ถามเรื่องการปฏิบัติค่ะคุณเดฟ

กระทู้: ถามเรื่องการปฏิบัติค่ะคุณเดฟ

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. rawang9999 said:

    ถามเรื่องการปฏิบัติค่ะคุณเดฟ

    เริ่มปฏิบัติเมื่อ เดือนตุลาปีที่แล้วค่ะ ด้วยการภาวนาพุทโธตลอดทั้งวัน แล้วเวลาจิตไปคิดอย่างอื่นที่นอกจากพุทโธก็รู้ค่ะ ทำแบบนี้ตลอด แต่ไม่ได้นั้งสมาธิหรือสวดมนต์ทุกวันนะคะ ทำแบบนี้มาประมาณ 1 เดือนค่ะ เช้าวันนึงตื่นมาก็เริ่มทำเหมือนเดิมค่ะ แต่เหมือนจิตมันไปเห็นอะไรบางอย่าง คือ ตอนหายใจตอนนั้นจิตมันไปจับที่ท้องค่ะว่าฟู-แฟบ แล้วก็เห็นว่าร่างกายที่นอนอยู่นั้นไม่ได้เป็นร่างกายเราแต่เป็นเหมือนถุงลมฟูแล้วก็แฟบค่ะ ขณะที่เห็นก็เกิดตกใจค่ะ แต่มันแค่เป๊บเดียวนะคะ ชั่วพริบตาเดียวค่ะ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรค่ะ ก็ทำเหมือนเดิมค่ะภาวนาต่อค่ะพอมีอารมณ์อะไรมาก็รู้ไปค่ะ หลังจากนั้นก็อีกประมาณ 1 เดือนอีกค่ะ ตอนนั้นกำลังทาครีมทาหน้าค่ะ ก็ส่องกระจกอยู่ค่ะก็ไม่ได้คิดอะไรนะค่ะ แค่ภานาเหมือนเดิมค่ะ แล้วก็เห็นหน้าเราไม่ใช่หน้าเราค่ะ มันเป็นแบบ เป็นหน้านะคะแล้วก็มีช่องๆ ดูน่ากลัวมาก ก็ตกใจอีกค่ะ กลัวด้วยค่ะแต่ตอนเห็นก็แป๊บอีกค่ะ หลังจากนั้นภาวนาต่อค่ะทำเหมือนเดิมค่ะ ทีนี้กำลังจะนอนค่ะ ก็ภาวนาไปเหมือนเดิมจนกว่าจะหลับ ก็ไปเห็นอะไรบางอย่างเหมือนมีอะไรบอกไม่ถูกค่ะมันอยู่ข้างหน้า อ้อตอนนั้นนอนตะแคงอยู่ค่ะ แล้วก็เห็นว่ากายที่นอนตะแคงนั้นอยู่ตรงกลาง แล้วก็เหมือนมีเรา หรืออะไรไม่รู้ค่ะอยู่ข้างหลังค่ะ เห็นแค่แป๊บเดียวอีกอะค่ะ ก็ตกใจอีกค่ะ แล้วหลังจากนั้นก็เหมือนกับดูจิตดูใจตังเองไม่ค่อยเห็นค่ะ ตอนนี้ก็ยังพยายามภาวนาต่อค่ะแล้วก็ดูจิตดูใจต่อไปค่ะ แล้วก็ลองเดินจงกรม นั่งสมาธิบ้างค่ะ แต่รู้สึกว่าสมาธิมันกระจัดกระจายออกไปอยู่ข้างนอกค่ะ มันไม่ยอมเป็นสมาธินานค่ะ แต่ก็พยายามทำต่อไปเรื่อยๆค่ะ อยากถามคุณเดฟค่ะว่า ทำตรงไหนผิดมั้ยคะ แล้วควรทำอย่างไรต่อไปค่ะ รบกวนด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
     
  2. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:

    Re: ถามเรื่องการปฏิบัติค่ะคุณเดฟ


    อ่ะคับ การบริกรรมพุทโธ ก็เป็นเหมือนหลักให้จิตเกาะ
    สมาธิตั้งมั่นอยู่กับคำบริกรรม สลับไปกับการรับรู้อารมณ์ต่างๆ ด้วย
    ซึ่งก็ช่วยลดการซัดส่ายฟุ้งซ่านให้น้อยลง
    จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวขึ้น โดยมีคำบริกรรมเป็นเครื่องผูกไว้

