รู้แข็งด้วยปัญญาเป็นอย่างไร

กระทู้: รู้แข็งด้วยปัญญาเป็นอย่างไร

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. รูปส่วนตัว Butsaya

    Butsaya said:

    รู้แข็งด้วยปัญญาเป็นอย่างไร

    สวัสดีค่ะ ทุก ๆ ท่านที่แวะผ่านมาค่ะ

    วันนี้มีปัญหาสงสัยมาอีกแล้วนะค่ะ บุษไปอ่านเวปมาแล้วเกิดสงสัยว่า
    การรู้แข็งด้วยจิต กับการรู้แข็งด้วยปัญญานั้นเป็นอย่างไรนะค่ะ
    แต่การรู้แข็งด้วยปัญญานี้ มันมีหลายระดับอีก แต่ละระดับนั้นมันเป็นอย่างไรค่ะ

    ธรรมมีทุกหย่อมหญ้า.......สำหรับผู้มีปัญญา
     
  2. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:

    Re: รู้แข็งด้วยปัญญาเป็นอย่างไร


    จิต เป็นสภาพรู้ สามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้
    ปัญญา คือสภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต...เป็นสภาพที่เข้าใจถูกตรงตามความเป็นจริง

    ถ้าขณะนี้ลองจับโต๊ะ...ทุกคนก็ตอบได้ว่าแข็งใช่มั้ยคับ
    เพราะทุกคนมีจิต จึงสามารถรับรู้สภาพแข็งได้
    นี่คือการรับรู้ตามธรรมชาติของจิตซึ่งเป็นธาตุรู้
    ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด...ไม่ว่าผู้นั้นจะประกอบด้วยปัญญาหรือไม่
    ก็รับรู้สภาพแข็งเหมือนๆ กัน

    แต่ผู้ที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา...ก็เป็นตัวตนเราที่รู้
    ไม่ว่าจะจับโต๊ะ จับเก้าอี้ จับปากกา จับช้อน จับแก้ว ฯลฯ
    ก็เป็นโต๊ะแข็ง เก้าอี้แข็ง ปากกาแข็ง ช้อนแข็ง แก้วแข็ง ฯลฯ

    ส่วนผู้ที่ประกอบด้วยปัญญา...สติปัฏฐานเกิด
    ขณะนั้นก็ระลึกรู้ได้ว่าเป็นเพียงจิตซึ่งเกิดขึ้นรับรู้สภาพธรรมที่ปรากฏเมื่อสัมผัสกาย
    ปัญญาเข้าใจถูกว่าเป็นเพียงอาการรู้ สภาพรู้...จึงไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนใดๆ
    หรือระลึกรู้ได้ว่าความแข็งนั้นเป็นเพียงสภาพธรรมชนิดนึง
    ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่เก้าอี้ ไม่ใช่ปากกา ไม่ใช่ช้อน ไม่ใช่แก้ว ฯลฯ
    ปัญญาเข้าใจถูกว่าแข็งก็คือแข็ง...แข็งเป็นเพียงรูปธาตุชนิดนึงที่ปรากฏเมื่อสัมผัสกาย
    ส่วนโต๊ะ เก้าอี้ ปากกา ช้อน แก้ว ฯลฯ คือความหมายที่นึกคิดขึ้นสมมติเรียกตามรูปทรงสัณฐาน

    ปัญญาที่เข้าใจถูกนี้มีหลายระดับ เช่น
    เข้าใจถูกโดยเรื่องราวที่ได้ยิน ได้อ่าน ได้ฟัง ได้สนทนา(สุตตมยปัญญา)
    เข้าใจถูกโดยการไตร่ตรองพิจารณา ตรงตามเหตุตามผล ตรงตามความเป็นจริง (จินตามยปัญญา)
    เข้าใจถูกโดยได้ประจักษ์ในสภาพธรรมนั้นๆ จากของจริงที่กำลังปรากฏ (ภาวนามยปัญญา)

