อนิจจัง
คำปรารภ
มีพระฝรั่งองค์หนึ่งเป็นลูกศิษย์ของผม เมื่อเห็นพระไทยสามเณรไทยสึก ก็ "อุ๊ย เสียดาย ทำไมถึงทำอย่างนั้น ทำไมพระไทยเณรไทยถึงสึกกันนี่"
เขาตกใจ พากันตื่นเต้นในการสึกของพระไทยเณรไทย ก็เพราะมาพบใหม่ๆ เขาตั้งใจมีศรัทธามาบวชนี่มันดีแล้ว คิดว่าจะไม่สึกใครสึกก็โง่เท่านั้นแหละ มาเห็นพระไทยเณรไทยเข้าพรรษาก็บวชกัน ออกพรรษาแล้วก็สึก โอ๊ย สลดใจ ตกใจ "โอ้สงสารเน้อ สงสารพระไทย สงสารสามเณรไทย ทำไมถึงทำอย่างนั้น"
พอดีต่อมา พระฝรั่งก็อยากสึกบ้าง เลยเห็นเป็นของที่ไม่สำคัญตอนแรกมาพบใหม่ๆมันตื่นเต้น เห็นเป็นของสำคัญมาก การบวชนะนึกว่าจะทำเอาง่ายๆ เมื่อใจของคนกำลังมีศรัทธา มันพร้อมหมดทุกอย่าง คิดอะไรมันก็คิดดี คิดอะไรมันก็คิดถูกไปทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครตัดสิน คือตัดสินเอาเองนั่นแหละ ไม่รู้ว่าปฏิปทาของการปฏิบัติทางจิตใจนี่ท่านทำยังไง ท่านจะต้องมีรากฐานอันมั่นคงที่สุดภายในจิตของท่านแล้ว แต่ท่านก็ไม่พูดอะไรมาก
ความศรัทธา-ความเพียร
ส่วนผมบวชมาครั้งแรกไม่ได้ฝึกฝนหรอก แต่ว่ามันมีศรัทธามันจะเป็นเพราะกำเนิดก็ไม่รู้ พระเณรที่บวชพร้อมๆกัน ออกพรรษาแล้วก็สึก เรามองเห็นว่า "เอ้ ไอ้พวกนี้มันยังไงกันน้อ" แต่เราไม่กล้าพูดกับเขา เพราะเรายังไม่ไว้ใจความรู้สึกของเรา มันตื่นเต้น แต่ภายในจิตของเราก็ว่านี่มันโง่มาก บวชมันบวชยาก สึกมันสึกง่ายนี่มีบุญน้อยไม่มีบุญมาก เห็นทางโลกมันมีประโยชน์มากกว่าทางธรรมะ นี่เราก็เห็นไป แต่เราไม่พูด เราก็มองดูแต่ในจิตของตัวเอง
เห็นเพื่อนภิกษุที่บวชพร้อมๆกันสึกไปเรื่อยๆ บางทีก็เอาเครื่องแต่งตัวมาใส่เข้ามาเดิน เราเห็นมันเป็นบ้าหมดทุกกระเบียดเลย แต่เขาว่ามันดี สวย สึกแล้วจะต้องไปทำอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็มาเห็นอยู่ในใจของเรา ไม่กล้าพูดให้เพื่อนเขา ว่าคิดอย่างนั้นมันผิด ก็ไม่กล้าพูด เพราะว่าตัวเรามันยังเป็นของไม่แน่อยู่ ว่าศรัทธาของเรานี้มันยังจะยึดยาวไปถึงขนาดไหน อะไรๆก็ยังไม่กล้าจะพูดกับใครเลยพิจารณาแต่ในจิตของตนอยู่เรื่อยๆ
พอเพื่อนสึกไปแล้วก็ทอดอาลัย ไม่มีใครอยู่แล้วนะ ชักเอาหนังสือปาฏิโมกข์มาดูเลย ท่องปาติโมกข์สบาย ไม่มีใครมาล้อเลียนเล่นอะไรต่อไป ตั้งใจเลย แต่ก็ไม่พูดอะไร เพราะเห็นว่าการปฏิบัติตั้งแต่นี้ไปถึงชีวิตหาไม่ บางทีก็อายุ ๗๐ ก็มี ๘๐ ก็มี ๙๐ ก็มี จะพยายามปฏิบัติให้มันมีความนึกคิดเสมอ ไม่ให้คลายความเพียร ไม่ให้คลายศรัทธา จะให้มันสม่ำเสมออย่างนี้มันยากนัก จึงไม่กล้าพูด