    เมื่อจิตใจซัดส่ายน้อยลง มีสมาธิตั้งมั่นขึ้น
    สิ่งละเอียดที่เคยมองข้ามไป หรือไม่เคยพิจารณา ก็ปรากฏให้รับรู้ได้ดีขึ้น
    อย่างเช่น ท้องที่ฟู-แฟบเวลาหายใจ...น้อยคนที่จะสังเกต เพราะมัวแต่คิดเรื่องอื่นๆ
    แต่เมื่อสังเกตเห็นแล้ว ก็พิจารณาได้ว่าเป็นเหมือนเพียงถุงลมเท่านั้นเอง
    จึงคลายวางความยึดถือตัวตนลงได้ชั่วขณะ
    หรือไม่ว่าจะเห็นหน้าเราไม่ใช่เรา หรือตัวเราไม่ใช่เรา ฯลฯ
    ก็เป็นการที่เมื่อจิตมีสมาธิในระดับนึง
    ก็เกิดการน้อมคิดพิจารณาเป็นไปเพื่อการละคลายความยึดมั่น
    บางท่านถึงกับเห็นผู้คนเป็นโครงกระดูกเดินได้ปรากฏเป็นนิมิตน่ะคับ

    ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ก็เป็นการเจริญสมาธิได้ประการนึง
    เป็นไปเพื่อความสงบวางคลายเป็นขณะๆ ไป...ตามจริตของแต่ละบุคคล
    ส่วนเวลาที่นั่งสมาธิแล้วไม่ตั้งมั่นเท่าการบริกรรมในชีวิตประจำวัน
    ก็เพราะธรรมชาติของจิตเค้าย่อมซัดส่ายไปในอารมณ์ต่างๆ อยู่แล้ว
    ในชีวิตประจำวันเองเค้าก็ซัดส่ายไปมาตลอด
    เมื่อมีคำบริกรรมมาช่วยเป็นหลักไว้บ้าง...เค้าก็ซัดส่ายน้อยลง
    แต่พอมากดข่มไว้ให้ตั้งมั่นอยู่กับคำบริกรรมอย่างเดียวจริงๆ อย่างเวลานั่งสมาธิ
    เค้าก็พยายามจะแล่นไปหาอารมณ์ต่างๆ ตามธรรมชาติของเค้า...เหมือนลิงที่ไม่อยู่นิ่ง

    หากถูกจริตกับการเจริญสมาธิแบบนี้
    ก็ค่อยๆ ฝึกฝนไปทีละเล็กละน้อย วันละนิดละหน่อย แต่ประจำสม่ำเสมอ...ไม่ใจร้อน
    ก็จะค่อยๆ มั่นคงขึ้น นิ่งขึ้น อ่ะคับ
    ส่วนอาการแปลกๆ ต่างๆ ทั้งหลายที่ปรากฏก็ไม่ต้องแปลกใจนะคับ (ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น)

    ก็ขออนุโมทนากับความเพียรในการเจริญสมาธิด้วยนะคับ



    เดฟ

    ปล. หากมีเวลาก็ลองดูกระทู้ตามลิงค์ที่ให้นี้เพิ่มเติมนะคับ

    ทำใจให้ว่างเค้าทำกันยังไง
    http://www.watkoh.com/kratoo/forum_p...CA%C1%D2%B8%D4

    มีปัญหาในการนั่งสมาธิ ช่วยตอบข้อสงสัยด้วยครับ
    http://www.watkoh.com/kratoo/forum_p...CA%C1%D2%B8%D4

    การใช้คำบริกรรม
    http://www.watkoh.com/kratoo/forum_posts.asp?TID=3801

    เมื่อพุทโธหาย
    http://www.watkoh.com/kratoo/forum_posts.asp?TID=3626

    ถามวิธีกัมมัฏฐานครับ
    http://www.watkoh.com/kratoo/forum_posts.asp?TID=3644

    ความฟุ้งซ่าน
    http://www.watkoh.com/board/index.php?topic=3619.0

    นั่งแบบไหนเป็นสมถะ นั่งแบบไหนเป็นวิปัสสนา
    http://www.watkoh.com/board/index.php?topic=2121.0

    กำลังปฏิบัติภาวนา อยู่ก็รู้สึกว่า งง ครับ
    http://www.watkoh.com/board/index.php?topic=2569.0

