หยุดใจให้ไร้อยาก

กระทู้: หยุดใจให้ไร้อยาก

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. รูปส่วนตัว DAO

    DAO said:

    หยุดใจให้ไร้อยาก



    หยุดใจให้ไร้อยาก (๑)
    โดย พระครูเกษมธรรมทัต (สุรศักดิ์ เขมรํสี)

    สำนักปฏิบัติกรรมฐาน วัดมเหยงคณ์
    ต.หันตรา อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา



    นมัตถุ รตนัตตยัสสะ ขอถวายความนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ขอความผาสุกความเจริญในธรรม จงมีแก่ญาติสัมมปฏิบัติธรรมทั้งหลาย

    ต่อไปนี้จงตั้งใจฟังธรรมพร้อมกับการปฏิบัติธรรม เจริญสติสัมปชัญญะพร้อมกับการฟังธรรมก็จะได้รับประโยชน์ยิ่งขึ้น ได้ประโยชน์ทั้งในส่วนของความรู้จากการฟัง เรียกว่า สุตมยปัญญา ได้ประโยชน์ทั้งในส่วนของความคิดพิจารณาระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฎในขณะนี้ จนรู้แจ้งตามความเป็นจริง เป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา ปัญญาก็มีสามระดับคือ หนึ่งระดับจากการฟัง สองระดับจากการคิด สามระดับจากการรู้เห็นเฉพาะหน้า คือ เมื่อมีสติระลึกรู้สภาวะธรรมที่กำลังปรากฏก็เกิดปัญญา มีปัญญาปรากฏเกิดขึ้นเป็นภาวนามยปัญญา

    เรื่องการประพฤติปฏิบัติส่วนมาก นักปฏิบัติก็มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องว่า "ปฏิบัติแล้วไม่สงบ" "อยากจะสงบ" เจริญกรรมฐานอยากให้จิตใจสงบ บางครั้งบางคราวเคยได้รับความสงบ จิตใจได้รับความสงบ ก็อยากจะให้ความสงบนั้นเกิดขึ้นอีก ทำกรรมฐานทีไรก็อยากจะสงบอย่างนั้นอีก พอมันไม่เป็นไปตามความปรารถนาก็ยิ่งเกิดความวุ่นวายใจ เกิดความฟุ้งซ่าน เกิดความเบื่อหน่ายท้อถอยต่อการที่จะฝึกหัด ต่อการที่จะประพฤติปฏิบัติ

    ทำไมบุคคลจึงเกิดความฟุ้งมากขึ้น ทำไมจึงเกิดความท้อถอยมากขึ้น นั่นก็เพราะว่ามีความอยาก มันเป็นตัณหาเข้ามาในการปฏิบัติ เคยได้รับความสงบแล้วก็ทำ แล้วก็เกิดความอยากสงบ เกิดความติดใจ เกิดความอยากที่จะให้จิตใจอยู่ในความสงบ เป็นตัณหา เป็นธรรมตัณหา เป็นโลภะที่เกิดขึ้นในขณะปฏิบัติ ความอยากในที่นี้ ไม่ใช่ไปอยากได้เงินได้ทอง ไม่ได้ไปอยากที่จะต้องการยศลาภชื่อเสียงอะไร แต่ว่าอยากสงบ อยากในธรรมนั่นเอง อยากสมาธิ มันก็ยังเป็นกิเลส ยังเป็นอกุศลอยู่ ความอยากนี่แหละมันไปเสริมให้ความไม่สงบกระจายตัวมากขึ้น คือความฟุ้งซ่านจะมีมากขึ้นเพราะว่าไม่สมความปรารภนา

