ความรักพระอานนท์ ของนางโกกิลา

กระทู้: ความรักพระอานนท์ ของนางโกกิลา

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. รูปส่วนตัว Butsaya

    Butsaya said:

    ความรักพระอานนท์ ของนางโกกิลา


    เสียงบรรยายเรื่อง... ความรักพระอานนท์ ของนางโกกิลา





    คลิกเพื่อดาวน์โหลด ความรักพระอานนท์ ของนางโกกิลา
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดย Butsaya : 06-01-2012 เมื่อ 04:49 PM

    ธรรมมีทุกหย่อมหญ้า.......สำหรับผู้มีปัญญา
     
  2. รูปส่วนตัว Butsaya

    Butsaya said:

    Re: ความรักพระอานนท์ ของนางโกกิลา

    ความรักพระอานนท์ ของนางโกกิลา

    นอกจากมีเมตตากรุณา หวั่นใจในความทุกข์ยากของผู้อื่นแล้ว
    พระอานนท์ยังเป็นผู้สุภาพอ่อนอย่างยิ่งอีกด้วย ความสุภาพ
    อ่อนโยนและลักษณะอันน่ารัก มีรูปงาม ผิวพรรณดีนี่เองได้เคย
    คล้องเอาดวงใจน้อย ๆ ของสตรีผู้หนึ่งให้หลงใหลใฝ่ฝัน โดยที่
    ท่านมิได้มีเจตนาเลย เรื่องเป็นดังนี้
    คราวหนึ่ง ท่านเดินทางจากที่ไกลมาสู่วัดเชตวัน อากาศซึ่ง
    ร้อนอบอ้าวในเวลาเที่ยงวัน ทำให้ท่านมีเหงื่อโซมกาย และรู้สึก
    กระหายน้ำ พอดีเดินมาใกล้บ่อน้ำแห่งหนึ่ง เห็นนางทาสีกำลังตักน้ำ
    ท่านจึงกล่าวขึ้นว่า

    "น้องหญิง อาตมาเดินทางมาจากที่ไกล รู้สึกกระหายน้ำ
    ถ้าไม่เป็นการรบกวน อาตมาของบิณฑบาตน้ำจากท่านดื่มพอแก้กระหายด้วยเถิด"
    นางทาสีได้ยินเสียงอันสุภาพอ่อนโยนจึงเงยหน้าขึ้นดู นางตะลึง
    อยู่ครู่หนึ่ง แล้วถอยออกห่างท่านสองสามก้าวพลางกล่าวว่า

    "พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าถวายน้ำแก่ท่านมิได้ดอก ท่านไม่ควรดื่มน้ำ
    จากมืออันต่ำช้าของข้าพเจ้า ท่านเป็นวรรณะกษัตริย์ ข้าพเจ้าเป็น
    เพียงนางทาสี"

    "อย่าคิดอย่างนั้นเลย น้องหญิง! อาตมาไม่มีวรรณะแล้ว อาตมา
    เป็นสมณศากบุตร อาตมามิได้เป็นกษัตริย์ พราหมณ์ ไวศยะ ศูทร หรือ
    จัณฑาล อย่างใดอย่างหนึ่ง อาตมาเป็นมนุษย์เหมือนน้องหญิงนี่แหละ"

    "ข้าพเจ้าเกรงแต่จะเป็นมลทินแก่พระคุณเจ้าและเป็นบาปแก่ข้าพเจ้าที่ถวายน้ำ
    การที่ท่านจะรับของจากมือของคนต่างวรรณะ และ โดยเฉพาะวรรณะที่ต่ำอย่างข้าพเจ้าด้วยแล้ว
    ข้าพเจ้าไม่สบายใจเลย ความจริงข้าพเจ้ามิได้หวงน้ำดอก" นางยังคงยืนกรานอยู่อย่างเดิม
    ขณะพูดมีเสียงสั่นน้อย ๆ

    "น้องหญิง มลทินและบาปจะมีแก่ผู้มีเมตตากรุณาไม่ได้
    มลทินย่อมมีแก่ผู้ประกอบกรรมชั่ว บาปย่อไม่มีแก่ผู้ไม่สุจริต
    การที่อาตมาขอน้ำ และน้องหญิงจะให้น้ำนั้น เป็นธรรม
    ธรรมย่อมปลดเปลื้องบาปและมลทิน เหมือนน้ำสะอาดชำระสิ่งสกปรก

    ฉะนั้นน้องหญิง บัญญัติของพราหมณ์เรื่องบาปและมลทิน
    อันเกี่ยวกับวรรณะนั้นเป็นบัญญัติที่ไม่ยุติธรรม
    เป็นการแบ่งแยกมนุษย์ให้เหินห่างจากมนุษย์ เป็นการเหยียดหยาม
    มนุษย์ด้วยกัน เรื่องนี้อาตมาไม่มีแล้ว อาตมาเป็นสมณศากยบุตร
    สาวกของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ไม่มีวรรณะ
    เพราะฉะนั้น ถ้าน้องหญิงต้องการจะให้น้ำก็จงเทลงในบาตรนี้เถิด"

    ธรรมมีทุกหย่อมหญ้า.......สำหรับผู้มีปัญญา
     
  3. รูปส่วนตัว Butsaya

    Butsaya said:

    Re: ความรักพระอานนท์ ของนางโกกิลา

    นางรู้สึกประทับใจในคำพูดของพระอานนท์ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตของนางที่ได้ยินคำอันระรื่นหู
    จากชนซึ่งสมมติเรียกกันว่า "ชั้นสูง" มืออันเรียวงานสั่นน้อย ๆ ของนางค่อย ๆ ประจงเทน้ำในหม้อลง
    ในบาตรของท่านอานนท์ ในขณะนั้นนางนั่งคุกเข่า พระอานนท์ยืนโน้มตัวลงรับน้ำจากนาง แล้วดื่มด้วยความกระหาย
    นางช้อนสายตาขึ้นมองดูพระอานนท์ซึ่งกำลังดื่มน้ำ ด้วยความรู้สึกปีติซาบซ่าน แล้วยิ้มอย่างเอียงอาย

    "ขอให้มีความสุขเถิด น้องหญิง" เสียงอันไพเราะจากพระอานนท์ หน้าของท่านยิ่งแจ่มใสขึ้น
    เมื่อได้ดื่มน้ำระงับความกระหายแล้ว
    "พระคุณเจ้าดื่มอีกหน่อยเถิด" นางพูดพลางเอียงหม้อน้ำในท่าจะถวาย
    "พอแล้วน้องหญิง ขอให้มีความสุขเถิด"
    "พระคุณเจ้า ทำอย่างไรข้าพเจ้าจึงจะทราบนามของพระคุณเจ้าพอเป็นมงคลแก่โสต
    และความรู้สึกของข้าพเจ้าบ้าง" นางพูดแล้วก้มหน้าด้วยความขวยอาย
    "น้องหญิง ไม่เป็นไรดอก น้องหญิงเคยได้ยินชื่อพระอานนท์ อนุชาของพระพุทธเจ้าหรือไม่"
    "เคยได้ยิน พระคุณเจ้า"
    "เคยเห็นท่านไหม ?"
    "ไม่เคยเลย พระคุณเจ้า เพราะข้าพเจ้าทำงานอยู่เฉพาะในบ้าน
    และมาตักน้ำที่นี่ ไม่มีโอกาสไปที่ใดเลย"
    “เวลานี้ น้องหญิงกำลังสนทนากับพระอานนท์อยู่แล้ว”
    นางมีอาการตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วแววแห่งปีติค่อยๆ ฉายออกมาทางดวงหน้าและแววตา
    “พระคุณเจ้า” นางพูดด้วยเสียงสั่นน้อย ๆ
    “เป็นมงคลแก่โสตและดวงตาของข้าพเจ้ายิ่งนักที่ได้ฟังเสียงของท่าน
    และได้เห็นท่านผู้มีศีล ผู้มีเกียรติศัพท์ระบือไปไกล
    ข้าพเจ้าเพิ่งได้เห็นและได้สนทนากับท่านโดยมิรู้มาก่อน
    นับเป็นบุญอันประเสริฐของข้าพเจ้ายิ่งแล้ว”
    แลแล้วพระอานนท์ก็ลานางทาสีเดินมุ่งหน้าสู่วัดเชตวัน อันเป็นที่ประทับของพระศาสดา
    เมื่อท่านเดินมาได้หน่อยหนึ่ง ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินตามมาข้างหลัง ท่านเหลียวดู
    ปรากฏว่าเป็นนางทาสีที่ถวายน้ำนั่นเองเดินตามมา ท่านเข้าใจว่าบ้านของนางคงจะอยู่ทางเดียวกับที่ท่านเดินมา
    จึงมิได้สงสัยอะไรและเดินมาเรื่อย ๆ จนจวนจะ

