วาทะธรรม

พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร)

คัดมาจาก หนังสือพุทธาจารานุสรณ์

“หมาไล่เนื้อ”

ท่านว่าคนเราเกิดมาบนโลกนี้ ความแก่ความชรา มันก็ไล่ติดตามอยู่เสมอ ความเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไล่ติดตามอยู่เสมอ มรณภัยคือความตาย ขยับใกล้เข้ามาทุกวันคืน ท่านเปรียบอุปมาเหมือนหมาไล่เนื้อในป่า สมัยโบราณเขาเอาหมาไปไล่เนื้อ ไล่สัตว์ป่ามากินเป็นอาหาร เมื่อสุนัขมันเห็นสัตว์ป่ามันก็ไล่ ไป เมื่อสุนัขไล่ไปไล่อยู่ไม่หยุด ไม่หย่อนก็ย่อมมีเวลาทัน ทันเนื้อสัตว์ป่านั้น เมื่อทันที่ไหนมันก็กัดเอาจนเนื้อตัวนั้นตายไป

ที่เราเกิดมาแล้วนี้มันได้ชื่อว่า เหมือนหมาไล่เนื้อมาโดยลำดับ มันใกล้เข้ามาเป็นลำดับๆ ฉะนั้นพระพุทธเจ้า พระองค์จึงทรงเตือนว่า ให้ภาวนามรณกรรมฐานไว้ มรณํ เม ภวิสสติ ให้พากันภาวนา ให้นึกถึงว่าความตายมันใกล้เข้ามา ไล่เข้ามาโดยลำดับ

อีกไม่นานความตายนั้นก็จะเข้ามาถึงตัวเราทุกคน แต่ทุกวันนี้มันก็ใกล้เข้ามา เดี๋ยวก็ได้ข่าวว่าคนนั้น คนนี้ตาย พระเณร พระท่านผู้เฒ่าผู้แก่ตายไป นี่คือว่ามันเหมือนหมาไล่เนื้อ เมื่อมาทันเวลาใด หมามันไม่ได้ยกเว้น มันกัดเอาจนเนื้อตัวนั้นตายไป ชราความแก่ พยาธิความเจ็บไข้ มรณภัยคือความตายอันมันไล่ติดตามตัวเรา อันมันไล่ติดตามเราท่าน ทั้งหลายอยู่นี้ ถ้าเราไม่รีบเร่งภาวนา ไม่ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติให้ดีแล้ว เมื่อมรณภัย คือความตายมาถึงเข้าบุคคลผู้นั้น ย่อมมีความพลั้งเผลอ ลุ่มหลงเพราะไม่ได้ประกอบกระทำในภาวนาไว้ให้เพียงพอ ยิ่งเมื่อความแก่ชรา แก่ตัวมาเท่าไร พยาธิ โรคา มันก็มากขึ้น สติสตัง ก็ต้องตั้งขึ้นมา ให้มีสติ ความระลึกได้ จิตใจจึงจะตั้งมั่นในสมาธิภาวนาได้ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วจิตใจก็จะฟุ้งไปซ่านมา แส่ส่ายหาอารมณ์ต่างๆ ไม่มีที่จบที่สิ้น

“คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนสาด”

มนุษย์เกิดมาไม่ใช่จะมีแต่คนรักกัน คนชังกัน คนหาข้อที่ทำลายชีวิตของเราก็มีอยู่ แต่เราไม่รู้ คนเกลียดคนชังก็มี คนรักนั้นมีน้อย คนชังนั้นมีมาก คนโบราณจึงแต่งคำสอนใจไว้ว่า

คนที่มีความรักนั้นมีเท่าผืนหนัง เหมือนหนังวัวหนังควายมันมีจำกัด แต่ว่าคนชังนั้นมีเท่าผืนเสื่อ คนชังมันมีได้เต็มโลก มันมากกว่าคนรัก ฉะนั้นอย่าไปหลงคนรัก อย่าไปหลงอารมณ์กิเลส คนชังคนคอยเบียนเบียนมาก แต่เขาไม่บอกให้รู้