    อยากสงบแล้วมันไม่ยอมสงบก็จะเกิดความเดือดดาลใจ เกิดความคับแค้นใจ เกิดความน้อยใจ มันก็เป็นกิเลสอีกชนิดหนึ่ง ประเภทโทสะที่ประกอบด้วยอุทธัจจะ คือ ฟุ้งซ่าน มันเลยผสมมันเลยสนับสนุนกิเลสกันไปใหญ่ ความท้อถอยก็ตามมา เพราะว่ามันไม่ได้อย่างใจ เกิดความท้อถอยเบื่อหน่ายไม่มีกำลังใจที่จะประพฤติปฏิบัติ อันนี้มันก็เป็นกิเลสเรียกว่า ถีนมิทธะ คือ ความหดหู่ท้อถอย ความเซื่องซึมท้อถอยของจิตของเจตสิก ท่านจัดเป็นนิวรณ์ข้อหนึ่ง เรียกว่า ถีนมิทธะนิวรณ์ เป็นเครื่องกั้น คือเป็นเครื่องกั้นความดีที่จะเกิดขึ้น ฟุ้งซ่านก็เป็นนิวรณ์เป็นเครื่องกั้น รำคาญใจก็เป็นนิวรณ์ ความคับแค้นใจก็เป็นนิวรณ์ มันจะรุมมาเกิดขึ้นในจิตใจ ฉะนั้นต้นเหตุมันก็มาจากความอยาก มาจากความอยากที่จะให้ได้อย่างนั้น จะให้ได้อย่างนี้

    พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าธรรมทั้งหลายไหลมาแต่เหตุ ถ้าจะดับก็ดับที่เหตุ ความทุกข์ทั้งหลายมาจากเหตุให้เกิดทุกข์คือตัณหา ความอยากทะยานอยากได้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ การจะแก้ปัญหา แก้ทุกข์ การจะดับทุกข์ ก็คือต้องไปแก้ที่เหตุ ต้องทำลายเหตุแห่งทุกข์คือ ตัณหาความทะยานอยาก อยากมีอยากเป็น อยากในกาม อยากไม่มีอยากไม่เป็น เวลามันมีอารมณ์ไม่ดีเกิดขึ้นก็อยากให้มันหมดไป อยากให้มันสิ้นไป ไม่เอาไม่ต้องการ อยากให้มันพ้นไปจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นกิเลสเป็นตัณหา ตัณหามีสามอย่างคือ กามตัณหา ความต้องการติดใจในกามคุณอารมณ์ อยากได้รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสนุ่มนวลเป็น "กามตัณหา" อยากมีอยากเป็นอยากได้อย่างนั้นอยากได้อย่างนี้เป็น "ภวตัณหา" อยากให้มันไม่มีไม่เป็นให้มันหมดไป สิ่งที่ไม่ชอบใจให้มันไป ให้มันหมดไป ปฏิเสธผลักไสผลักดัน มันก็เป็น "วิภวตัณหา" เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์

    ในจิตใจที่วุ่นวายเป็นทุกข์เมื่อสาวไปแล้ว มันก็มาจากกิเลส มาจากโลภะ มาจากตัณหาก็ต้องไปดับตัณหา ไปทำลายตัณหาให้สิ้นซาก เมื่อเวลาประพฤติปฏิบัติจึงต้องรู้เท่ารู้ทันต่อตัณหาที่จะเกิดขึ้น ต้องพิจารณาในจิตใจว่าขณะนี้มีความทะยานอยากไหม มันมีตัณหาประเภทไหนเกิดขึ้น อยากสงบมันก็เป็นตัณหา เป็นการอยากมีอยากเป็นอยากได้ความสุข อยากได้ความสงบ มีตัณหาเข้ามาแล้ว ถ้าเราปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนี้ มันไม่สงบดังใจขึ้นมามันก็จะเกิดความเดือดดาลใจ เกิดความวุ่นวายใจยิ่งขึ้น ฉะนั้นผู้ปฏิบัติต้องอ่านจิตใจตัวเองให้ออกว่าขณะนี้มีตัณหาไหม มีความทะยานอยากไหม ถ้ามีก็ต้องแก้ไข แก้ไขอย่างไร อันดับแรกก็คือ "รู้ทัน" รู้ลักษณะของตัณหาที่เกิดขึ้นแล้วก็ "ละวาง" ฝึกหัดการเจริญสติสัมปชัญญะให้มันหลุดรอดหลุดพ้นจากตัณหา เรียกว่าให้มันมีความปล่อยวาง ฝึกหัดการให้มันมีความปล่อยวาง