    ถึงซุ้มประตูไม่มีทางแยกไปที่อื่นอีกแล้วนอกจากทางเข้าสู่วัด ท่าน
    เหลียวมาเห็นนางทาสีเดินตามมาอย่างกระชั้นชิด นัยน์ตาก็จ้องมองดู
    ท่านตลอดเวลา ท่านหยุดอยู่ครู่หนึ่ง พอนางเข้ามาใกล้ท่านจึงกล่าวว่า
    “น้องหญิง เธอจะไปไหน ?”
    “จะเข้าไปวัดเชตวันนี่แหละ” นางตอบ
    “เธอจะเข้าไปทำไม ?”
    “ไปหาพระคุณเจ้า สนทนากับพระคุณเจ้า”
    “อย่าเลยน้องหญิง เธอไม่ควรจะเข้าไป ที่นั่นเป็นที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์
    เธอไม่มีธุระอะไร อย่าเข้าไปเลย เธอกลับบ้านเสียเถิด”
    “ข้าพเจ้าไม่กลับ ข้าพเจ้ารักท่าน ข้าพเจ้าไม่เคยพบใครดีเท่าพระคุณเจ้าเลย”
    “น้องหญิง พระศาสดาตรัสว่าปกติของคนเราอาจจะรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน
    และต้องอยู่ร่วมกันนาน ๆ ต้องมีโยนิโสมนสิการ และต้องมี
    ปัญญา จึงจะรู้ว่าคนนั้นคนนี้มีปกติอย่างไร คือดีหรือไม่ดี
    ที่น้องหญิงพบเราเพียงครู่เดียวจะตัดสินได้อย่างไรว่าอาตมาเป็นคนดี
    อาตมาอาจจะเอาชื่อท่านอานนท์มาหลอกเธอก็ได้
    อย่าเข้ามาเลยกลับเสียเถิด”
    “พระคุณเจ้าจะเป็นใครก็ช่างเถิด” นางคงพร่ำต่อไป มือหนึ่งถือ
    หม้อน้ำซึ่งบัดนี้นางได้เทน้ำออกหมดแล้ว “ข้าพเจ้ารักท่านซึ่งข้าพเจ้า
    สนทนาอยู่ด้วยเวลานี้”
    “น้องหญิง ความรักเป็นเรื่องร้ายมิใช่เป็นเรื่องดี
    พระศาสดาตรัสว่าความรักเป็นเหตุให้เกิดทุกข์โศก และทรมานใจ
    เธอชอบความทุกข์หรือ ?”
    “ข้าพเจ้าไม่ชอบความทุกข์เลยพระคุณเจ้า
    และความทุกข์นั้นใคร ๆ ก็ไม่ชอบ แต่ข้าพเจ้าชอบความรัก
    โดยเฉพาะรักพระคุณเจ้า”
    “จะเป็นไปได้อย่างไร น้องหญิง! ในเมื่อทำเหตุก็ต้องได้รับผล
    การที่จะให้มีรักแล้วมิให้มีทุกข์ติดตามมานั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
    เป็นไปไม่ได้เลย”
    “แต่ข้าพเจ้ามีความสุข เมื่อได้เห็นพระคุณเจ้า ได้สนทนากับ
    พระคุณเจ้าผู้เป็นที่รักอย่างยิ่งของข้าพเจ้า รักอย่างสุดหัวใจเลยทีเดียว”
    “ถ้าไม่ได้เห็นอาตมา ไม่ได้สนทนากับอาตมา น้องหญิงจะมีความทุกข์ไหม ?”

    ธรรมมีทุกหย่อมหญ้า.......สำหรับผู้มีปัญญา
     
  4. รูปส่วนตัว Butsaya

    Butsaya said:

    Re: ความรักพระอานนท์ ของนางโกกิลา

    “แน่นอนเลยทีเดียว ข้าพเจ้าจะต้องมีความทุกข์อย่างมาก”
    “นั่นแปลว่าความรักเป็นเหตุให้เกิดทุกข์แล้วใช่ไหม ?”
    “ไม่ใช่พระคุณเจ้า นั่นเป็นเพราะการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก
    ต่างหากเล่า ไม่ใช่เพราะความรัก”
    “ถ้าไม่มีรัก การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักจะมีได้หรือไม่ ?”
    “มีไม่ได้เลย พระคุณเจ้า”
    “นี่แปลว่าน้องหญิงยอมรับแล้วใช่ไหม ว่าความรักเป็นสาเหตุชั้นที่หนึ่งที่จะให้เกิดทุกข์”
    พระอานนท์พูดจบแล้วยิ้มน้อย ๆ ด้วยรู้สึกว่ามีชัย แต่ใครเล่าจะ
    เอาชนะความปรารถนาของหญิงได้ง่าย ๆ ลงจะเอาอะไรก็จะเอาให้ได้
    เพราะธรรมชาติของเธอมักจะใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ถ้าผู้หญิงคน
    ใดใช้เหตุผลในการตัดสินปัญหาชีวิตหรือในการดำเนินชีวิต หญิงคน
    นั้นจะเป็นสตรีที่ดีที่สุดและน่ารักที่สุด เหตุผลที่กล่าวนี้มิใช่มากมาย
    อะไรเลย เพียงไม่ถึงกึ่งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้แม้นางจะมองเห็นเหตุผล
    ของพระอานนท์ว่าคมคายอยู่ แต่นางก็หายอมไม่ นางกล่าวต่อไปว่า
    “พระคุณเจ้า ความรักที่เป็นเหตุให้เกดทุกข์ดังที่พระคุณเจ้ากล่าวมานั้น เห็นจะเป็นความรักของคนที่รักไม่เป็นเสียละกระมัง
    คนที่รักเป็นย่อมรักได้โดยมิให้เป็นทุกข์”
    “น้องหญิงเคยรักหรือ หมายถึงเคยรักใครคนใดคนหนึ่งมาบ้างหรือไม่ในชีวิตที่ผ่านมา”
    “ไม่เคยมาก่อนเลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรก และคงจะเป็นครั้งสุดท้ายอีกด้วย”
    “เมื่อไม่เคยมาเลย ทำไมเธอจึงจะรักให้เป็นโดยมิต้องเป็นทุกข์เล่าน้องหญิง คนที่จับไฟนั้นจะจับเป็นหรือจับไม่เป็น จะรู้หรือไม่รู้
    ถ้าลงได้จับไฟด้วยมือแล้วย่อมร้อนเหมือนกันใช่ไหม ?”
    “ใช่ พระคุณเจ้า”
    “ความรักก็เหมือนการจับไฟนั่นแหละ
    ทางที่จะไม่ให้มือพองเพราะไฟเผามีอยู่ทางเดียว คืออย่าจับไฟ อย่าเล่นกับไฟทางที่จะปลอดภัยจากรักก็ฉันนั้น มีอยู่ทางเดียวคืออย่ารัก”
    “พระคุณเจ้าจะว่าอย่างไรก็ตามเถิด แต่ข้าพเจ้าหักรักจากพระคุณ
    เจ้ามิได้เสียแล้ว แม้พระคุณเจ้าจะไม่ปรานีข้าพเจ้าเยี่ยงคนรัก
    ก็ขอให้พระคุณเจ้ารับข้าพเจ้าไว้ในฐานะผู้ซื่อสัตย์
    ข้าพเจ้าจักปฏิบัติพระคุณเจ้า บำรุงพระคุณเจ้าเพื่อความสุขของท่านและของข้าพเจ้าด้วย”
    “น้องหญิง ประโยชน์อะไรที่เธอจะมารักคนอย่างอาตมา
    อาตมารักพระศาสดาและพรหมจรรย์หมดหัวใจเสียแล้ว ไม่มีหัวใจไว้รักอะไรได้อีก แม้เธอจะขอสมัครอยู่ในฐานะเป็นทาสก็ไม่ได้
    พระศาสดาทรงห้ามมิให้ภิกษุในพระศาสนามีทาสไว้ใช้
    ยิ่งเธอเป็นทาสหญิงด้วยแล้วยิ่งเป็นการผิดมากขึ้น
    แม้จะเป็นศิษย์คอยปฏิบัติก็ไม่ควรจะเป็นที่ตำหนิของวิญญูชน
    เป็นทางแห่งความเสื่อมเสีย
    อาตมาเห็นใจน้องหญิง แต่จะรับไว้ในฐานะใดฐานะหนึ่งไม่ได้ทั้งนั้นกลับเสียเถิดน้องหญิง
    พระศาสดาหรือภิกษุสามเณรเห็นเข้าจะตำหนิอาตมาได้ นี่ก็จวนจะถึงพระคันธกุฎีแล้ว อย่าเข้ามานะ”
    พระอานนท์ยกมือขึ้นห้ามในขณะที่นางทาสีจะก้าวตามท่านเข้าไป
    พระผู้มีพระภาคทรงสดับเสียงเถียงกันระหว่างพระอานนท์กับสตรี จึงตรัสถามมาจากภายในพระคันธกุฎีว่า
    “อะไรกันอานนท์”
    “ผู้หญิงพระเจ้าข้า เขาจะตามข้าพระองค์เข้ามายังวิหาร”
    “ให้เขาเข้ามาเถอะ พามานี่ มาหาตถาคต” พระศาสดาตรัส
    พระอานนท์พานางทาสีเข้าเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่ง
    อยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งพระผู้มีพระภาคมีพระวาจาว่า “อานนท์
    เรื่องราวเป็นมาอย่างไร ทำไมเขาจึงตามเธอมาถึงนี่ ?” เมื่อพระ
    อานนท์ทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า
    “ภคินี เธอรักใคร่พอใจในอานนท์หรือ ?”
    “พระเจ้าข้า” นางทาสียกมือแค่อกรับตามเป็นจริง
    “เธอรักอะไรในอานนท์ ?”
    “ข้าพระพุทธเจ้ารักนัยน์ตาพระอานนท์ พระเจ้าข้า”
    “นัยน์ตานั้นประกอบขึ้นด้วยเส้นประสาทและเนื้ออ่อน
    ต้องหมั่นเช็ดสิ่งสกปรกในดวงตาอยู่เป็นนิตย์
    มีขี้ตาไหลออกจากนัยน์ตาอยู่เสมอ
    ครั้นแก่ลงก็จักฝ้าฟางขุ่นมัวไม่แจ่มใส
    อย่างนี้เธอยังรักนัยน์ตาของอานนท์อยู่หรือ ?”
    “ถ้าอย่างนั้น ข้าพระองค์รักหูของพระอานนท์ พระเจ้าข้า”
    “ภคินี หูนั้นประกอบด้วยเส้นเอ็นและเนื้อ ภายในช่องหูมีของ
    โสโครกเป็นอันมาก มีกลิ่นเหม็นต้องแคะไค้อยู่เสมอ ครั้นชราลงก็หนวกจะฟังเสียงอะไรก็ไม่ถนัดหรืออาจไม่ได้ยินเลย
    ดังนี้แล้ว เธอยังจะรักอยู่หรือ ?”
    นางเอียงอายเล็กน้อย แล้วตอบเลี่ยงต่อไปว่า