เพราะบอกให้รู้มันก็ไม่พอใจของคน แต่ว่าคนที่ชอบคอพอใจกันทั้งนั้น คนหนึ่งสองคนก็รู้มาบอกว่า ข้าพเจ้าเคารพ นับถือท่าน แต่คนชังเขาไม่บอก

โน่นละถึงฆ่ากันตายกลางถนนหนทางเป็นศพไปแล้ว แก้ไม่ได้อันนี้เค้าจึงแต่งคำกลอนว่า คนรักมีเท่าผืนหนัง คือน้อยนิดเดียวนะ คนชังเท่าผืนเสื่อสาด คนชังมันเห็นได้เต็มโลก คนทั้งโลกมาก คนรักคนชอบ พอใจมันน้อย คนชังมันมาก คือเป็นการเตือนใจทุกคนนั้นเอง

“อภัยทาน”

ฝึกหัดจิตใจในการให้ทาน ทานนี้ ทานวัตถุข้าวของใครก็พอมองเห็นได้ แต่ว่าอภัยทานการให้อภัยแก่คนอื่น สัตว์อื่นนี้คนเรามองไม่เห็น แล้วการปฏิบัติก็ไม่ได้

ก็เป็นการฝึกจิตอย่างหนึ่ง ถ้าว่าอย่างหนึ่งก็เรียกว่าฝึกจิตอย่างสูง คือทุกสิ่งทุกอย่างมันจำเป็นต้องเสียสละให้อภัยแก่สัตว์ทั้งหลาย แก่คนและสัตว์ทั้งหลายที่เขายังไม่รู้ไม่เข้าใจ เมื่อเราฝึกหัดจิตนั้นเอง ให้จิตมันเกิดความรู้ความฉลาด ขึ้นมาว่า สิ่งใดควรยึดสิ่งใดไม่ควรยึด สิ่งใดควรให้อภัย

ในทางผู้ต้องโทษในประเทศไทยเมื่อเอาไปกักกันอยู่ในเรือนจำแล้วนานๆ ท่านก็มีให้อภัย โทษที่ตัดสินว่าให้อยู่เท่านั้นปี เท่านี้ปี เท่านั้นสิบปีก็มี ท่านก็ให้อภัยได้ อภัยทานจึงเป็นทานอันสูงสุด ตามธรรมดาก็ต้องติดคุกไป จนหมดโทษ แต่ให้อภัยคือว่าให้ลดโทษนั้นไปจนพ้นโทษ อันการหัดฝึกจิตฝึกใจของเราแต่ล่ะบุคคล อภัยทาน ให้อภัยแก่กัน คนอื่นผู้อื่นเขาไม่รู้ แม้เราจะไปแน่ะนำสั่งสอนอย่างไร ว่าอย่างไรก็ตามแต่ มันก็ไม่รู้ไม่เข้าใจอยู่นั้นแหละ

“ภาวนาไม่เลือกสถานที่”

ในวันหนึ่ง เดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง เราไม่ควรประมาท นั่งที่ไหนก็ตั้งใจภาวนาในที่นั้น ยืนอยู่ที่ไหนก็ตั้งใจภาวนาในที่ยืน เดินไปไหนก็ให้ตั้งใจภาวนาในที่เดินไปนั้น แม้กระทั้งเรานอนแล้วแต่ยังไม่หลับก็ให้น้อมเอาดวงใจ เอาใจของเราให้หยุดให้อยู่ ให้สงบ ระงับได้นั้น

แหละเป็นการดี จึงให้ชื่อว่าการภาวนาในทางพุทธศาสนา เราต้องตั้งใจประกอบกระทำให้เกิดให้มีขึ้น คนอื่นที่จะมาช่วยได้จริงๆนั้น มันก็ห่างไกลอยู่ ตัวเรานี่แหละพึ่งตัวเราเอง พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสสอนไว้ว่า อตตาหิ อตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน จะคิดพึ่งคนอื่นมาภาวนาให้ไม่ได้ เราต้องภาวนาเอง แก้ไขจิตใจเราเอง