คนที่มาบวชก็บวชไป ที่สึกก็สึกไป เราดูมาเรื่อยๆ อยู่ไปก็ไม่ว่าจะสึกก็ไม่ว่า ดูเพื่อนเขาไป แต่ความรู้สึกภายในจิตใจของเราว่าพวกนี้มันไม่เห็นชัด พระฝรั่งที่มาบวชคงเห็นอย่างงั้น เบื่อความเป็นอยู่ของพระภิกษุสามเณร เบื่อพรหมจรรย์ คลายความเพียรออกมาเรื่อยๆ ผลที่สุดก็สึก ทำไมสึกล่ะ แต่ก่อนเห็นพระไทยสึก แหมเสียดาย น่าสลดสังเวช น่าสงสาร ตัวเราสึกทำไมไม่สงสารตัวเราหรือนี่ ไม่พูด ยิ้มๆเท่านั้นแหละ ไม่พูด
เรื่องปฏิบัตินี้พูดง่ายแต่ทำยาก
เรื่องการปฏิบัติในจิตของตัวเองนี้นะ ไม่มีอะไรจะเป็นเครื่องตัดสินได้ง่ายๆ เพราะว่าพยานมันไม่มี เรื่องราวต่างๆมีคนอื่นเป็นพยาน มันมีแบบมันมีแผน เรายังอาศัยคนอื่นเป็นพยาน เรื่องเอาธรรมะเป็นพยานนั้น เราเป็นธรรมแล้วหรือยัง เราคิดอย่างนี้ถูกแล้วหรือยัง ถ้ามันถูกเราทิ้งความถูกได้หรือยัง หรือยึดความถูกอยู่
มันต้องคิด คิดไปถึงที่สุดว่ามันทิ้งนั่นแหละ จึงเป็นของสำคัญจนกว่าที่ว่าไม่เป็นอะไรทั้งนั้น โน่นก็ไม่เป็น นี่ก็ไม่เป็น ดีก็ไม่เป็นชั่วก็ไม่เป็น มันทิ้ง คือหมายความว่าให้มันหมดนั่นแหละ ถ้าอะไรมันหมด มันก็หมดไม่เหลือ ถ้าอะไรมันยังมีอยู่ มันก็ยังเหลืออยู่
ฉะนั้น เรื่องปฏิบัติในจิตของตนนี่ว่ามันง่ายหรอก มันพูดง่ายนะแต่ว่ามันทำยาก มันทำยาก ยากคือมันไม่ได้ตามปรารถนาของเราบางครั้งที่เราปฏิบัติไป มันก็มีด้วยนะ มันเป็นโชคเทวบุตรมาร เทวบุตรมารมันช่วย ให้ดูไปให้ถูก พูดไปให้ถูก อะไรๆมันถูกไปทั้งนั้นแหละ อันนั้นก็ดี อันนั้นก็ถูก ก็ไปยึดมั่นในความถูกนั้นอีก ผลสุดท้ายก็ผิดอีก ถลำไปอีก อันนี้มันเป็นของยากลำบาก ไม่มีอะไรจะวัดมัน
อย่ามีศรัทธาที่ปราศจากปัญญา
คนที่มีศรัทธามากๆ คือประกอบไปด้วยศรัทธา มันประกอบไปด้วยความเชื่อ มันอ่อนด้วยปัญญา สมาธิก็เก่ง แต่ว่าวิปัสสนาไม่มีมันเห็นไปหน้าเดียว เห็นไปรูปเดียว ก็เป็นไป คิดอะไรก็ไม่รู้ มันมีศรัทธา ในทางพระพุทธศาสนาท่านพูดตามตัวหนังสือ ท่านว่า ศรัทธาอธิโมกข์ มันมีศรัทธาก็จริง แต่ว่าศรัทธานี้มันปราศจากปัญญา แต่เราก็มองไม่เห็นในขณะนั้น เราก็นึกว่าปัญญาเราก็มี ยังงี้ มันก็เลยมองไม่เห็นความผิด
เพราะฉะนั้นท่านจึงตรัสกำลังทั้งห้าไว้ว่า ศรัทธา วิริยะ สติสมาธิ ปัญญา ศรัทธาคือความเชื่อ สติคือความระลึกได้ วิริยะคือความเพียร สมาธิคือความตั้งใจมั่น ปัญญาคือความรู้ทั่ว ปัญญาความรู้ทั่ว อย่าไปพูดแต่เพียงว่าปัญญาความรู้ ปัญญาความรอบรู้ทั่วถึง
