม่ถึง


    นอกจากความกลัวอันเนื่องจากความไม่พร้อมทั้งหลายนี้แล้ว
    ยังมีเหตุแห่งความกลัวที่สำคัญก็คือ กลัวตัวตนจะดับสูญ
    ซึ่งเป็นความกลัวที่ซ่อนอยู่ลึกที่สุดในจิตใจ
    ดังพระไพศาล วิสาโล เคยกล่าวไว้ว่า “ในบรรดาความติดยึดทั้งหลาย
    ไม่มีอะไรที่ลึกซึ้งแน่นหนากว่าความติดยึดในตัวตน
    ความตายในสายตาของคนบางคนจึงหมายถึง ความดับสูญของตัวตน
    ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทนไม่ได้และทำใจยาก”


    ในทางพุทธศาสนาถือว่า ความกลัวตัวตนจะดับสูญ
    เป็นปัจจัยพื้นฐานที่นำไปสู่ความกลัวนานาชนิด
    การที่เราพยายามยื้อยุดให้มีชีวิตต่อไป
    ส่วนหนึ่งมาจากแรงผลักของความกลัวตัวตนจะดับสูญ
    เพราะสภาวะหลังตายเรามิอาจล่วงรู้ได้
    เราไม่มีอะไรเป็นหลักประกันให้ยึดไว้อย่างมั่นใจ
    จริงๆ แล้วความกลัวตัวตนจะดับสูญไปมีอยู่ด้วยกันทุกคน
    ที่ยังไม่ได้ฝึกฝนจนเห็นความจริงว่า ทุกสิ่งล้วนไม่มีตัวตนเที่ยงแท้ถาวรอะไร
    มีเพียงแต่กระแสของเหตุปัจจัยปรุงแต่งกันขึ้นมาเท่านั้น
    ซึ่งเราต่างหลงไปยึดมั่นถือมั่นว่า มีตัวตนของเรา
    มีของของเราแท้จริงอยู่ตลอดเวลา


    ด้วยเหตุนั้นในช่วงเวลาที่เราต้องเตรียมตัวละจากโลกนี้ไป
    หากรู้สึกหวาดกลัวต่อความตายจะเนื่องด้วยเหตุปัจจัยใดก็ตาม
    ย่อมเป็นอุปสรรคขัดขวางให้เราไม่สามารถจากไปอย่างสงบได้
    และไม่เพียงเท่านี้หากน้อมระลึกถึงความตายของเราขึ้นมาเมื่อใด
    แล้วยังรู้สึกหวาดกลัวต่อความตายหรือรู้สึกไม่พร้อมอยู่เสมอ
    นั่นก็อาจสะท้อนได้ว่า เรากำลังดำเนินชีวิตโดยไม่ได้เตรียมตัวอะไรไว้บ้าง
    เมื่อเวลานั้นมาถึงหรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เรากำลังใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างประมาท


    ด้วยเหตุดังกล่าวหากเราปรารถนาจะเผชิญความตายอย่างสงบ
    และอย่างองอาจกล้าหาญแล้ว เราจำต้องเตรียมตัวนับแต่นี้เป็นต้นไป
    เพราะจะหวังไปฝึกฝนหรือเตรียมตัวเมื่อใกล้ถึงเวลานั้นย่อมหวังได้ยาก
    และที่สำคัญเหนืออื่นใดการเตรียมตัวด้วยการดำเนินชีวิตอย่างไม่ประมาทนั้น
    ไม่ได้เกิดผลดีเฉพาะช่วงเวลาใกล้ตายเท่านั้น
    แต่ผลดีย่อมงอกงามต่อชีวิตในแต่ละก้าว
    ซึ่งเราสัมผัสได้อย่างอิ่มเอมทันทีที่เราได้ลงมือทำ


    การใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทในคติพุทธศาสนานั้น (อัปปมาทธรรม)
    ก็คือ ความเป็นอยู่อย่างไม่ขาดสติและใช้ปัญญาใคร่ครวญในการดำเนินชีวิต
    ไม่ทำให้ชีวิตตกไปสู่ความเสื่อม
    ขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูล ผู้อื่นในสังคมด้วย


    หากมองในแง่กายภาพแล้ว
    เรื่องที่คนในสังคมสมัยใหม่เสียเวลาทุ่มเทไปมากที่สุด
    เห็นจะได้แก่เรื่อง เศรษฐกิจปากท้อง
    จริงอยู่ทุกคนควรขวนขวายแสวงหาปัจจัย ๔ เพื่อให้เพียงพอแก่ชีวิต
    แต่ทุกวันนี้เราต่างมุ่งแสวงหาทรัพย์สินเงินทองอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง
    เพื่อหวังจะซื้อหาความสุขจากวัตถุทั้งหลาย
    ซึ่งมันได้ทำให้มิติของชีวิตด้านอื่นถูกละเลยไปเกือบสิ้นเชิง
    ทั้งเรื่องสุขภาพ เรื่องครอบครัว เรื่องการใส่ใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่หรือคิดถึงส่วนรวม
    ไม่จำต้องพูดถึงการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณ ซึ่งในแง่นี้เราสนใจกันน้อยมาก