“ลมปาก”

ลมปากมนุษย์มันพอใจมันก็ว่าให้ดี ที่ลมปากมนุษย์มันไม่พอใจมันก็ด่าให้ว่าให้ อย่าไปเป็นทุกข์เป็นร้อนทำใจของเราให้วางเฉย พุทโธอยู่ในดวงใจให้จิตใจเย็นสบายเป็นเครื่องอยู่เครื่องอาศัยภายในใจของเรานี่เอง บางคนเมื่อถูกความคิดเตียนนินทาเหมือนเอาน้ำร้อนมาลวกเข้าไป เต้นเหย็งๆ คือว่าไม่ภาวนา ว่าลมแรงยังไม่แรงเท่าลมปาก เขาว่าอย่างนั้น ลมแรงนั้นนานๆจึงจะพัดมาทีหนึ่ง แต่ลมปากมนุษย์มันพัดอยู่ทุกวันเวลา ใครไม่ภาวนาก็เป็นทุกข์เป็นร้อนถ้าเขาสรรเสริญเราก็ไม่ควรดีใจ ถ้าเขานินทาว่าร้ายป้ายสีก็ไม่ควรเสียใจ เพราะความสรรเสริญนินทานี้ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ความเที่ยงแท้แน่นอนมันอยู่ในจิตใจทุกคน ตั้งจิตตั้งใจให้มั่นคง

“ใจดวงเก่า”

ใจของเรามันมีอยู่คนละดวงๆ ภายในตัวเราทุกๆคน ใจดวงนี้ไม่ได้ไปไหน ตั้งแต่มาปฏิสนธิในท้องแม่ จนคลอดออกมา เกิดมาแล้วก็จิตใจดวงเก่านี้เอง จิตใจดวงนี้มาแต่ภพก่อนหนหลังนับไม่ถ้วนแล้ว มาเกิดมาแก่มาเจ็บมาตาย อยู่ในภพน้อยภพใหญ่ในโลกจนนับไม่ถ้วนแล้ว ถึงกระนั้นก็ยังมีความรู้ความฉลาดยังไม่เพียงพอ ความโง่เขลาเบาปัญญายังมีอยู่เยอะ

เพราะเราไม่ฝึกต่อกันมา เมื่อเรารู้ตัวอย่างนี้เราต้องฝึกฝนอบรมหลายอย่างหลายประการ นับตั้งแต่นั่งขัดสมาธิเพชร ไม่ได้ไม่ยอม เราต้องนั่งให้ได้ เราไม่ฝึกเราไม่สอนเราเอง ใครจะมาสอนล่ะ ไม่มีใครสอนยืนภาวนาก็ให้ได้ เดินภาวนาก็ให้ได้ ไปรถไปรายิ่งภาวนาให้มันมาก

“กบเฝ้ากอบัว”

ในข้อความบางอย่างท่านเปรียบเทียบไว้ว่า มีหนองบัวอยู่ มีบึงมีหนองอยู่ มีเจ้ากบนั้นก็นั่งเฝ้ากอบัวอยู่ แต่ไม่รู้ว่าบนหัวของตัวมันมีดอกไม้ ดอกบัวมีน้ำหวานอยู่ในนั้น แมลงผึ้งก็มาเอาเกสรดอกไม้ เอาน้ำหวานของดอกบัว แต่ไอ้เจ้ากบก็นั่งเฝ้ากอบัวไม่รู้ ไม่รู้อะไรเป็นอะไรล่ะ ถ้าร้อนขึ้นมาก็โดดน้ำ เย็นแล้วก็ขึ้นมานั่งเฝ้ากอบัว ท่านเปรียบให้เห็นว่า แมลงภู่แมลงผึ้งมันยังรู้จัก