    ธรรมมีทุกหย่อมหญ้า.......สำหรับผู้มีปัญญา
     
  5. รูปส่วนตัว Butsaya

    Butsaya said:

    Re: ความรักพระอานนท์ ของนางโกกิลา

    “ถ้าอย่างนั้นข้าพระองค์รักจมูกอันโด่งงามของพระอานนท์ พระเจ้าข้า”
    “ภคินี จมูกนั้นประกอบขึ้นด้วยกระดูกอ่อนที่มีโพรง
    ภายในมีน้ำมูกและเส้นขนกับของโสโครกมีกลิ่นเหม็นเป็นก้อน ๆ
    อย่างนี้เธอยังจะรักอยู่อีกหรือ ?”
    ไม่ว่านางจะตอบเลี่ยงไปอย่างไร พระพุทธองค์ก็ทรงชี้แจงให้
    พิจารณาเห็นความเป็นจริงของร่างกายอันสกปรกเปื่อยเน่านี้ ในที่สุด
    นางก็นั่งก้มหน้านิ่ง พระพุทธองค์ตรัสว่า
    “ภคินีเอย อันว่าร่างกายนี้สะสมไว้แต่ของสกปรกโสโครก
    มีสิ่งปฏิกูลไหลออกจากทวารทั้ง 9 มีช่องหู ช่องจมูก เป็นต้น
    เป็นที่อาศัยแห่งสัตว์เล็กสัตว์น้อย เป็นป่าช้าแห่งซากสัตว์นานาชนิด
    เป็นรังแห่งโรค เป็นที่เก็บมูตรและกรีส
    อุปมาเหมือนถุงหนังซึ่งบรรจุเอาสิ่งโสโครกต่าง ๆ เข้าไว้ และซึมออกมาเสมอ ๆ
    เจ้าของกายจึงต้องชำระล้างขัดถูวันละหลาย ๆ ครั้ง
    เมื่อเว้นจากการชำระล้างแม้เพียงวันเดียวหรือสองวันกลิ่นเหม็นก็ปรากฏเป็นที่รังเกียจเป็นของน่าขยะแขยง
    ภคินี ร่างกายนี้เป็นเหมือนเรือนซึ่งสร้างด้วยโครงกระดูก
    มีหนังและเลือดเป็นเครื่องฉาบทา ที่มองเห็นเปล่งปลั่งผุดผาดนั้น เป็นเพียงผิวหนังเท่านั้น
    เหมือนมองเห็นความงามแห่งหีบศพ อันวิจิตรตระการตา
    ผู้ไม่รู้ก็ติดในหีบศพนั้น แต่ผู้รู้เมื่อทราบว่าเป็นหีบศพ
    แม้ภายนอกจะวิจิตรตระการตาเพียงไร
    ก็หาพอใจยินดีไม่เพราะทราบชัดว่าภายในแห่งหีบอันสวยงามนั้นมีสิ่งปฏิกูลพึงรังเกียจ”
    แม้พระศาสดาตรัสอยู่อย่างนี้ ความรักของเธอที่มีต่อพระอานนท์
    ก็หาลดลงไม่ บางคราวแสงสว่างฉายวูปเข้ามาสู่หทัยของนาง จะทำ
    ให้นางมองเห็นความเป็นจริงตามพระศาสดาตรัสก็ตาม
    แต่มันมีน้อยเกินไป ไม่สามารถจะข่มความเสน่หาที่เธอมีต่อพระอานนท์เสียได้
    เหมือนน้ำน้อยไม่พอที่จะดับไฟโดยสิ้นเชิง ไฟคือราคะในจิตใจของนางก็ฉันนั้น
    คุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา นางคิดว่าจะทำไฉน
    หนอจักสามารถอยู่ใกล้พระอานนท์ได้ เมื่อไม่ทราบจะทำประการใด
    จึงทูลลาพระศาสดาและพระอานนท์กลับบ้าน
    ก่อนกลับนางไม่ลืมที่จะชำเลืองมองพระอานนท์ด้วยความเสน่หา
    เนื่องจากมาเสียเวลาในวัดเชตวันเสียนาน นางจึงกลับไปถึงบ้านเอาจวนค่ำ
    นางรู้สึกตะครั่นตะครอทั้งกายและใจ เกรงว่าระหว่างที่นางหายไปนานนั้นนายอาจจะเรียกใช้
    เมื่อไม่พบนางคงถูกลงโทษอย่างหนักอย่างที่เคยถูกมาแล้ว อนิจจา!
    ชีวิตของคนทาส ช่างไม่มีอิสระและความสุขเสียเลย
    เป็นการบังเอิญอย่างยิ่งปรากฏว่า ตลอดเวลาที่นางหายไปนั้น
    นายมิได้เรียกใช้เลย ผิดจากวันก่อน ๆ นี่เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
    นอกจากพุทธานุภาพ โอ! พุทธานุภาพ ช่างน่าอัศจรรย์อะไรเช่นนั้น
    คืนนั้นนางนอนกระวนกระวายอยู่ตลอดคืน จะข่มตาให้หลับสัก
    เท่าใดก็หาสำเร็จไม่ พอเคลิ้ม ๆ นางต้องผวาตื่นขึ้นด้วยภาพแห่งพระ
    อานนท์ ปรากฏทางประสาทที่ 6 หรือมโนทวาร นางนอนภาวนาชื่อ
    ของพระอานนท์เมหือนนามเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธคุณก็คอย
    ไหลวนเวียนเข้ามาสู่ความสำนึกอันลึกซึ้ง นางคิดว่าภายใต้พุทธฉายา
    น่าจะมีความสงบเย็นและบริสุทธิ์น่าพึงใจเป็นแน่แท้ แต่จะทำอย่างไร
    หนอจึงจะประสบความสงบเย็นเช่นนั้น
    เสียงไก่โห่อยู่ไม่นาน ท้องฟ้าก็เริ่มสาง ลมพัดเย็นตอนรุ่งอรุณ
    พัดแผ่วเข้ามาทางช่องหน้าต่าง นางสลัดผ้าห่มออกจากกาย ลุกขึ้น
    เพื่อเตรียมอาหารไว้สำหรับนาย นางภาวนาอยู่ในใจว่าเช้านี้ขอให้พระ
    อานนท์บิณฑบาตผ่านมาทางนี้เถิด
    แสงแดดในเวลาเช้าให้ความชุ่มชื่นพอสบาย นางเสร็จธุระอย่าง
    อื่นแล้ว ออกมายืนเหม่ออยู่หน้าบ้าน มองไปเบื้องหน้าเห็นภิกษุณีรูป
    หนึ่ง มีบาตรในมือ เดินผ่านบ้างของนางไป ทันใดนั้นความคิดก็แวบ
    เข้ามา ทำให้นางดีใจจนเนื้อเต้น ภิกษุณี! โอ! ภิกษุณี เราบวชเป็น
    ภิกษุณีซิ จะได้อยู่ในบริเวณวัดเชตะวันกับภิกษุทั้งหลายและคงมีโอกาสได้อยู่ใกล้
    และพบเห็นพระคุณเจ้าอันเป็นที่รักของเราเป็นแน่แท้
    นางลานายไปเฝ้าพระศาสดา และทูลขอบรรพชาอุปสมบทใน
    พระพุทธศาสนา พระศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยแห่งนางแล้ว ประทาน
    อนุญาตให้อุปสมบทอยู่ ณ สำนักแห่งภิกษุณีในวัดเชตวันนั่นเอง
    เมื่อบวชแล้วภิกษุณีรูปใหม่ก็ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนท่องบ่นพระ
    ธรรมวินัย ตั้งใจประพฤติปฏิบัติด้วยดี สำรวมอยู่ในสิกขาบทปาฏิโมกข์
    มีสิกขาและอาชีพเสมอด้วยภิกษุณีทั้งหลาย เป็นที่รักใคร่ชอบพอของ
    ภิกษุณีอื่น ๆ ทั้งนี้เพราะนางเป็นผู้เสงี่ยมเจียมตนและพอใจในวิเวกอีกด้วย
    ถึงกระนั้นก็ตาม ทุกเวลาบ่ายเมื่อนางได้เห็นพระอานนท์ ขณะ
    ให้โอวาทแก่ภิกษุณีบริษัท ความรัญจวนใจก็ยังเกิดขึ้นรบกวนนางอยู่มิ
    เว้นวาย จะพยายามข่มด้วยอสุภกรรมฐานสักเท่าใดก็หาสงบราบคาบ
    อย่างภิกษุณีอื่น ๆ ไม่