    และความเข้าใจแต่ละระดับนั้นก็มีกำลังต่างๆ กันไปอีก เช่น
    เข้าใจในเรื่องราวที่ได้ยิน ได้อ่าน ได้ฟัง ได้สนทนา มากน้อยแค่ไหน
    ไตร่ตรองพิจารณาแล้ว เข้าใจได้ถี่ถ้วนถูกตรงมากน้อยแค่ไหน
    เวลาที่สติปัฏฐานเกิดระลึกรู้สภาพธรรมจริงๆ ที่กำลังปรากฏ
    เข้าใจถูกในสภาพธรรมของจริงนั้นมากน้อยแค่ไหน

    เป็นธรรมดาอยู่เองที่สติปัฏฐานเกิดแรกๆ
    ปัญญายังมีกำลังอ่อน สติปัฏฐานระลึกรู้ได้เพียงลางๆ ไม่แจ่มชัด ไม่ถ้วนทั่ว
    และสภาพธรรมที่ปรากฏแต่ละขณะก็แสนสั้น
    อย่างเช่นสภาพแข็งที่กำลังปรากฏในขณะนี้
    ก็เพียงปรากฏแล้วก็หมดไป ทีละขณะๆ สืบต่อกันไปอย่างเร็ว
    สภาพแข็งปรากฏชั่วแว้บเดียว...ผ่านแล้วผ่านเลย หมดแล้วหมดเลย
    มีแต่สภาพแข็งใหม่ปรากฏอีกให้สติปัฏฐานระลึกรู้เป็นปัจจุบันขณะๆ ไป

    เราอาจจะอ่านโดยเรื่องราวแล้วก็เข้าใจตามได้ว่า...
    - จิตเป็นนามธาตุ เป็นสภาพรู้
    - แข็งเป็นรูปธาตุ เป็นลัษณะของธาตุดินที่ปรากฏให้จิตรู้
    - จิตรู้สัมผัสที่กายทวารก็ขณะนึง จิตทางมโนทวารที่รับรู้ต่อก็อีกขณะนึง
    - สภาพธรรมทั้งหลายเป็นเพียงรูปธาตุ-นามธาตุ จึงไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนของใคร
    - สภาพธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย
    - สภาพธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีใครสั่งหรือเป็นเจ้าของ
    - กุศลจิตเป็นอย่างไร...อกุศลจิตเป็นอย่างไร
    - ขณะใดที่ประกอบด้วยปัญญา...ขณะใดที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา
    - ฯลฯ

    ...ต่างๆ มากมายเหล่านี้เราสามารถที่จะอ่านตาม เข้าใจตามได้หมด
    แต่กว่าปัญญาจะประจักษ์ในสภาพธรรมตามนั้นจริงๆ
    ก็ต้องเป็นสติปัฏฐานที่มีกำลังยิ่งขึ้นๆ จนกว่าจะประจักษ์ชัดแจ้งแทงตลอด
    ซึ่งคงไม่ใช่อ่านปุ๊บแทงตลอดปั๊บ หรือสติปัฏฐานเกิดนิดๆ หน่อยๆ แล้วจะให้รู้ชัดทั่วถึงหมด
    การที่ปัญญาจะเจริญขึ้นบริบูรณ์พร้อมเป็นวิปัสสนาญาณประจักษ์แจ้งในสภาพธรรมขั้นต่างๆ นั้น
    ก็ต้องสั่งสมอบรมต่อเนื่องไปทุกภพทุกชาติอ่ะคับ




    เดฟ

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  3. รูปส่วนตัว Butsaya

    Butsaya said:

    Re: รู้แข็งด้วยปัญญาเป็นอย่างไร

    อืมมมม ชัดมาก ๆ ค่ะ พี่เดฟตอบให้ละเอียดดี
    ขอบพระคุณพี่เดฟมากนะค่ะ

    ธรรมมีทุกหย่อมหญ้า.......สำหรับผู้มีปัญญา
     
  4. RooT said:

    Re: รู้แข็งด้วยปัญญาเป็นอย่างไร

    สาธุคับ ท่านเดฟ ...ที่ได้สาธยายธรรม ได้ละเอียด
    สาธุคับ คุณบุษ ...ที่ได้ฟัง แล้วเข้าใจ และเห็นจริงตามที่ท่านเดฟ ได้แสดงไว้

