ปุจฉา-บริจาคอวัยวะ เกิดชาติหน้าอวัยวะไม่ครบ ?

กระทู้: ปุจฉา-บริจาคอวัยวะ เกิดชาติหน้าอวัยวะไม่ครบ ?

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. รูปส่วนตัว Butsaya

    Butsaya said:

    ปุจฉา-บริจาคอวัยวะ เกิดชาติหน้าอวัยวะไม่ครบ ?


    ปุจฉา-บริจาคอวัยวะ
    เกิดชาติหน้าอวัยวะไม่ครบ ?
    โดยท่านว.วิชรเมธี




    ปุจฉา

    เพื่อนชวนไปบริจาคร่างกายให้เป็นการกุศลแก่โรงพยาบาล เพื่อเป็นประโยชน์แก่การศึกษาของนักเรียนทางด้านการแพทยศาสตร์
    ใจจริงก็เห็นดีเห็นงามไปกับเพื่อน เพราะเชื่อว่าคงได้บุญมาก แต่พี่ชายท้วงติงว่า คนที่บริจาคอวัยวะเป็นทาน เกิดมาชาติหน้าจะมีอวัยวะไม่สมบูรณ์
    ฟังแล้วชักใจคอไม่ดีเลย อยากทราบข้อเท็จจริงในเรื่องเป็นอย่างไร
    มธุรดา / บางขุนนนท์ / กรุงเทพฯ


    วิสัชนา

    การบริจาคอวัยวะเป็นทานถือว่าได้บุญมาก เพราะเป็นการทำบุญชั้นสูงอย่างหนึ่งที่เรียกว่าเป็นการบำเพ็ญ "บารมี"
    (คุณธรรมอันยิ่งยวดที่จะเป็นเหตุให้ได้บรรลุผลที่พึงประสงค์) ในพระพุทธศาสนาจัดการบริจาคไว้เป็นหนึ่งใน
    “บารมี ๑๐ ประการ” (คือ ทานบารมี) ที่พระโพธิสัตว์จะต้องบำเพ็ญให้บริบูรณ์ จึงจะบรรลุสู่ความเป็นพระพุทธเจ้าได้

    การบำเพ็ญความดีที่ถือว่าเป็นบารมี มีอยู่ ๓ ขั้น

    ขั้นที่ ๑ เรียกว่า ขั้นสามัญ เช่น ให้วัตถุหรือปัจจัยสี่เป็นทาน

    ขั้นที่ ๒ เรียกว่า ขั้นปานกลาง เช่น ให้อวัยวะ (บริจาคดวงตา เป็นต้น) เป็นทาน

    ขั้นที่ ๓ รียกว่า ขั้นสูงสุด เช่น ให้ชีวิตเป็นทาน

    การบริจาคเป็นคุณธรรมอันสำคัญอย่างยวดยิ่งที่ชาวพุทธควรฝึกทำให้ประรีตยิ่งๆ ขึ้นไปตามลำดับ
    ในพระไตรปิฎกมีพระพุทธศาสนสุภาษิตที่สอนให้ชาวพุทธฝึกการบริจาคให้สูงขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพจิตให้ประเสริฐกว่า กล่าวคือ

    “พึงสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ พึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต พึ่งสละทรัพย์ อวัยวะ และชีวิตสิ้นทุกอย่าง เพื่อรักษาธรรม”

    ความเชื่อที่ว่า หากบริจาคอวัยวะแล้วเกิดมาอีกชาติหนึ่งจะมีอวัยวะที่ไม่สมบูรณ์นั้น เป็นความเชื่อที่ผิดไปจากความเป็นจริง
    เพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้ว พระพุทธองค์คงมีลักษณาการที่ไม่สมประกอบเป็นแน่แท้ เนื่องจากเพราะในพระชาติหนึ่ง
    ขณะยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่พระองค์เสวยพระชาติเป็น “สิวิราชกุมาร” ในพระชาตินั้นทรงควักดวงพระเนตร (ตา) ทั้งสองข้างถวายเป็นทาน
    ผลแห่งมหาทานครั้งนั้นทำให้พระองค์ทรงได้ทิพยจักษุเป็นการตอบแทน มาในปัจจุบันชาติเล่าพระพุทธองค์ก็ทรง
    มีดวงเนตรสีดำสนิทและใสแจ๋วดังดวงเนตรของลูกโคที่เพิ่งคลอด ทั้งยังทรงมี “เบญจพิธจักษุ” (จักษุทั้ง ๕) กล่าวคือ

    ๑. มังสจักษุ คือทรงมี (ตาเนื้อ) พระเนตรอันงดงาม มีอำนาจแจ่มใส ไว และเห็นได้ไกล

    ๒. ทิพยจักษุ คือทรงมีพระปรีชาชาญที่ล่วงรู้ความเป็นไปของสรรพสัตว์ด้วยอำนาจของกฎแห่งกรรม

    ๓.ปัญหาจักษุ คือทรงมีปรีชาสามารถล่วงรู้อัธยาศัยและพื้นฐานความถนัดของสรรพสัตว์
    อันทำให้พระองค์ทรงสามารถที่จะเลือกวิธีการและคำสอนที่เหมาะสมสำหรับสัตว์ (คน) นั้นๆ ได้เป้นอย่างดี

    ๔. พุทธจักษุ คือทรงมีพระปรีชาสามารถล่วงรู้อัธยาศัยและพื้นฐานความถนัดของสรรพสัตว์ (คน) นั้นๆ ได้เป็นอย่างดี

    ๕. สมัตจักษุ คือทรงประกอบด้วยพระสัพพัญญุตญาณ (ญาณหยั่งรู้ธรรมทั้งปวง)

    ในทัศนะของผู้เขียนเห็นว่า คนที่บริจาคอวัยวะเป็นทานจัดว่าได้ทำบุญอันยิ่งใหญ่ ควรได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เสียสละที่หาได้ยาก
    ถือว่าเป็นผู้ดำเนินอยู่ในวิถีทางของพระมหาโพธิสัตว์ เขาเสียสละสิ่งสามัญเพื่อจักเสวยผลที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นหลายเท่านัก
    ไม่ใช่สละอวัยวะเป็นทานแล้วจะกลายเป็นคนพิกลพิการการในชาติหน้าก็หาไม่
    (ถ้าผลแห่งมหาทานบรามีเป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจะทรงสอนให้คนสละอวัยวะเป็นทานไปเพื่ออะไร)

    ใครที่เข้าใจอย่างนี้ควรรู้ไว้เสียด้วยว่าตนกำลังเข้าใจผิด ถือผิด ซ้ำยังคอยขัดขวางทางมหากุสลของคนอื่นเขาอีกต่างหาก




    คลิกเพื่อฟังและดาวน์โหลด


    เสียงอ่านโดย
    ดีเจสายซอ สมาชิกเว็บไซท์วัดเกาะวาลุการาม
    จัดทำเพื่อเผยแผ่เป็นธรรมทาน
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดย Butsaya : 06-15-2012 เมื่อ 07:56 AM

    ธรรมมีทุกหย่อมหญ้า.......สำหรับผู้มีปัญญา