    ธรรมมีทุกหย่อมหญ้า.......สำหรับผู้มีปัญญา
     
  6. รูปส่วนตัว Butsaya

    Butsaya said:

    Re: ความรักพระอานนท์ ของนางโกกิลา

    คราวหนึ่งนางได้ฟังโอวาทจากพระศาสดาเรื่องกิเลส 3 ประการ
    คือ ราคะ โทสะ โมหะ พระพุทธองค์ตรัสว่า
    “กิเลสทั้งสามประการนี้ย่อมเผาบุคคลผู้ยอมอยู่ใต้อำนาจของมัน
    ให้รุ่มร้อนกระวนกระวายเหมือนไฟเผาไหม้ท่อนไม้และแกลบให้แห้งเกรียม
    ข้อแตกต่างแห่งกิเลสทั้งสามประการนี้ก็คือ ราคะนั้นมีโทษน้อยแต่คลายช้า
    โทสะมีโทษมากแต่คลายเร็ว โมหะมีโทษมากด้วยคล้ายช้าด้วยบุคคลซึ่งออกบวชแล้วประพฤติตนเป็นผู้ไม่มีเรือนเรียกว่า ได้ชัก
    กายออกจากกามราคะ แต่ถ้าใจยังหมกมุ่นพัวพันอยู่ในกาม ก็หา
    สำเร็จประโยชน์แห่งการบวชไม่ คือเขาไม่สามารถจะทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบได้ อุปมาเหมือนไม้สดชุ่มด้วยยาง แม้จะวางอยู่บนบก
    บุคคลต้องการไฟก็ไม่อาจนำมาสีให้เกิดไฟได้
    เพราะฉะนั้น ภิกษุ ภิกษุณีผู้ชักกายออกจากกามแล้ว
    ควรพยายามชักใจออกจากกามความเพลิดเพลินหลงใหลเสียด้วย”
    นางได้ฟังพระพุทธภาษิตนี้แล้ว ให้รู้สึกละอายใจตนเองสุด
    ประมาณ ที่นางเข้ามาบวชก็มิได้มุ่งหมายเพื่อกำจัดทุกข์ให้สูญสิ้น
    หรือเพื่อทำลายกองตัณหาอะไรเลย แต่เพื่อให้มาอยู่ใกล้คนอันเป็นที่
    รัก คิดดูแล้วเหมือนนำน้ำมันมาวางไว้ใกล้เพลิง มันมีแต่จะลุกเป็นไฟ
    กองมหึมาขึ้นสักวันหนึ่ง
    เมื่อปรารภดังนี้ นางยิ่งกระวนกระวายใจมากขึ้น พระอานนท์หรือ
    ก็ไม่เคยทักทายปราศรัยเป็นส่วนตัวเลย การได้เห็นคนอันเป็นที่รักเป็น
    ความสุขก็จริง แต่มันเล็กน้อยเกินไป เมื่อนำมาเทียบกับความทรมาน
    ในขณะที่ต้องจากอยู่โดดเดี่ยวและว้าเหว่กาสาวพัสตร์เป็นกำแพง
    เหมือนมหึมาที่คอยกันมิให้ความรักเดินถึงกัน ถึงกระนั้นก็ยังมีภิกษุ
    และภิกษุณีบางท่านกระโดดข้ามกำแพงนี้ ล่วงละเมิดสิกขาบทวินัย
    ของพุทธองค์จนได้ นางคิดมาถึงเรื่องนี้แล้วเสียวสันหลังวาบเหมือน
    ถูกก้อนหิมะอันเยือกเย็นโดยไม่รู้สึกตัวมาก่อน
    นางพยายามสะกดใจมิให้คิดถึงพระอานนท์ พยายามท่องบ่น
    สาธยายพระธรรมวินัย แต่ทุกขณะจิตที่ว่างลง ดวงใจของนางก็จะคร่ำ
    ครวญรำพันถึงพระอานนท์อีก นางรู้สึกปวดศรีษะและวิงเวียน เพราะ
    ความคิดหมกมุ่นสับสน นี่เองกระมังที่พระอานนท์พูดไว้แต่แรกที่พบ
    กันว่าความรักเป็นความร้าย
    วันหนึ่ง นางชวนเพื่อนภิกษุณีรูปหนึ่งไปหาพระอานนท์ พระ
    อานนท์เป็นผู้มีอัธยาศัยงามจึงต้อนรับนางด้วยเมตตาธรรม นางรู้สึกชุ่มชื่นขึ้นบ้างเหมือนข้าวกล้าที่จวนจะแห้งเกรียมเพราะขาดน้ำชุ่มชื่นขึ้น
    เพราะฝนผิดฤดูกาลหลั่งลงมา แต่เมื่อนางจะลากลับนั่นเอง พระ
    อานนท์พูดว่า
    “น้องหญิง ต่อไปเมื่อไม่มีธุระอะไรก็อย่ามาอีก
    ถ้ามีความสงสัยเกี่ยวกับข้อธรรมวินัยอันใด
    ก็ให้ถามเมื่ออาตมาไปสู่สำนักภิกษุณีเพื่อให้โอวาท”
    คืนนั้นเองนางนอนร้องไห้ตลอดคืน น้อยใจเสียใจและเจ็บใจตนเอง
    “พระอานนท์หรือก็ช่างใจไม้ไส้ระกำเสียเต็มประดา
    จะเห็นแก่ความรักของเราบ้างก็ไม่มีเลย”
    นางยิ่งคิดยิ่งช้ำและน้อยใจ
    ภิกษุณีผู้พักอยู่ ณ ที่ใกล้ได้ยินเสียงสะอื้นในยามดึก จึงลุกมาหาด้วยความเป็นห่วง ถามนางว่า
    “โกกิลา มีเรื่องอะไรหรือ ?”
    “อ้อ ไม่มีอะไรหรอก สุมิตรา ข้าพเจ้าฝันร้ายไป รู้สึกตกใจมากเลยร้องไห้ออกมา
    ขอบใจมาก ที่ท่านเป็นห่วงข้าพเจ้า”
    นางตอบฝืนสีหน้าให้ชุ่มชื่นขึ้น
    “พระศาสดาสอนว่าให้เจริญเมตตา แล้วจะไม่ฝันร้าย
    ท่านเจริญเมตตาหรือเปล่าก่อนนอนน่ะ” ภิกษุณีสุมิตราถามอย่างกันเอง
    “อือ เมื่อเจริญเมตตาแล้วจะไม่ฝันร้ายอย่างนั้นหรือ ?”
    “ใช่”
    “ก่อนนอนคืนนี้ ข้าพเจ้าลืมไป ท่านกลับไปนอนเถิด ข้าพเจ้าขอภัยด้วยที่ร้องไห้ดังไปจนท่านตื่น”
    เมื่อภิกษุณีสุมิตรากลับไปแล้ว ภิกษุณีโกกิลาก็คิดถึงชีวิตของ
    ตัว ชีวิตของนางเต็มไปด้วยความเป็นทาส เมื่อก่อนบวชก็เป็นทาสทาง
    กาย พอปลีกจากทาสทางกายมาได้ก็มาตกเป็นทาสทางใจเข้าอีก
    แน่นอนทีเดียว ผู้ใดตกอยู่ในความรัก ดวงใจผู้นั้นย่อมเป็นทาส ทาส
    ของความรัก ทาสรักนั้น จะไม่มีใครสามารถช่วยปลดปล่อยได้
    นอกจากเจ้าของดวงใจจะปลดปล่อยเอง
    นางหลับไปด้วยความอ่อนเพลียเมื่อจวนจะรุ่งสางอยู่แล้ว
    กับโกกิลาภิกษุณี
    ในที่สุดเมื่อเห็นว่าจะสะกดใจไว้ไม่อยู่แน่แล้ว นางจึงตัดสินใจลาพระศาสดา
    พระอานนท์ และเพื่อนภิกษุณีอื่น ๆ จากวัดเชตวันเมืองสาวัตถี
    มุ่งหน้าสู่โฆสิตาราม เมืองโกสัมพี ด้วยคิดว่า "การอยู่ห่างอาจจะเป็นยารักษาโรคได้บ้างกระมัง"