เจ้ากบนั่งเฝ้ากอบัว ดอกบัวอยู่บนหัวกลิ่นบ่ต้อง(ไม่ได้กลิ่นบัว) ภุมรินบินมาข้างบนเอาเกสรดอกไม้ไป โบราณเขาก็แต่งโคลงให้ว่า กบไม่รู้อะไร ผู้ไม่ภาวนาแม้คุณพระพุทธเจ้าก็ไม่รู้ คุณพระธรรมก็ไม่รู้ คุณพระสงฆ์ก็ไม่รู้ แล้วก็นั่งเฝ้ากอบัวคือนั่งเฝ้าธาตุทั้งสี่ ขันธ์ห้า นั่งเฝ้าตู้พระธรรมก็ว่าได้ ตัวเรานี้แหละเป็นตู้พระไตรปิฏก กาย วาจา จิต พระสูตร พระวินัย พระปรมัตถ์ กบก็คือจิต เราไม่ภาวนา ไม่สงบจิตสงบใจมานั่งเฝ้ากอบัวอยู่ นั่งเฝ้าดอกไม้ของหอมอยู่แต่ไม่รู้ เกิดมาแล้วก็มีตาก็ดูไป มีหูก็ฟังไป มีจมูกก็ดมกลิ่นไป มีลิ้นก็ลิ้มรสกินอาหารไป มีร่างกายก็กระทบเย็นร้อนอ่อนแข็งไป เมื่ออารมณ์ทั้งห้าผ่านมาแล้วก็เป็นอารมณ์อยู่ในจิต สิ่งใดชอบใจก็หลงไป สิ่งใดไม่ชอบใจก็โกรธขัดเคืองในจิตในใจ ไม่ให้อภัยแก่ใครทั้งนั้น คือว่าไอ้กบนั่งเฝ้ากอบัวคือเราทุกคนนี่แหละ..

..แต่ไอ้เจ้าผึ้งก็โง่อีก เมื่อเห็นแสงสว่างไฟฟ้า มันไม่รู้จักว่าไฟฟ้าแหละ ไม่รู้จักของร้อน เมื่อตัวบินมาแล้ว มาเห็นแสงสว่างเห็นแสงไฟ ก็คิดเข้าใจว่าของวิเศษ แก้วมณีโชติอยากได้ ไอ้ตัวความอยากตัณหาอันนั้นแหละ มันอยากได้ ลืมเสียว่าตัวบินมานั้น บินไปหาอะไร มาหาแก้วมณีโชติไฟไหม้นี่หรือ หรือบินไปหาเกสรดอกไม้น้ำหวาน

ของดอกไม้ แล้วลืมเสีย ลืมของหวานที่จะเอาไปให้ลูกเต้ากิน เอาไปเลี้ยงพวกเพื่อนของตัวเอง ลืมหมด พอมาเห็นแสงสว่างของไฟนี่มันยังดีไฟไม่ไหม้ตัวมัน ถ้าเกิดเป็นไฟป่าบินเข้ามา อย่างนี้ก็ตาย ตายลูกเดียว นั่นคือแมลงผึ้งมันไม่รู้ แต่มันก็มีวิชาความรู้โดย

ธรรมชาติ ว่าเกิดมาแล้วมันรู้เองว่าต้องไปหาน้ำหวานเกสรดอกไม้ แต่วาความรู้ว่าไฟร้อนไม่ได้เรียนไม่ได้รู้ ปู่ย่าตาทวดของผึ้งก็ไม่ได้สอน เพราะโง่มาตั้งแต่ปู่ย่าตาทวดของผึ้ง สอนแต่ให้หาเกสรดอกไม้และน้ำเย็น มันก็กินอย่างนี้ กินน้ำเย็นเยอะและก็กินน้ำผึ้งน้ำดอกไม้..



ôôôôôôôôôô