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  3. rawang9999 said:

    Re: ถามเรื่องการปฏิบัติค่ะคุณเดฟ

    ขอบคุณมากค่ะ คุณเดฟ
     
  4. Ratchaneewan said:

    Re: ถามเรื่องการปฏิบัติค่ะคุณเดฟ

    อนุโมทนาในการปฏิบัติธรรมนะคะ

    พอดีเพิ่งเห็นกระทู้นี้ของคุณ rawang9999 เห็นแล้วก็ น่าสนใจทีเดียวค่ะ เพราะปรกติก็นั่งสมาธิไม่ค่อยสงบ แล้วก็จะเครียดๆแทน
    บริกรรมพุทโธในชีวิตประจำวันก็ไม่ค่อยได้เรื่อง ใจช่างฟุ้ง หลงไปคิดตลอด แต่ก็อาศัยการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน ฝึกทั้งสติและสมาธิ แล้วถ้ามีเวลาก็เดินจรงกรมในช่วงเย็นค่ะ.

    ก็คล้ายๆคุณ rawang9999 นะคะ บางครั้งเวลารู้สภาวะไปสักพัก มันก็แกว่งเป็นช่วงๆ ค่ะ มีเหตุกระทบ ก็แก่วงไปได้ บางช่วงก็สติดีสมาธิดี บางช่วงก็ฟุ้งมาก แต่เท่าที่ทำได้ก็ สภาวะอะไรเกิดขึ้นก็รู้ไปตามนั้นค่ะ ก็ปฏิบัติสม่ำเสมอค่ะ ค่อยๆเรียนรู้สภาวะที่เกิดขึ้นไปเรื่อยๆค่ะ

    ขอบคุณระวัง / อ.เดฟ ที่ให้ความรู้ค่ะ

    Pu
     
  5. tappa said:

    Re: ถามเรื่องการปฏิบัติค่ะคุณเดฟ

    สวัสดีครับผมเป็นสมาชิกใหม่ ที่มีความรู้เท่าหางอึ่งครับปกติผมจะตอบปัญหาที่เวปอีกเวปหนึ่งครับเข้ามาอ่านหลายครั้งแล้วน่าสนใจดีผมเลยขอสมัครเป็นสมาชิกด้วยครับความคิดของผมน่ะครับคือว่าอาการแบบนี้เขาเรียกว่าอาการแยกกายแยกจิต(ดีใจด้วยน่ะครับอาการแบบนี้แสดงว่าจิตเริ่มเป็นสมาธิแล้ว) คนเราจะประกอบด้วยกายและจิตซึ่งมันจะอยู่แยกกัน ผู้ที่ฝึกจนเกิดสมาธิจะเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้โดยจะรับรู้ถึงสภาวะการแยกกัน ข้อแนะนำน่ะครับคือการไม่เข้าไปยึดติดในกายคือให้รับรูว่านั่นน่ะกายไม่ใช้ของเราอย่ากลัวน่ะครับตั้งสติให้ดีแล้วนังดูอาการของกายมันเคลื่อนไหวมันก็ทำหน้าที่ของมันไปเราก็มีหน้าที่ดูมันไป เอาเป็นว่าหากภาวนาพุทโธก็ดูอาการของลมหายใจเข้าออก ดูอาการของหน้าอกที่มันเคลื่อน ดูท้องที่มันยุบพองเท่านี้ แต่ต้องให้ได้ทั้งวันน่ะโดยไม่ไปบังคับเขาน่ะ ลองทำดูน่ะ หากมีโอกาสผมจะมาตอบอีกน่ะครับ
     
  6. ninja45 said:

    Re: ถามเรื่องการปฏิบัติค่ะคุณเดฟ

    อนุโมทนา สาธุ ครับ

    ขออนุญาตร่วมแสดงความคิดเห็น ดังนี้

    นั่นคือ "สติ" ครับ
     
  7. Ratchaneewan said:

    Re: ถามเรื่องการปฏิบัติค่ะคุณเดฟ

    ก่อนอื่นตอบขอบคุณกระทู้ของคุณ rawang9999 มีประโยชน์ ให้ถามต่อ อิอิ
    ขอถามอ.เดฟ และ ทุกท่านค่ะ
    จากกระทู้ของคุณระวังขอถามต่ออีกนิดค่ะ คือ เมื่อตอนแรกอ.เดฟบอกว่า สภาวะที่คุณ rawang9999 เห็นเป็นผลจากการเจริญสมาธิ