    ดังนั้นเราควรน้อมสติเพื่อใคร่ครวญให้มากขึ้นว่า
    การมุ่งแสวงหาและสะสมโภคทรัพย์ต่างๆ อย่างลุ่มหลงมัวเมานั้น
    ได้ทำให้ชีวิตบางมิติเราขาดหายไปมากเพียงใด
    ซึ่งทำให้สมดุลของชีวิตเสียไปหรือไม่เพียงใด
    ทรัพย์สินที่หามาได้เหล่านั้นยิ่งมีมากยิ่งทำให้เกิดความสุขโดยส่วนเดียว จริงหรือ
    และความมั่งคั่งทางวัตถุมันทำให้รู้สึกมั่นคงปลอดภัยโดยแท้จริงหรือ


    เชื่อได้ว่า คำตอบที่เกิดขึ้นจากความเงียบสงัดในใจย่อมทำให้เราตระหนักว่า
    ชีวิตควรให้ความสำคัญกับเรื่องอื่นมิติอื่นอย่างสมดุล
    ดังเช่นเราควรใส่ใจดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเพื่อที่จะสามารถต่อกรกับโรคร้าย
    โดยเฉพาะโรคร้ายที่มักจะคร่าชีวิตเราด้วยความทุกข์ทรมานอย่างมะเร็ง
    เราควรให้เวลาอย่างเพียงพอเพื่อสัมพันธภาพอันอบอุ่นในครอบครัว
    หรือสร้างสรรค์ความรักใคร่ปรองดองของคนในสังคม
    ซึ่งรวมถึงเป็นส่วนหนึ่งเพื่อสร้างสังคมให้ดีงามและเป็นสุข เป็นต้น

    ก่อนเกิดใครเป็นเรา<br />เมื่อเกิดแล้วเราเป็นใคร<br /><br />สิ่งที่ทำอยู่คือกรรมใหม่<br />ผลที่ได้รับคือกรรมเก่า<br /><br />ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน<br />มองในสิ่งที่ไม่เห็น<br />ทำในสื่งที่ไม่มี
     
  2. *8q* said:

    Re: รู้เท่าทัน ความกลัวตาย

    ชีวิตที่คิดคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้จิตใจขยายเป็นจิตใหญ่และเป็นจิตที่เป็นสุข
    เพราะเราไม่ได้หมกมุ่นคิดเฉพาะว่าตัวเองจะได้อะไรเท่านั้น
    พลังแห่งความเบิกบานที่เกิดขึ้นย่อมทำให้รู้สึกมั่นคงภายใน
    และในด้านหนึ่งย่อมทำให้เห็นว่า
    ความสุขไม่ได้เกิดจากความมั่งคั่งทางวัตถุโดยส่วนเดียวเท่านั้น
    แต่ความสุขสามารถเกิดขึ้นได้จากความรักความปรารถนาดี
    หรือจากความดีงามทั้งหลายที่เราได้ทำ ซึ่งไม่จำต้องอาศัยทรัพย์สินเงินทองก็ได้


    นอกจากนี้เราควรให้เวลากับการฝึกฝนทำจิตใจให้สงบ
    และหมั่นพิจารณาทบทวนความจริงของชีวิต
    เพื่อคลายความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นว่า มีตัวเรา มีของของเรา
    ดังที่ท่านพุทธทาสภิกขุย้ำเตือนเสมอว่า
    “สิ่งต่างๆ ทั้งหลายทั้งปวงอันรวมถึงร่างกายเรานี้
    ธรรมชาติให้ยืมมาชั่วคราวเท่านั้น
    ที่สุดแล้วต้องคืนให้ธรรมชาติกลับไป”
    การหมั่นพิจารณาให้เห็นถึงคติธรรมดาของชีวิต
    ย่อมทำให้ชีวิตเป็นอิสระที่แท้จริงได้มากขึ้น
    เป็นความรู้สึกมั่นคงภายในโดยแท้จริง
    และนั่นย่อมทำให้เรากล้าหาญเมื่อจะต้องเผชิญกับความตายตรงหน้า


    ในทางพุทธศาสนานั้นมองว่า
    การทำคุณงามความดีซึ่งรวมไปถึงการหมั่นทำจิตใจให้สงบนั้น
    ถือเป็นประโยชน์ในเบื้องหน้า (สัมปรายิกัตถะ)
    เป็นหลักประกันแก่ชีวิตเมื่อละจากโลกนี้ไป
    เพราะสิ่งที่จะติดตามเราไปได้หลังจากที่ความตายมาเยือนก็คือ
    กุศลกรรมหรืออกุศลกรรมที่เราได้ทำไว้
    ดังนั้นหากเราจะเผชิญความตายอย่างสงบได้
    ก็ควรเตรียมตัวให้พร้อมโดยเริ่มต้นทำกิจที่ดีงาม
    และจำเป็นต่อชีวิตครอบครัว และสังคมทันทีที่รู้ตัว


    ที่มา...คอลัมน์บทความพุทธิกา
    ลานธรรมจักร

    http://variety.teenee.com/saladharm/26231.html
    ก่อนเกิดใครเป็นเรา<br />เมื่อเกิดแล้วเราเป็นใคร<br /><br />สิ่งที่ทำอยู่คือกรรมใหม่<br />ผลที่ได้รับคือกรรมเก่า<br /><br />ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน<br />มองในสิ่งที่ไม่เห็น<br />ทำในสื่งที่ไม่มี
     
  3. Vipawee said:

    Re: รู้เท่าทัน ความกลัวตาย

    อนุโมทนาสาธุค่ะคุณแทนกับธรรมดีๆ