ปราชญ์ท่านจัดธรรมทั้งห้าประการนี้เป็นตอนๆ เพื่อเราจะมองดูปริยัติที่เรียนแล้ว มาเปรียบเทียบกับขณะจิตของเราที่มันเป็นอยู่อย่างศรัทธา คือความเชื่อ เราเชื่อไหม เราเป็นอย่างนั้นแล้วหรือยังวิริยะเรามีเพียรแล้วหรือยัง ที่เราเพียรอยู่นี่มันถูกหรือผิด อันนี้เราต้องพิจารณา ใครก็เพียรกันหมดทั้งนั้นแหละ แต่ว่าเพียรนี้มันประกอบไปด้วยปัญญาหรือเปล่า สตินี่ก็เหมือนกัน แมวมันก็มีสติเห็นหนูขึ้นมา สติมาก็รู้ขึ้นมา ตามันจ้องดูของมัน นี่สติของแมว อะไรมันก็มีทุกอย่างละ สัตว์เดรัจฉานมันก็มี อันธพาลมันก็มี ปราชญ์ก็มีสมาธิความมุ่งมั่น ความตั้งใจมั่น อันนี้มันก็มีอีกแหละ แมวมันก็มีมันมั่นที่จะตะครุบหนูกิน นี่ ความมุ่งมั่นของมันมี สตินั้นก็เรียกว่าสติเหมือนกัน สมาธิความตั้งใจมั่นว่าจะทำอย่างนั้น มันก็มีอยู่ ปัญญาความรู้มันก็มี แต่ว่ามันไม่รอบรู้เหมือนมนุษย์ มันรู้อย่างสัตว์ มีปัญญาเพื่อจะตะครุบหนูกินเป็นอาหาร ธรรมทั้งห้าประการนี้ ท่านเรียกว่า กำลังสิ่งทั้งห้าประการนี้เกิดมาด้วยสัมมาทิฏฐิหรือเปล่าศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา นี่เกิดมาจากสัมมาทิฏฐิหรือเปล่าสัมมาทิฏฐินี้เป็นอย่างไร อะไรเป็นเครื่องตัดสินว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ อันนี้เราต้องรู้ชัด
สัมมาทิฏฐิ : ความเห็นที่ถูกต้อง
สัมมาทิฏฐิ คือความเข้าใจว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นของไม่แน่นอน ฉะนั้นพระอริยเจ้าและพระพุทธเจ้าท่านจึงไม่ให้ยึดมั่น ท่านไม่ได้ยึดมั่น ท่านยึดไม่ให้มั่น ไม่ใช่ท่านยึดมั่น ยึดไม่ให้มั่น คือยึดไม่ให้มันเป็นภพ ตัวยึดที่ไม่ได้เป็นภพคือไม่มีตัณหาเข้าไปปะปน มันไม่ต้องเป็นนั้นไม่ต้องเป็นนี้ นี่ มันหมดมันสิ้นในการกระทำอย่างนั้น เมื่อมันยึดมาแล้ว มันยินดีไหม มันยินร้ายไหม เมื่อมันยินดีแล้ว มันยึดในความดีนั้นไหม มันยึดในความร้ายนั้นไหม
ทิฏฐิคือความเห็น หลักที่จะเป็นที่วัดให้เรารอบรู้พอสมควรเพื่อเราจะเรียนรู้ เพื่อเราจะพิจารณาก็มีอยู่เหมือนกัน เช่นความเห็นที่ว่าเราดีกว่าเขา เห็นว่าเราเสมอเขา เห็นว่าเราโง่กว่าเขา นี่เป็นความเห็นอันผิดทั้งนั้น แต่ท่านก็เห็น ท่านเห็นแล้ว ท่านก็รู้ด้วยปัญญา เกิดขึ้นแล้วมันก็ดับของมันไป เห็นว่าตัวนี้มันโง่กว่าเขาก็ไม่ใช่ ความเห็นซึ่งเป็นสัมมาทิฏฐินี่มันตัดต้นตัดปลายไปหมดเลย มันจะไปตรงไหนเห็นว่าเราดีกว่าเพื่อน เราก็ทะนงตัว มันก็มีอยู่ในนั้นแหละ แต่มันยังไม่รู้จัก เห็นว่าเราดีเสมอกับเพื่อน มันก็เสมอกันเท่านั้น เห็นว่าเราเลวกว่าเขานั่น เราก็ตกใจ คิดอาภัพอับจน มันก็อุปาทานขันธ์ห้า มันเป็นภพชาติทั้งนั้นแหละ นี่เป็นเครื่องตัดสิน