    ขออนุญาตท่านเดฟ เสริมอีกหน่อยนึงนะคับ
    ขณะที่สัมผัสแก้วน้ำ ถ้ายังมีการรู้เพียงว่า "เป็นเราไปจับแก้วน้ำ" ขณะนั้น ยังไม่ใช่ปัญญาขั้นไหนๆเลย ( ยังเต็มไปด้วยโมหะ ความไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม )
    แต่ยังไม่ต้องไปค้นหา วิธีการใดๆเลยนะคับ ว่าทำยังไง จึงจะมีแข็ง แทนที่จะเป็นแก้วน้ำ
    เพราะจะเป็นความอยากรู้ อยากเห็น อยากประจักษ์ไปซะแล้ว ...เป็นโลภะแล้ว ( ยิ่งมีความอยาก จิตก็จะเศร้าหมองด้วยกิเลส ก็จะยิ่งทำให้ไม่มีโอกาสได้ประจักษ์ความจริง )
    ดังนั้น จึงทำได้แค่เพียง สะสมการฟัง ( ให้เข้าใจจริงๆ สะสมไปเรื่อยๆ ) ...เมื่อปัญญาขั้นฟัง และปัญญาขั้นพิจารณาค่อยๆเจริญขึ้น จนสมบูรณ์เมื่อไหร่ ...ก็จะเกิดปัญญาขั้นภาวนาได้เองน่ะคับ
    ไม่มีใครไปทำอะไร หรือไปคาดคั้น ไปบังคับบัญชาให้ ปัญญาเกิดเร็วๆ หรือเกิดมากๆ หรือเจริญๆขึ้น ได้เลยนะคับ

    ขณะที่สัมผัสแก้วน้ำ ถ้ามีการรู้ว่า ขณะนั้นเป็นเพียง "ความแข็ง ( ของธาตุดิน ) " ที่ปรากฎแล้วดับไป ( ไม่ใช่แก้วน้ำ ) ...นั่นเป็นปัญญาขั้นนึง
    ขณะที่สัมผัสแก้วน้ำ ถ้ามีการรู้ว่า นามธรรมที่รู้ความแข็ง นั้นคือ "วิบากจิตทางกายทวาร" ที่ปรากฎแล้วดับไป ( ไม่ใช่เราที่เป็นผู้รู้ ) ...นั่นเป็นปัญญาขั้นนึง
    ขณะที่สัมผัสแก้วน้ำ ถ้ามีการรู้ว่า นั้นเป็นการเกิดขึ้นของ "ทุกขลักษณะ" ที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ( ไม่ใช่สุข ไม่ใช่สิ่งที่น่ายินดีพอใจ ) ..นั่นเป็นปัญญาขั้นนึง
    ....แล้วก็ยังมีปัญญาอีกหลายๆ อย่าง ที่จะค่อยๆเจริญขึ้น ตามการสะสม เป็นลำดับขั้นน่ะคับ
    ถ้าไม่ฟังธรรมให้เข้าใจจริงๆซะก่อน ...สภาพธรรม ( ตามความเป็นจริง ) ก็ปรากฎไม่ได้เลยนะคับ
    ถ้าปัญญาขั้นฟังไม่มีเลย ปัญญาขั้นประจักษ์ก็ไม่เกิด สติก็ไม่เกิด

    เพราะสภาพธรรมเหล่านั้น ปรากฎอยู่แล้วในขณะนี้ ทุกๆเวลา
    และจะปรากฎสืบต่อไปอยู่อย่างนั้น อย่างไม่มีการหยุดยั้ง หรือจบสิ้นเลย ....ต่อไป เรื่อยไป อีกเนิ่นนานในสังสารวัฏนี้
    เพียงรอให้เรา สะสมปัญญา ( และอินทรีย์ 5 ที่เหลือ ให้สมบูรณ์ ) ก็จะประจักษ์ได้จริงๆ

    ขออนุโมนาครับ