    ในเบื้องแรกต้องทำความเข้าใจว่า เราจะปฏิบัติอย่างไม่อยากได้อะไร อะไรจะเกิดขึ้นก็ตามก็เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยของธรรมชาติที่มันจะเกิด มันจะเกิดมันจะดับก็แล้วแต่มัน จะทำหน้าที่ "เป็นเพียงผู้ดู" เป็น"เพียงผู้รู้เท่านั้น" จะไม่มีความอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ถ้าจิตใจมันหลุดจากความอยากจะพบความเบา จะพบความสงบ ความเบาใจมันจะเกิดขึ้น จิตที่มันมีความขุ่นมัวเศร้าหมองนั่นเพราะมันมีความอยากเคลือบจิตอยู่ มันเป็นนิสัยมันเคยชิน ปุถุชนมันมีตัณหาติดอยู่ในจิตใจอยู่เสมอ จะทำอะไรจะคิดอะไรมันจะเป็นไปด้วยความอยากตลอด ฉะนั้นเรามาปฏิบัติมาฝึกหัดละตัณหาไม่ให้มันมีความอยาก เจริญกรรมฐาน ก็ใช้สติสัมปชัญญะระลึกรู้เท่าทันต่อสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏ คือรูปธรรม นามธรรมที่ปรากฏ

    ในขณะที่ระลึกรู้รูปนามอยู่นั้น ก็คอยระวังไม่ให้มีตัณหาเข้าไป จะให้มันมีแต่ระลึกอย่างบริสุทธิ์ พิจารณาอย่างบริสุทธิ์ ไม่มีความอยาก สภาพของจิตมันเป็นอย่างไร มันมีอารมณ์อันใด อารมณ์จะดีก็ตามไม่ดีก็ตาม ก็ทำหน้าที่ระลึกรู้ไปอย่างไม่มีความอยากได้หรืออยากปฏิเสธ ดูแค่ดู รู้แค่รู้ การเจริญวิปัสสนาต้องฝึกจุดนี้ให้ได้ เป็นส่วนสำคัญ ฝึกหัดปฏิบัติไป ดูแลรักษาสภาพของจิตใจไม่ให้มันมีความอยาก มันเผลอเกิดความอยากก็แก้ไขเสีย ปล่อยวางเสีย ฝึกหัดให้มันปล่อย ให้มันวาง ให้จิตใจมันเป็นธรรมดา ให้มันเป็นปรกติ ให้มันเป็นเพียงแค่ดู แค่รู้ ถ้าฝึกได้ ฝึกจิตใจให้มันปลอดจากตัณหา จะพบว่าจิตใจมันพร้อมที่จะเบิกบานของมัน

    จิตใจมันพร้อมที่จะผ่องใส จิตใจมันพร้อมที่จะปลอดโปร่งของมัน เพราะว่าอะไร เพราะว่าตามธรรมดาสภาพของจิตเดิม โดยเฉพาะสภาพของจิตล้วนๆ ในสภาพจิตใจของมันเอง มันเป็นสภาพที่ประภัสสรอยู่แล้ว คือผ่องใส จิตเดิมมันประภัสสรผ่องใส แต่นี่มันมาเศร้าหมองขุ่นมัวเพราะมันมีกิเลสจรเข้ามา มีตัณหา มีโทสะ โลภะ โมหะเข้ามาครอบงำ โดยเฉพาะตัณหาครอบงำเชื่อมจิตอยู่เสมอ ทำให้จิตใจมันเศร้าหมอง ถ้าปฏิบัติไม่ต้องไปหวังอะไร เพียงแต่เจริญสติให้มันปลอดจากความอยากได้ ทำไปแค่รู้ ดูไปแค่ดู ไม่มีความทะยานอยาก มีความวางเฉยมีความปล่อยอยู่ "ตัวที่มันมีการปล่อยอยู่นั้น มันทำให้หลุดรอดจากความอยาก" เราก็จะพบว่าจิตมันผ่องใสขึ้นจะเริ่มรู้ตัวเข้าสู่สภาพความปลอดโปร่งของมัน ผู้ปฏิบัติจะพบได้ จะสังเกตได้