    ธรรมมีทุกหย่อมหญ้า.......สำหรับผู้มีปัญญา
     
  7. รูปส่วนตัว Butsaya

    Butsaya said:

    Re: ความรักพระอานนท์ ของนางโกกิลา

    นางจากเชตวันด้วยความอาลัยอาวรณ์เป็นยิ่ง
    อุปมาเหมือนมารดาต้องจำใจจากบุตรสุดที่รักของตัวฉันใดก็ฉันนั้น
    นางอยู่จำพรรษา ณ โฆสิตารามซึ่งโฆสิตมหาเศรษฐีสร้างถวายพระพุทธองค์
    สามเดือนที่อยู่ห่างพระอานนท์ ดวงจิตของนางผ่องแผ้ว
    แจ่มใสขึ้น การท่องบ่นสาธยายและการบำเพ็ญสมณธรรมก็ดีขึ้นตาม
    ไปด้วย นางคิดว่าคราวนี้คงตัดอาลัยในพระอานนท์ได้เป็นแน่แท้
    แต่ความรักย่อมมีวงจรของมัน จนกว่ารักนั้นจะสิ้นสุดลง
    ชีวิตมักจะเป็นอย่างนี้เสมอ เมื่อใครคนหนึ่งพยายามดิ้นรนหาความรัก
    เขามักจะไม่สมปรารถนา แต่พอเขาทำท่าจะหนี ความรักก็ตามมา
    ความรักจึงมีลักษณะคล้ายเงา เมื่อบุคคลวิ่งตามมันจะวิ่งหนี
    แต่เมื่อเขาวิ่งหนี มันจะวิ่งตาม
    ด้วยกฎอันนี้กระมัง เมื่อนางหนีรักออกจากเชตวันและมาสงบอยู่ ณ กรุงโกสัมพีนี้
    เมื่อออกพรรษาแล้ว ข่าวการเสด็จสู่กรุงโกสัมพีของ
    พระผู้มีพระภาคก็แพร่สะพัดมา ซึ่งเป็นการแน่นอนว่าพระอานนท์จะต้องตามเสด็จมาด้วย
    ชาวโกสัมพีทราบข่าวนี้ด้วยความชื่นชมโสมนัส
    ภิกษุสงฆ์ต่างจัดแจงปัดกวาดเสนาสนะ เตรียมพระคันธกุฎีที่ประทับของพระศาสดา
    พระเจ้าอุเทนเองซึ่งไม่ค่อยจะสนพระทัยในทางธรรม
    นักก็อดที่จะทรงปรีดาปราโมชมิได้ เพราะถือกันว่าพระศาสดาเสด็จไป
    ณ ที่ใด ย่อมนำความสงบสุขและมงคลไปสู่ที่นั้นด้วย
    การสนทนาเรื่องการเสด็จมาของพระศาสดา มีอยู่ทุกหัวระแหงแห่งกรุงโกสัมพี
    ศาสดาคณาจารย์เจ้าลัทธิต่าง ๆ ก็เตรียมผูกปัญหาเพื่อทูลถาม บางท่านก็เตรียมถามเพื่อให้พระศาสดาจนในปัญหาของ
    ตนเองบางท่านก็เตรียมถามเพื่อความรู้ความเข้าใจจริง
    และบางท่านก็เตรียมถามเพียงเพื่อเทียบเคียงความคิดเห็นเท่านั้น
    หมู่ภิกษุสงฆ์ปีติปราโมชเป็นอันมาก เพราะการเสด็จมาของพระศาสดา
    ย่อหมายถึงการได้ยินได้ฟังมธุรภาษิตจากพระองค์ด้วย
    และบางท่านอาจจะได้บรรลุคุณวิเศษเบื้องสูง เพราะธรรมเทศนานั้นพระ
    ใครจะทราบบ้างเล่าว่า ดวงใจของโกกิลาภิกษุณีจะเป็นประการใด
    เมื่อบ่ายวันหนึ่งเพื่อนภิกษุณีนำข่าวมาบอกนางว่า
    "นี่ โกกิลา ท่านทราบไหมว่าพระศาสดาจะเสด็จมาถึงนี่เร็ว ๆ นี้ ?"
    "อย่างนั้นหรือ ?" นางมีอาการตื่นเต้นเต็มที่ "เสด็จมาองค์เดียวหรืออย่าไร ?"
    "ไม่องค์เดียวหรอก ใคร ๆ ก็รู้ว่าเมื่อพระศาสดาเสด็จมา
    จะต้องมีพระเถระผู้ใหญ่มาด้วย หรืออาจจะมาสมทบทีหลังก็ได้
    แต่ท่านที่ต้องตามเสด็จแน่คือ พระอานนท์พุทธอนุชา"
    "พระอานนท์!" นางอุทาน พร้อมด้วยเอามือทาบอก
    "ทำไมหรือ โกกิลา ดูท่านตื่นเต้นมากเหลือเกิน ?"
    ภิกษุณีรูปนั้นถามอย่างสงสัย
    "เปล่าดอก ข้าพเจ้าดีใจที่จะได้เผ้าพระศาสดา และฟังพระธรรมเทศนาของพระองค์ดีใจจนควบคุมตัวไม่ได้"
    นางตอบเลี่ยง
    "ใคร ๆ เขาก็ดีใจกันทั้งนั้นแหละโกกิลา
    คราวนี้เราคงได้ฟังธรรมกถาอันลึกซึ้ง และได้ฟังมธุรภาษิตของพระมหาเถระเช่นพระสารีบุตร และพระมหากัสสป หรือพระอานนท์เป็นต้น"
    ภิกษุณีรูปนั้นกล่าว
    วันที่รอคอยก็มาถึง พระศาสดามีพระภิกษุสงฆ์อรหันต์หมู่ใหญ่
    แวดล้อมเสด็จ ถึงกรุงโกสัมพี พระราชาธิบดีอุเทน และเสนามหา
    อำมาตย์ พ่อค้าพระชาชน สมณพราหมณจารย์ ถวายการต้อนรับอย่าง
    มโหฬารยิ่ง ก่อนถึงซุ้มประตูโฆสิตารามประมาณกึ่งโยชน์
    มีประชาชนจำนวนแสนคอยรับเสด็จ มรรคาดารดาษไปด้วยกลีบดอกไม้นานาพันธุ์หลากสี
    ที่ประชาชนนำมาโปรยปรายเพื่อเป็นพุทธบูชา
    ในบริเวณอารามก่อนเสด็จถึงพระคันธกุฎี มีภิกษุณีจำนวนมากรอรับเสด็จ
    ทุกท่านมีแววแห่งปีติปราโมช ถวายบังคมพระศาสดาด้วย
    ความเคารพอันสูงสุด พระอานนท์ตามเสด็จพระพุทธองค์ด้วยกิริยาที่
    งดงามมองดูน่าเลื่อมใส ทุกคนต่างชื่นชมพระศาสดาและพระอานนท์
    และผู้ที่ชื่นชมในพระอานนท์เป็นพิเศษ ก็เห็นจะเป็นโกกิลาภิกษุณีนั่นเอง
    ทันใดที่นางได้เห็นพระอานนท์ ความรักซึ่งสงบตัวอยู่ก็ฟุ้งขึ้นมาอีก
    คราวนี้ดูเหมือนจะรุนแรงยิ่งกว่าคราวก่อน เพราะเป็นเวลาสามเดือน
    แล้วที่นางมิได้เห็นพระอานนท์ ความรักที่ทำท่าจะสงบลงนั้น
    มันเป็นเหมือนติณชาติซึ่งถูกลิดรอน ณ เบื้องปลาย เมื่อขึ้นใหม่ย่อม
    ขึ้นได้สวยกว่า มากกว่า และแผ่ขยายโตกว่า ฉะนั้น นางรีบกลับสู่ห้องของตน
    บัดนี้ ใจของนางเริ่มปั่นปวนรวนเรอีกแล้ว จริงทีเดียว ใน
    จักรวาลนี้ไม่มีไฟอะไรร้อนแรงและดับยากเท่าไฟรัก ความรักเป็นความ
    เรียกร้องของหัวใจ มนุษย์เราทำอะไรลงไปเพราะเหตุเพียงสองอย่าง
    เท่านั้น คือเพราะหน้าที่อย่างหนึ่ง และเพราะความเรียกร้องของหัวใจ
    อีกอย่างหนึ่ง ประการแรก แม้จะทำสำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง มนุษย์ก็ไม่ค่อยจะเดือดร้อนเท่าใดนัก

    ธรรมมีทุกหย่อมหญ้า.......สำหรับผู้มีปัญญา
     
  8. รูปส่วนตัว Butsaya

    Butsaya said:

    Re: ความรักพระอานนท์ ของนางโกกิลา

    เพราะคนส่วนมากหาได้รักหน้าที่เท่ากับความสุขส่วนตัวไม่
    แต่สิ่งที่หัวใจเรียกร้องนี่ซิ ถ้าไม่สำเร็จ หรือไม่สามารถสนองได้
    หัวใจจะร่ำร้องอยู่ตลอดเวลา มันจะทรมานไปจนกว่าจะหมดฤทธิ์ของมันหรือมนุษย์ผู้นั้นตายจากไป
    โกกิลาภิกษุณีกำลังต่อสู้กับสิ่งสองอย่างนี้อย่างน่าสงสาร หน้าทีของนางคือการทำลายความรักความใคร่
    บันนี้นางเป็นภิกษุณี มิใช่หญิงชาวบ้านธรรมดา นางจึงต้องพยายามกำจัดความรักความใคร่ระหว่างเพศให้หมดไป
    แต่หัวใจของนางกำลังเรียกร้องหาความรัก หน้าที่กับความเรียกร้องของหัวใจอย่างไหนจะแพ้ จะชนะ
    ก็แล้วแต่ความเข้มแข็งของอำนาจฝ่ายสูงหรือฝ่ายต่ำผู้หญิงนั้นลงได้ทุ่มเทความรักให้แก่ใครแล้ว
    ก็มั่นคงเหนียวแน่นยิ่งนัก ยากที่จะไถ่ถอน และความรักที่ไม่มีทางสมปรารถนาเลยนั้น
    เป็นความปวดร้าวอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิง ดวงใจของเธอจะระบมบ่มหนองในที่สุดก็แตกสลายลงด้วยความชอกช้ำนั้น อนิจจา! โกกิลา
    แม้เธอจะรู้ว่าความรักของเธอไม่มีทางจะสมปรารถนาได้เลยแต่เธอก็ยังรัก สุดที่จะหักห้ามและไถ่ถอนได้
    อีกคืนหนึ่งที่นางต้องกระวนกระวายรัญจวนจิตถึงพระอานนท์ นอนพลิกไปพลิกมา นัยน์ตาเหม่อลอยอย่างไร้จุดหมาย นาน ๆ
    จึงจะจับนิ่งอยู่ที่เพดานหรือขอบหน้าต่าง นางรู้สึกว้าเหว่เหมือนอยู่ท่ามกลางป่าลึกเพียงคนเดียว
    ทำไมนางจึงว้าเหว่ ในเมื่อคืนนั้นเป็นคืนแรกที่พระศาสดาเสด็จมาถึง
    ราชามหาอำมาตย์และพ่อค้าคหบดีมากหลายมาเฝ้าพระผู้มีพระภาค
    เหมือนสายน้ำที่หลั่งไหลอยู่มิได้ขาดระยะ มันเป็นเรื่องของผู้หญิงที่ผู้ชายน้อยคนนักจะเข้าใจและเห็นใจภิกษุณีโกกิลาถอนสะอื้นเบา ๆ
    เมื่อเร่าร้อนและกลัดกลุ้มถึงที่สุด น้ำตาเท่านั้นที่จะช่วยบรรเทาความระทมขมขื่นลงได้บ้างเพื่อนที่ดีในยามทุกข์สำหรับผู้หญิงก็คือน้ำตา
    ดูเหมือนจะไม่มีอะไรอีกแล้วจะเป็นเครื่องปลอดประโลมใจได้เท่าน้ำตาแม้มันจะหลั่งไหลจากขั้วหัวใจ แต่มันก็ช่วยบรรเทาความอึดอัดลงได้บ้าง
    เนื่องจากผู้หญิงถือว่าชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของความรัก
    ตรงกันข้ามกับผู้ชายซึ่งมันจะเห็นว่าความรักเป็นเพียงบางส่วนของชีวิตเท่านั้น เมื่อเกิดความรักผู้หญิงจึงทุ่มเททั้งชีวิตและจิตใจให้แก่ความรักนั้น
    ทุ่มเทอย่างยอมเป็นทาส โกกิลาเป็นผู้หญิงคนหนึ่งในโลก
    เธอจะหลีกเลี่ยงความจริงในชีวิตหญิงไปได้อย่างไร พระดำรัสของพระศาสดาซึ่งทรงแสดงแก่พุทธบริษัทเมื่อสายัณห์ ยังคงแว่วอยู่ในโสตของนาง
    พระองค์ตรัสว่า "ไม่ควรปล่อยตนให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งความรัก เพราะการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักเป็นเรื่องทรมาน
    แลเรื่องที่จะบังคับมิให้พลัดพรากก็เป็นสิ่งสุดวิสัย ทุกคนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง"
    พระพุทธดำรัสนี้ช่างเป็นความจริงเสียนี่กระไร แต่เธอจะพยายามหักห้ามใจมิให้คิดถึงพระอานนท์สักเท่าใดก็หาสำเร็จไม่
    เธอตกเป็นทาสแห่งความรักแล้วอย่างหมดสิ้นหัวใจ รุ่งขึ้นเวลาบ่ายนางเที่ยวเดินชมโน่นชมนี่ในบริเวณโฆสิตาราม
    เพื่อบรรเทาความกระวนกระวายกลัดกลุ้มรุ่นร้อน เธอเดินมาหยุดยืนอยู่ริมสระซึ่งมีบัวบานสะพรั่ง
    รอบ ๆ สระมีม้านั่งทำด้วยไม้และมีพนักพิงอย่างสบาย เธอชอบมานั่งเล่นบริเวณสระนี้เสมอ ๆ
    ดูดอกบัว ดูแมลงซึ่งบินวนไปเวียนมาอยู่กลางสระ ลมพัดเฉื่อยฉิวหอบเอากลิ่นดอกบัวและกลิ่นน้ำคละเคล้ากันมา
    ทำให้นางมีความแช่มชื่นขึ้นบ้าง ธรรมชาติเป็นสิ่งมีคุณค่าต่อชีวิตเสมอ มันเป็นเพื่อนที่ดีทั้งยามสุขและยามทุกข์
    ชีวิตที่อยู่กับธรรมชาติมักจะเป็นชีวิตที่ชื่นสุขเบาสบาย ยิ่งมนุษย์ทอดทิ้งห่างเหินจากธรรมชาติมากเท่าใด
    เขาก็ยิ่งห่างความสุขออกไปทุกทีมากเท่านั้น
    ขณะที่นางกำลังเพลินอยู่กับธรรมชาติอันสวยงาม และดูเหมือนความรุ่มร้อนจะลดลงได้บ้างนั้นเอง
    นางได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินอยู่เบื้องหลังทันทีที่นางเหลียวไปดูภาพ ณ เบื้องหน้านางเข้ามาทำลายความสงบราบเรียบเสียโดยพลัน
    พระอานนท์และโฆสิตมหาเศรษฐีเจ้าของอารามนั่นเอง นางรู้สึกตะครั่นตะครอ มือและริมฝีปากนางเริ่มสั้นน้อย ๆ เหมือนคนเริ่มจะจับไข้
    เมื่อพระอานนท์เข้ามาใกล้
    นางถอยหลังไปนิดหนึ่งโดยมิได้สำนึกว่าเบื้องหลังของนาง ณ บัดนี้คือสระน้ำบังเอิญเท้าข้างหนึ่งของเธอเหยียบดินแข็งก้อนหนึ่ง
    เธอเสียหลักและล้มลง พระอานนท์และโฆสิตมหาเศรษฐีตกตะลึงจังงังยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นศิลา สักครู่หนึ่งจึงได้สติ
    แต่ไม่ทราบจะช่วยเธอประการใด เธอเป็นภิกษุณีอันใคร ๆ จะถูกต้องมิได้ อย่าพูดถึงพระอานนท์เลย
    แม้โฆสิตมหาเศรษฐีเองก็ไม่กล้ายื่นมือประคองนางให้ลุกขึ้นนางพยายามช่วยตัวเองจนสามารถลุกขึ้นมาสำเร็จ
    แล้วคุกเข่าลงเบื้องหน้าพระอานนท์ ก้มหน้านิ่งด้วยความละอาย "น้องหญิง" เสียงทุ้ม ๆ นุ่มนวลของพระอานนท์ปรากฏแก่โสตของนางเหมือนแว่วมาตามสายลมจากที่ไกล "อาตมาขออภัยด้วยที่ทำให้เธอตกใจและลำบาก เธอเจ็บบ้างไหม ?" เสียงเรียบ ๆ แต่แฝงไว้ด้วยความห่วงใยของพระอานนท์
    ได้เป็นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจนางให้ชื่นบาน
    อะไรเล่าจะเป็นความชื่นใจของสตรีมากเท่ารู้สึกว่า ชายที่ตนพะวงรักมีความห่วงใยในตน สตรีเป็นเพศที่จำความดีของผู้อื่นได้เก่งพอ ๆ
    กับการให้อภัย และลืมความผิดพลาดของชายอันตนรัก เหมือนเด็กน้อยแม้จะถูกเฆี่ยนมาจนปวดร้าวไปทั้งตัวแต่พอมารดาผู้เพิ่งจะวางไม้เรียว
    แล้วหันมาปลอบด้วยคำอันอ่อนหวานสักครู่หนึ่ง และแถมด้วยขนมชิ้นน้อย ๆ บ้างเท่านั้น เด็กน้อยจะลืมเรื่องไม้เรียว กลับหันมาชื่นชมยินดี