    1. แต่มันต้องประกอบด้วยสติ หรือ ไม่คะ จึงจะเห็นสภาวะแบบนี้ได้ หรือ เพียงแค่ฝึกสมถะจิตสงบเป็นกุศลก็เห็นสภาวะแบบนี้ได้
    2. สัมมาสมาธิเกื้อกูลให้ สติ เกิดปัญญา ใช่มั้ยคะ คือ การเกิดสติ เกิดเมื่อจิตจำสภาวะได้ และ ทุกครั้งที่เกิดสติ ก็ประกอบด้วยสัมมาสมาธิเป็นขณะๆ แต่ ถ้าใจฟุ้งมากๆแม้เกิดสติขึ้นบาง สลับไปมา กำลังสมาธิก็ไม่พอให้ใจตั้งมั่น อยู่กับเนื้ออยู่กับตัว เป็นผู้รู้ผู้ดู
    จึงอาจต้องฝึก สมถะเพิ่มเพื่อ เกื้อกูลกัน....

    อันนี้ความรู้สึกส่วตัว อาจเห็นผิดก็ได้ค่ะ ยังงัยชี้แนะด้วยค่ะ

    การฝึกสติในชีวิตประจำวันเป็นสิ่งที่ดีมากๆ แต่ยังงัยก็ทิ้งสมาธิไม่ได้ มันมีผลต่อกัน ช่วงที่ทำสมถะ จิตใจจะสงบ สบาย แล้วก็เกิดสติได้ดีกว่า ฟุ้งมากๆ ..... ไปไหนต่อไม่ได้ เพราะขาดสัมมาสมาธิ....หรือไปหลงติดใจจะเอาแต่สมาธิไม่รู้ อิอิ



    Pu
     
  8. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:

    Re: ถามเรื่องการปฏิบัติค่ะคุณเดฟ


    ซ้าๆๆทุ
    อนุโมทนาคับ คุณปู

    ขออธิบายเพื่อให้เข้าใจในภาพรวมนะคับ


    1. ขณะใดที่เปนกุศลจิต ขณะนั้นย่อมประกอบด้วยสตินะคับ
    ซึ่งสติเองก็มีหลายขั้น เช่น สติที่ระลึกเป็นไปในทาน สติที่ระลึกเป็นไปในศีล
    หรือ แม้แต่ขณะที่กำลังนึกคิดเป็นไปในกุศล ละคลายจากอกุศล
    ก็ประกอบด้วยสติที่ระลึกเป็นไปในกุศล (มีวิตก วิจาร ที่ตรึกนึกเป็นไปในกุศลด้วย และสภาพธรรมอื่นๆ ประกอบกัน)
    ส่วนสติที่ระลึกรู้สภาพรูปธาตุ นามธาตุ ตามความเป็นจริงในปัจจุบันขณะ
    รู้ว่าเป็นเพียงสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ ที่ปรากฏแต่ละทวาร ไม่ใช่ตัวตนของตน สัตว์ บุคคล...นี้เป็นสติปัฏฐาน

    ขณะใดที่เป็นกุศลจิต นอกจากจะประกอบด้วยสติแล้ว
    ขณะนั้นก็ประกอบด้วยสมาธิอันเป็นสัมมาสมาธิเพราะประกอบกับกุศลจิต
    กุศลจิตที่เกิดในชีวิตประจำวันก็ชื่อว่า สมถะ คือ สงบจากอกุศล
    แต่ความสงบจากอกุศลนั้นก็ไม่ตั้งมั่นอยู่นาน
    เพราะจิตเกิดดับสลับกันอย่างไว มีอกุศลจิตเกิดแทรกคั่นได้ตลอด
    ไม่เหมือนอย่างเวลาที่เราเจริญสมถะ คือทำให้ความสงบนั้นตั่งมั่นคงต่อเนื่องกันไปนานๆ
    อย่างเวลานั่งสมาธิเป็นกุศลจิตตั้งมั่นคงขึ้น สงบระงับจากอกุศลได้ต่อเนื่องกันไปในระยะเวลานึงน่ะคับ