อย่าพึงตัดสินด้วยความอยาก
อีกอย่างหนึ่ง เช่น เราได้อารมณ์ที่ดี เราถึงดีใจ อารมณ์ที่ไม่ดีเราก็เสียใจ เราวัดดูไหมว่า อารมณ์ที่ดีเราถึงดีใจ อารมณ์ที่ไม่ดีเราก็เสียใจ เราวัดดูไหมว่า อารมณ์ที่เราไม่ชอบกับอารมณ์ที่เราชอบนั้น มันมีราคาเท่ากัน นี่ให้เอาไปวัดดูซี่ ที่เราอยู่ทุกวันนี้ อารมณ์ที่เราอาศัยอยู่นี้นะ เราได้ยินอารมณ์ที่ชอบใจแล้วใจเราเปลี่ยนไหม เมื่อกระทบอารมณ์ที่ไม่พอใจแล้วมันเปลี่ยนไหม หรือมันคงที่ ดูตรงนี้ก็ได้เป็นพยานอันหนึ่งนะ แต่ว่าให้รู้ตัวของตัวนะ อันนี้เป็นพยานของเรา อย่าพึงไปให้มันตัดสินด้วยความอยาก บางทีมันก็เสริมขึ้นไปให้เราเป็นอย่างนั้นก็ได้ ต้องระวัง
มันมีหลายแง่หลายมุมเหลือเกินที่เราจะต้องพิจารณา แต่ว่าในทางที่ถูกต้องมันก็เรียกว่าไม่ใช่กามตัณหา ไม่ใช่ตามตัณหา ไม่ใช่ตามความอยาก มันเป็นความจริง ท่านให้รู้ทั้งดีทั้งชั่ว เมื่อรู้แล้วท่านก็ให้ละทั้งดีทั้งชั่ว ถ้าไม่ละมันก็ยังอยู่ เป็นอยู่ มีอยู่ ถ้ามีอยู่มันก็เหลืออยู่ มันมีภพอยู่ มันมีชาติอยู่อย่างนี้
พึงตัดสินตัวเอง อย่าตัดสินผู้อื่น
ฉะนั้นพระพุทธองค์ท่านจึงให้ตัดสินเอาเฉพาะตัวเอง อย่าพึงไปตัดสินให้คนอื่นเลย จะดีจะร้ายประการใด ท่านก็พูดให้ฟังเท่านั้นแหละ นี่เรื่องความจริงมันเป็นอยู่อย่างนี้ จิตใจของเราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เช่นว่ามีพระองค์หนึ่งไปจับเอาของเขา ทีนี้คนอื่นก็ว่า "ท่านขโมยของผม" "ผมไม่ได้ขโมย ผมเอาเฉยๆ" ให้พระ ก. ตัดสิน จะตัดสินอย่างไร ก็ไปถามพระนั้นมาเป็นพยานในที่สงฆ์ "ผมเอาจริงครับแต่ผมไม่ได้ขโมย" อย่างเรื่องอาบัติสังฆาทิเสส อาบัติปาราชิกเป็นต้น "ผมทำอย่างนั้นอยู่ แต่ผมไม่มีเจตนา" ใครจะไปฟังได้อย่างนั้น มันก็ยาก ถ้าฟังไม่ได้ก็ทิ้งให้เจ้าของเดิม เอาไว้ตรงนั้นแหละ
อย่าคาดเอา อย่าคะเนเอา อย่าเดาเอา
แต่ว่าให้เข้าใจว่า อะไรที่มันเกิดมีในใจของเรานั้นนะ เรื่องปิดไม่อยู่ทั้งนั้นแหละ เรื่องมันจะผิดมันก็ปิดไม่ได้ เรื่องมันจะถูกมันก็ปิดไม่ได้ เรื่องมันจะดีก็ปิดไม่ได้ จะชั่วมันก็ปิดของมันไม่ได้ คือมันเปิดมันเอง มันปิดมันเอง มันมีมันเอง เป็นมันเอง มันเป็นอัตโนมัติอยู่ทุกอย่างละ มันเป็นเรื่องอย่างนี้ อย่าคาดเอา อย่าคะเนเอา อย่าเดาเอา
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ อะไรมันเป็นอวิชชามันไม่หมด องคมนตรีเคยถามอาตมา "หลวงพ่อพระอนาคามีนะ จิตเป็นประภัสสรหรือเปล่า?