    ธรรมมีทุกหย่อมหญ้า.......สำหรับผู้มีปัญญา
     
  9. รูปส่วนตัว Butsaya

    Butsaya said:

    Re: ความรักพระอานนท์ ของนางโกกิลา

    กับคำปลอบโยนและขนมชินน้อยเขาจะซุกตัวเข้าสู่อ้อมอกของมารดา
    และกอดรักเหมือนอาลัยอย่างที่สุด การให้อภัยแก่คนที่ตนรักนั้น
    ไม่มีที่สิ้นสุดในหัวใจของสตรี และบางทีก็เป็นเพราะธรรมชาติอันนี้ด้วย
    ที่ทำให้เธอชอกช้ำแล้วชอกช้ำอีกแต่มนุษย์ทั้งบุรุษและสตรีเป็นสัตว์
    โลกที่ไม่ค่อยรู้จักเข็ดหลาบจึงต้องชอกช้ำด้วยกันอยู่เนือง ๆนางช้อน
    สายตาขึ้นมองพระอานนท์แววหนึ่งแล้วคงก้มหน้าต่อไปไม่มีเสียงตอบ
    จากนางเหมือนมีอะไรมาจุกที่คอหอยเธอพูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่าเธอดี
    ใจหรือเสียใจที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น "น้องหญิง" เสียงพระอานนท์ถาม
    ขึ้นอีก
    "เธอเจ็บบ้างไหม ? อาตมาเป็นห่วงว่าเธอจะเจ็บ"
    "ไม่เป็นไร พระคุณเจ้า" เสียงตอบอย่างยากเย็นเต็มที
    "เธอมาอยู่ที่นี่สบายดีหรือ ?"
    "พอทนได้ พระคุณเจ้า"
    "แม่นางต้องการอะไรเกี่ยวกับปัจจัย 4 ขอให้บอกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอ
    ปวารณาไว้" ท่านเศรษฐีพูดขึ้นบ้าง แล้วพระอานนท์และโฆสิตเศรษฐี
    ก็จากไป นางมองตามพระอานนท์ด้วยความรัญจวนพิศวาส นางรู้สึก
    เหมือนอยากให้หกล้มวันละห้าครั้ง ถ้าการหกล้มนั้นเป็นเพราะเธอได้
    เห็นพระอานนท์อันเป็นที่รัก นางเดินตามพระอานนท์ไปเหมือนถูก
    สะกด ความรักทำให้บุคคลทำสิ่งต่าง ๆ อย่างครึ่งหลับครึ่งตื่น
    ครู่หนึ่งนางจึงหยุดเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ แล้วเหลียวหลับกลับสู่ที่อยู่
    ของนาง นางกลับสู่ภิกขุนูปัสสยะที่พักของภิกษุณี ด้วยหัวใจที่เศร้า
    หมองความอยากพบและอยากสนทนาด้วยพระอานนท์นั้นมีมากสุด
    ประมาณบุคคลเมื่อมีความปรารถนาอย่างรุนแรง ย่อมคิดหาอุบาย
    เพื่อให้บรรลุสิ่งที่ปรารถนานั้น เมื่อไม่ได้โดยอุบายที่ชอบก็พยายามทำ
    โดยเล่ห์กลมารยา แล้วแต่ว่าความปรารถนานั้นจะสำเร็จได้โดย
    ประการใดโดยเฉพาะความปรารถนาในเรื่องรักด้วยแล้ว ย่อมหันเห
    บิดเบือนจิตใจของผู้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของมันให้กระทำได้ทุกอย่าง
    พระพุทธองค์จึงตรัสว่า เมื่อใดความรักและความหลงครอบงำ เมื่อนั้น
    บุคคลก็มืดมนเสมือนคนตาบอด นางปิดประตูกุฏินอนเหมือนคนเจ็บ
    หนัก ภิกษุณีผู้อยู่ห้องติดกันได้ยินเสียงครางจึงเคาะประตูเรียก
    "ท่านเป็นอะไรไปหรือ โกกิลา ?"
    สุนันทาภิกษุณีถามด้วยความเป็นห่วง
    "ไม่เป็นไรมากดอกสุนันทา ปวดศีรษะเล็กน้อย แต่ดูเหมือนจะมีอาการ
    ไข้ตะครั่นตะครอ เนื้อตัวหนักไปหมด" โกกิลาตอบ
    "ฉันยาแล้วหรือ ?"
    "เรียบร้อยแล้ว"
    "อ้อ มีอะไรจะให้ข้าพเจ้าช่วยท่านบ้างไม่ต้องเกรงใจนะ ข้าพเจ้ายินดีเสมอ"
    "มีธุระบางอย่าง ถ้าท่านเต็มใจจะช่วยเหลือก็พอทำได้"
    โกกิลาพูดมีแววแช่มชื่นขึ้น
    "มีอะไรบอกมาเถิด ถ้าข้าพเจ้าช่วยได้ก็ยินดี"
    สุนันทาตอบด้วยความจริงใจ
    "ท่านรู้จักพระอานนท์มิใช่หรือ ?"
    "รู้ซิ โกกิลา พระอานนท์ใคร ๆ ก็ต้องรู้จักท่าน เว้นแต่ผู้ไม่รู้จักพระผู้มี
    พระภาคเจ้าเท่านั้นท่านมีธุระที่พระอานนท์หรือ ?"
    "ถ้าไม่เป็นการลำบากแก่ท่านข้าพเจ้าอยากวานให้ท่านช่วยนิมนต์พระ
    อานนท์มาที่นี่ ข้าพเจ้าอยากฟังโอวาทจากท่านเวลานี้ข้าพเจ้ากำลัง
    ป่วย ชีวิตเป็นของไม่แน่ พระพุทธองค์ตรัสไว้มิใช่หรือว่า ความแตกดับ
    แห่งชีวิตความเจ็บป่วย กาลเป็นที่ตาย สถานที่ทิ้งร่างกายและคติใน
    สัมปรายภพเป็นสิ่งที่ไม่มีเครื่องหมาย ใคร ๆ รู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นขอ
    ท่านอาศัยความอนุเคราะห์เกื้อกูลแก่ข้าพเจ้าไปหาพระอานนท์
    แล้วเรียนท่านตามคำของข้าพเจ้าว่าโกกิลาภิกษุณีขอนมัสการท่าน
    ด้วยเศียรเกล้า เวลานี้นางป่วยไม่สามารถลุกขึ้นได้ ถ้าพระคุณเจ้าจะ
    อาศัยความกรุณาไปเยี่อมไข้ จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่
    นางหาน้อยไม่ " เวลานั้นบ่ายมากแล้ว ความอบอ้าวลดลงบริเวณ
    อารามซึ่งมีพันธุ์ไม้หลายหลาก ดูร่มรื่นยิ่งขึ้น นกเล็ก ๆ บนกิ่งไม้วิ่งไล่
    กันอย่างเพลิดเพลิน บางพวกร้องทักทานกันอย่างสนิทสนมและชื่นสุข
    ดิรัจฉานเป็นสัตว์โลกที่มีความรู้น้อยและความสามารถน้อยมันมีความรู้
    ความสามารถแต่เพียงหากินและหลบหลีกภัยเฉพาะหน้า แต่ดูเหมือน
    มันจะมีความสุขยิ่งกว่ามนุษย์ซึ่งถือตนว่าฉลาด และมีความสามารถ
    เหนือสัตว์โลกทั้งมวล เป็นความจริงที่ว่าความสุขนั้นขึ้นอยู่กับความ
    พอใจ มนุษย์ไม่ว่าจะอยู่ในเพศไหนและภาวะอย่างใด ถ้าสามารถ
    พอใจในภาวะนั้นได้ เขาก็มีความสุข คนยากจนหาเช้ากินค่ำ อาจจะมี
    ความสุขกว่ามหาเศรษฐี หรือมหาราชผู้เร่าร้อนอยู่เสมอ เพราะความ
    ปรารถนาและทะยายอยากอันไม่รู้จักสิ้นสุด มนุษย์เราจะมีสติปัญญา
    ฉลาดปานใดก็ตาม ถ้าไร้เสียแล้วซึ่งปัญญาในการหาความสุขให้แก่ต้น
    โดยทางที่ชอบ เขาผู้นั้นควรจะทะนงตนว่า ฉลาดกว่าสัตว์ละหรือ ?
    มนุษย์ส่วนใหญ่มักจะปล่อยให้ความยากความดิ้นรนออกหน้า แล้ววิ่ง
    ตามเหมือนวิ่งตามเงาของตนเองในเวลาบ่ายยิ่งวิ่งตามก็ดูเหมือนเงา
    จะห่างตัวออกไปทุกที ทุกคนต้องการและมุ่งมั่นในความสุข
    แต่ความสุขก็เหมือนเป็นเงานั่นเอง ความสุขมิใช่เป็นสิ่งที่เรา
    จะต้องแสวงหาและมุ่งมองหน้าที่โดยตรงที่มนุษย์ควรทำนั้นคือการมองทุกข์