    เรามาปฏิบัติมัวแต่วิ่งหาตัณหาอยากได้ความสงบ ความสงบความสะอาดความผ่องใสของจิตมันอยู่แค่ หยุดความอยาก แค่ละความอยากตรงนี้เองมันก็โปร่งเบาขึ้นมาเอง เหมือนคนที่วิ่งไป วิ่งค้นหาไปแล้วไปบ่นว่าเหนื่อย เหนื่อย เหนื่อยแล้วก็วิ่งไป วิ่งหาสภาพที่มันไม่เหนื่อย แต่ก็ยังวิ่งหาอยู่ การที่มันจะไม่เหนื่อยก็คือหยุดซะ หยุดซะมันก็ไม่เหนื่อย ตานี้วิ่งหาค้นหาขวักไขว่ก็บ่นว่าเหนื่อย เหมือนกับความอยากที่มันแล่นไป มันก็เศร้าเหมอง เบื่อหน่ายเศร้าหมอง ทุกข์ ความอยากก็นำมาซึ่งความยุ่งยาก ถ้าหยุดอยากมันก็ไม่ยุ่งยาก มีอยากมันก็มียาก ถ้าไม่อยากมันก็ไม่ยาก

    จิตอุปมาเหมือนกับน้ำ จิตมันเหมือนกับน้ำ น้ำในแม่น้ำลำคลองที่ตักขึ้นมา จะเห็นว่ามันขุ่นมัวมันสกปรก ที่มันสกปรกนั้นไม่ใช่ตัวน้ำ มันสกปรกเพราะมันมีสิ่งปฏิกูลต่างๆ เข้าไปผสมในน้ำต่างหาก ตัวน้ำจริงๆ นั้นจะบริสุทธิ์เหมือนกับจิตเดิมมันบริสุทธิ์ จิตมันประภัสสรของมันอยู่ แต่มันมาเศร้าหมองขุ่นมัวเพราะมันมีกิเลสต่างๆ เข้ามา ฉะนั้น น้ำที่ตักขึ้นมา เอาขึ้นมาจากแม่น้ำลำคลองนี้ ถ้าเราสามารถกลั่นกรองเอาสิ่งปฏิกูลตะกอนต่างๆ ออกไปจากน้ำได้ น้ำก็จะคืนสภาพธรรมชาติของมันคือใสสะอาด ความใสสะอาดบริสุทธิ์ มันก็ไม่ได้มาจากไหน มันก็อยู่ของมันอยู่อย่างนั้นแหละ

    ที่เราตักใส่ถังมานี่ แสดงว่าในนั้นมีน้ำที่สะอาดอยู่และก็มีสิ่งปฏิกูลอยู่ "ความสะอาดไม่ได้มาจากที่อื่น มันเพียงแต่เอาสิ่งสกปรกออกไปให้ได้เท่านั้น ความสะอาดก็ปรากฏ ฉันใดก็ดี จิตใจนี้ก็เหมือนกัน มันมีความสะอาด มันมีความผ่องใสของมันอยู่แล้วโดยพื้นฐานของจิต แต่ว่ามันขุ่นมัวเศร้าหมองเพราะมันมีกิเลสต่างหากจรเข้ามาแปดเปื้อน ฉะนั้น กิเลสตัวหนึ่งก็คือตัณหาหรือว่าโลภะ เพียงการปฏิบัติให้มันหยุดอยากได้ ระงับความอยากได้ ปฏิบัติฝึกหัดให้มันหลุดรอดจากความอยาก ให้เจริญสติสัมปชัญญะ ให้มันปลอดจากความอยาก ความผ่องใสของจิตก็จะเกิดขึ้นจะปรากฏขึ้นตามลำดับ ฉะนั้นผู้ปฏิบัติก็พิสูจน์ได้"



    ขอขอบคุณที่มาคะ http://sekhiyadham.semsikkha.org/ind...=102&Itemid=61





    สิ้นทุกข์สุขที่แท้จึงได้พบพาน
     
  2. Vipawee said:

    Re: หยุดใจให้ไร้อยาก

    อนุโมทนาสาธุค่ะพี่ดาว