"เป็นบ้าง"
"เอ้า พระอนาคามีท่านละกามได้แล้ว ทำไมจิตไม่เป็นประภัสสร?
"ท่านละกามได้ แต่ว่ามีเหลืออยู่ใช่ไหม อวิชชาโมหะเหลืออยู่อะไรที่มันเหลืออยู่ นั่นแหละ มันยังมีอยู่"
ก็เหมือนบาตรของเรานั่นแหละ บาตรขนาดใหญ่อย่างใหญ่บาตรขนาดใหญ่อย่างกลาง บาตรขนาดใหญ่อย่างเล็ก บาตรขนาดกลางอย่างใหญ่ บาตรขนาดกลางอย่างกลาง บาตรขนาดกลางอย่างเล็ก บาตรขนาดเล็กอย่างใหญ่ บาตรขนาดเล็กอย่างกลาง บาตรขนาดเล็กอย่างเล็ก มันจะเล็กเท่าไรก็ช่างมันเถอะ ยังมีบาตรอยู่ นี่มันเป็นเสียอย่างนั้น อย่างว่า โสดา สกิทาคา อนาคา ละกิเลสได้แล้วนั้น แต่ว่ามันหมดแต่แค่นั้นนะ สิ่งที่ยังเหลืออยู่พวกนั้นมองไม่เห็น ถ้าอย่างนั้นก็เป็นพระอรหันต์หมดเท่านั้นแหละ มันมองไม่เห็น อวิชชานี่มันมองไม่เห็นอยู่นั้นแหละ ถ้าหากว่าจิตพระอนาคามีเรียบหมดแล้วก็ไม่ใช่อนาคา มันก็หมดสิ อันนี้มันยังเป็นอยู่ จิตเป็นประภัสสรไหม?ก็เป็นมั่ง แต่มันไม่ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ จะให้เราตอบยังไงล่ะ ท่านว่าวันหลังจะมาเรียนใหม่ เรียนก็เรียนซิ หลักมันมีอยู่แล้ว
ระวัง! จิตมันจะอวดดีขึ้นในจิต
อันนี้ก็เหมือนกัน อย่าไปประมาท ระวัง องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราให้ระวัง อันนี้พูดถึงเรื่องปฏิบัติ เรื่องจิตของเรา อาตมาก็เคยซวดเซมาหลายครั้งเหมือนกัน บางทีอยากจะทดลองหลายๆอย่างเหมือนกัน แต่แล้วมันไม่ถูกทางทั้งนั้นแหละ คือมันอวดดับอวดดีขึ้นในจิต มันเป็นมานะอันหนึ่ง ทิฏฐิความเห็น มานะความยึดไว้ มันมีอยู่นี่ พูดแต่เท่านี้มันก็ยังดูยากเหมือนกัน
นี่อาตมาเคยพูดให้ฟัง โยมอะไรที่มาบวชเป็นหลวงตา หอบผ้าไตรจีวรมาแล้ว จะมาบวชหน้าศพของโยมแม่ ได้ผ้าไตรจีวรก็หอบเข้ามาในวัด ยังไม่ไปกราบพระ พอวางไตรจีวรก็เดินจงกลมเลย เดินอยู่หน้าศาลานั่นแหละ เดินกลับไปกลับมา เดินอย่างเอาจริงเอาจัง "เอ..คนอย่างนี้มันก็มีนะ" นี่คือศรัทธาอธิโมกข์ เขาคิดว่าจะเอาให้ตะวันไม่ทันตก จะให้สำเร็จ ก็ไม่รู้ นึกว่ามันง่ายนะ เราก็ปล่อยให้เขาเล่นอยู่นั่นละ ไม่ต้องมองใครละ เดินเอาจริงเอาจังอย่างนั้น เรามองเห็น โอ้โอย มนุษย์เอ้ย มันคิดว่าจะง่ายๆอย่างนั้นเหรอ พอดีให้อยู่ไปกี่วันก็ไม่รู้ ดูเหมือนไม่ได้บวชหรือบวชก็ไม่รู้ มันจะเป็นอะไรอย่างนั้น
อ่านต่อหน้าต่อไปค่ะ **************************