    ธรรมมีทุกหย่อมหญ้า.......สำหรับผู้มีปัญญา
     
  10. รูปส่วนตัว Butsaya

    Butsaya said:

    Re: ความรักพระอานนท์ ของนางโกกิลา

    ให้เห็นพร้อมทั้งตรวจสอบพิจารณาสาเหตุแห่งทุกข์นั่นแล้วทำลาย
    สาเหตุแห่งทุกข์เสียโดยนัยนี้ความสุขก็จะเกิดขึ้นเอง เหมือนผู้
    ปรารถนาความสุขความเจริญแก่ประเทศชาติ ถ้าปราบเสี้ยนหนามและ
    เรื่องร้ายในประเทศมิได้ ก็อย่าหวังเลยว่าประชาชาติจะเจริญและผาสุก
    หรือเหมือนผู้ปรารถนาสุขแก่ร่างกาย ถ้ายังกำจัดโรคในร่างกายมิได้
    ความสุขกายจะมีได้อย่างไร แต่ถ้าร่างกายปราศจากโรคมีอนามัยดี
    ความสุขกายก็มีมาเอง ด้วยประการฉะนี้ปรัญชาเถรวาทจึงให้หลักเรา
    ไว้ว่า
    "มองทุกข์ให้เห็นจึงเป็นสุข"
    อธิบายว่า เมื่อเห็นทุกข์ กำหนดรู้ทุกข์และค้นหาสมุฏฐานของทุกข์
    แล้วทำลายสาเหตุแห่งทุกข์นั้นเสีย เหมือนหมอทำลายเชื้ออันเป็น
    สาเหตุแห่งโรค ยิ่งทุกข์ลดน้อยลงเท่าใด ความสุขก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
    เท่านั้น ความทุกข์ที่ลดลงนั่นเองคือความสุขเหมือนทรรศะทาง
    วิทยาศาสตร์ที่ถือว่าความเย็นนั้นไม่มี มีแต่ความร้อน ความเย็นคือ
    ความร้อนที่ลดลง เมื่อความร้อนลดลงถึงที่สุดก็กลายเป็นความเย็น
    ที่สุด ทำนองเดียวกัน เมื่อความทุกข์ลดลงถึงที่สุดก็กลายเป็นความสุข
    ที่สุดขึ้นแห่งความสุขนั้นมีขึ้นตามขั้นแห่งความทุกข์ที่ลดลง คำสอน
    ทางศาสนาเมื่อว่าโดยนัยหนึ่งจึงเป็นเรื่องของ "ศิลปะแห่งการลด
    ทุกข์" นั่นเอง พระอานนท์ได้รับคำบอกเล่าจากสุนันทาภิกษุณีแล้ว
    ให้รู้สึกเป็นห่วงกังวลถึงโกกิลาภิกษุณียิ่งนัก ท่านคิดว่าหรือจะเป็น
    เพราะนางหกล้มเมื่อบายนี้กระมัง จึงเป็นเหตุให้นางป่วยลง อนิจจา!
    โกกิลาเธอรักเรา เราหรือจะไม่รู้ แต่เธอมาหลงรักคนที่ไม่มีหัวใจจะรัก
    เสียแล้ว เหมือนเด็กน้อยผู้ไม่ประสาต่อความตาย นั่งร่ำร้องเร่งเร้า
    ขอคำตอบจากมารดาผู้นอนตายสนิทแล้ว ช่างน่าสงสารสังเวชเสียนี่
    กระไร ผู้หญิงมีความอ่อนแอทั้งด้านร่างกายและจิตใจ พระศาสดาจึง
    กีดกันหนักหนาในเบื้องแรกที่จะให้สตรีบวชในศาสนาทั้งนี้เป็นเพราะ
    พระมหากรุณาของพระองค์ที่ไม่ต้องการให้สตรีลำบาก มีเรื่องเดียว
    เท่านั้นที่สตรีทนได้ดีกว่าบุรุษ นั้นคือการทนต่อความเจ็บปวด พระ
    อานนท์มีพระรูปหนึ่งเป็นปัจฉาสมณะไปสู่สำนักภิกษุณีเพื่อเยื่อมไข้
    แต่เมื่อเห็นอาการไข้ของโกกิลาภิกษุณีแล้ว ความสงสารและกังวล
    ของท่านก็ค่อย ๆ คลายตัวลง ความฉลาดอย่างเลิศล้ำของพระพุทธ
    อนุชาแทงทะลุความรู้สึกและ เคลัญญาการของนาง ท่านรู้สึกว่าท่าน
    ถูกหลอกท่านไม่เชื่อเลยว่านางจะเป็นไข้จริง
    "แต่เอาเถิด" พระอานนท์ปรารถกับตัวท่านเอง
    "โอกาสนี้ก็เป็นโอกาสดีเหมือนกันที่จะแสดงบางอย่างให้นางทราบ
    เพื่อนางจะได้ละความพยายาม เลิกรัก เลิกหมกมุ่นในโลกียวิสัย
    หันมาทำความเพียรเพื่อละสิ่งที่ควรละ
    และเจริญในสิ่งที่ควรทำให้เจริญให้เหมาะสมกับเพศภิกษุณีแห่ง
    คงจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่นางไปตลอดกาลนาน
    คงจะเป็นปฏิการอันประเสริฐสำหรับความรักของนางผู้ภักดีต่อเราตลอดมา"
    โกกิลาผู้ประหารกิเลส
    แลแล้วพระอานนท์ก็กล่าวว่า
    "น้องหญิง ชีวิตนี้เริ่มต้นด้วยเรื่องที่น่าละอาย
    ทรงตัวอยู่ด้วยเรื่องที่ยุ่งยากสับสน และจบลงด้วยเรื่องเศร้า
    อนึ่ง ชีวิตนี้เริ่มต้นและจบลงด้วยเสียงคร่ำครวญ
    เมื่อลืมตาขึ้นดูโลกเป็นครั้งแรกเราก็ร้องไห้
    และเมื่อจะหลับตาลาโลกเราก็ต้องร้องไห้อีก
    หรือย่างน้องก็เป็นสาเหตุให้คนอื่นหลั่งน้ำตา
    เด็กร้องไห้ พร้อมด้วยกำมือแน่น
    เป็นสัญลักษณ์ว่าเขาเกิดมาเพื่อจะหน่วงเหนี่ยวยึดถือ
    แต่เมื่อหลับตาลาโลกนั้น ทุกคนแบมือออกเหมือนจะเตือนให้ผู้อยู่
    เบื้องหลังสำนึก
    และเป็นพยานว่าเขามิได้เอาอะไรไปเลย"
    "น้องหญิง อาตมาขอเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังสักเล็กน้อย
    อาตมาเกิดแล้วในศากยวงศ์อันมีศักดิ์
    ซึ่งเป็นที่เลืองลือว่าบริสุทธิ์ยิ่งในเรื่องตระกูล
    อาตมาเป็นอนุชาแห่งพระบรมศาสดา
    และออกบวชติดตามพระองค์เมื่ออายุได้ 36 ปี
    ราชกุมารผู้มีอายุถึง 36 ปีที่ยังมีดวงใจผ่องแผ้ว
    ไม่เคยผ่านเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ มาเลยนั้นเป็นบุคคลที่หาได้ยากในโลก
    หรืออาจจะหาไม่ได้เลยก็ได้
    น้องหญิงอย่านึกว่าอาตมาจะเป็นคนวิเศษเลิศลอยกว่าราชกุมาร
    ทั้งหลายอาตมาเคยผ่านความรักมาและประจักษ์ว่าความรักเป็นความ
    ร้ายความรักเป็นสิ่งทารุณเป็นเครื่องทำลายความสุขของปวงชน
    อาตมากลัวต่อความรักนั้นทุกคนต้องการความสมหวังในชีวิตรัก
    แต่ความรักไม่เคยให้ความหวังแก่ใครถึงครึ่งหนึ่งแห่งความต้องการ
    ยิ่งความรักที่ฉาบทาด้วยความเสน่หาด้วยแล้วจะเป็นพิษแก่จิตใจ
    ทำให้ทุรนทุรายดิ้นรนไม่รู้จักจบสิ้น
    ความสุขที่เกิดจากความรักนั้นเหมือนความสบายของคนป่วยที่ได้กินของแสลงเธออย่าพอใจในเรื่องความรักเลย
    เมื่อหัวใจถูกลูบไล้ด้วยความรัก หัวใจนั้นจะสร้างความหวังขึ้นอย่างเจิด

    ธรรมมีทุกหย่อมหญ้า.......สำหรับผู้มีปัญญา