    2. ปัญญา คือสภาพที่รู้ถูก เห็นถูก เข้าใจถูก ไปจนถึงประจักษ์แจ้งในสภาพธรรมตามความเป็นจริง
    ซึ่งอยู่ๆ ปัญญาเกิดเองไม่ได้น่ะคับ แต่ต้องสั่งสมอบรมให้งอกงามขึ้นตามลำดับ
    สุตตมยปัญญา...ปัญญาจากการอ่าน ฟัง สนทนา
    จินตามยปัญญา...ปัญญาจากการพิจารณาไตร่ตรอง
    จึงเป็นพื้นฐานที่จะทำให้เกิดความเข้าใจถูก
    และเกิดการประพฤติปฏิบัติที่เข้าถึงการประจักษ์แจ้งแทงตลอดในสภาพธรรมของจริงที่ปรากฏ...เป็นภาวนามยปัญญา

    การที่จะอบรมปัญญาให้เจริญขึ้นได้เป็นอย่างดีนั้น
    ก็ต้องประกอบด้วยสมาธิ คือความตั้งมั่นในขณะที่อบรมสั่งสมปัญญา
    สมาธิ จึงชื่อว่าเป็นบาทหรือเป็นเหตุให้ปัญญาเจริญขึ้นได้ดีนั่นเองคับ
    แต่ไม่ใช่ว่า มีแต่สมาธิ แต่ไม่อบรมเจริญปัญญาเลย .... แบบนี้ปัญญาก็เกิดไม่ได้อ่ะนะคับ
    ส่วนสตินั้นก็ดังที่กล่าว ว่ามีหลายขั้น
    ซึ่งขณะที่เปนกุศลจิต ก็ย่อมประกอบด้วยสติ (ขั้นใดก็อีกเรื่องนึง)
    สติ มีสัญญาเป็นเหตุใกล้ให้เกิด
    คือ มีความจดจำไว้ได้ จึงเป็นเหตุให้สติเกิดระลึกได้น่ะคับ (ซึ่งเป็นไปในฝ่ายกุศล)

    ดังนั้น การเจริญกุศลธรรมจึงอาศัยเกื้อกูลกันทั้งสมาธิ สติ และปัญญา




    เดฟ

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  9. ninja45 said:

    Re: ถามเรื่องการปฏิบัติค่ะคุณเดฟ

    อ้างอิง โพสต์ต้นฉบับโดยคุณ Ratchaneewan

    1. แต่มันต้องประกอบด้วยสติ หรือ ไม่คะ จึงจะเห็นสภาวะแบบนี้ได้ หรือ เพียงแค่ฝึกสมถะจิตสงบเป็นกุศลก็เห็นสภาวะแบบนี้ได้
    2. สัมมาสมาธิเกื้อกูลให้ สติ เกิดปัญญา ใช่มั้ยคะ คือ การเกิดสติ เกิดเมื่อจิตจำสภาวะได้ และ ทุกครั้งที่เกิดสติ ก็ประกอบด้วยสัมมาสมาธิเป็นขณะๆ แต่ ถ้าใจฟุ้งมากๆแม้เกิดสติขึ้นบาง สลับไปมา กำลังสมาธิก็ไม่พอให้ใจตั้งมั่น อยู่กับเนื้ออยู่กับตัว เป็นผู้รู้ผู้ดู
    จึงอาจต้องฝึก สมถะเพิ่มเพื่อ เกื้อกูลกัน....



    Pu
    1. เป็น "สติ" ที่เห็นครับ - จิต, สติ, ความคิด(สมอง)

    2. สมถะสมาธิ สร้างกำลังให้จิต เมื่อจิตมีกำลัง จะเกิด"ผู้รู้" ปัญญาเกิดตรงนี้ครับ

    ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ "พุทโธ"(คำบริกรรม) ตลอดเวลา ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ถ้าปฏิบัติถูกทางจะไม่มีอารมณ์ใดๆ เข้ากระทบจิตได้เลยครับ (อาจไหวๆ เล็กๆ เร็วจนเฉยๆ นิ่งๆ)

    หลายคนปฏิบัติธรรมมาหลายปี อารมณ์ต่างๆ ยังรุนแรงอยู่เลยครับ หรือบางรายรุนแรงกว่าเดิมมากขึ้นเสียอีก ทั้งรัก ชอบ โกรธ โมโห เกลียด อยาก อิจฉา ริษยา หยิ่ง หลงตัวเอง ฯลฯ หวั่นไหวไปตามอารมณ์นะครับ

    อนุโมทนา สาธุ ครับ