อนุสัย

กระทู้: อนุสัย

ป้ายกำกับ: ไม่มี
  1. รูปส่วนตัว Butsaya

    Butsaya said:

    อนุสัย

    สวัสดีค่ะ

    อืมมม อนุสัยนี้จะนอนเนื่องใจจิตอย่างเดียวหรือเปล่าอะค่ะ
    เพราะว่า ส่วนใหญ่เขาจะบอกว่า อนุสัย เป็นธรรมชาติที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดาน
    ซึ่งมันมีคำว่า "ขันธ" นี้ด้วย ซึ่งนั่นกะหมายถึง รูป จิต เจตสิก หรือเปล่าค่ะ
    แล้วมันมีมัยอะค่ะ ที่อนุสัยนอนเนื่องในอย่างอื่นที่ไม่ใช่จิตอีกมัยอะค่ะ

    แต่เหมือนเคยฟังมาผ่าน ๆ ไม่ชัดเจนนะค่ะ ว่ามันมีอนุสัยในรูปขันธ์ ด้วยอะค่ะ
    ซึ่งมันเป็นไงกะไม่รู้นะค่ะ อิอิ... เลยเอามาถาม อิอิ..


    ธรรมมีทุกหย่อมหญ้า.......สำหรับผู้มีปัญญา
     
  2. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:

    Re: อนุสัย


    อนุสัย ไปนอนเนื่องในเตียง ในตู้ ในลิ้นชัก ในต้นไม้ ในห้วยหนองคลองบึง ฯลฯ ได้มั้ยอ่ะคับ...งง อิอิ




    เดฟ

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  3. รูปส่วนตัว Butsaya

    Butsaya said:

    Re: อนุสัย

    อืมมม คือฟังธรรมมาเขาว่าอย่างงี้นะค่ะ อนุสัยนอนเนื่องไปในรูปขันธ์กะได้ นามขันธ์กะได้
    เหมือนกับพวกอสัญญสัตตพรหมที่มีรูปขันธ์อย่างเดียวยังไปตาม
    นอนเนื่องอยู่ได้เป็นรูปธาตุภายนอก ที่จะต้องกลับมาเป็นมนุษย์หรือเทวดากะได้
    หรือพวกที่ขณะเข้านิโรธสมาบัตินี้อะค่ะ ปกโตนิสยปัจจัยซึ่งสร้างความชำนาญได้ทั้งในรูปธรรม
    และนามธรรม อะไรประมาณนี้อะค่ะ กะเลยว่าแปลกดี มีแบบนี้ด้วยหรอค่ะ อะค่ะ
    อะโห๋หห พี่เดฟ มาตอบเร็วจิง ๆ ยังเรียบเรียงคำถามไม่ถูกเลย อิอิ... เลยต้องวิ่งกับไป
    ฟังธรรมแล้วถอดคำพูดที่เขาว่ามาอีกทีว่าเขาว่าไงกันแน่ ๆ อิอิ....
    แบบนี้อนุสัยนอนเนื่องในรูปขันธ์กะมีเหมือนกันใช่ป่าวอะค่ะ

    ธรรมมีทุกหย่อมหญ้า.......สำหรับผู้มีปัญญา
     
  4. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:

    Re: อนุสัย

    อ๊ะ...แอบมาแก้คำถามทีหลังนี่นา
    ตอนแรกไม่ได้ถามแบบนี้นิ...หืมมมมมมมมมมมมม

    *****************************************************

    งั้นลองดูนี่นะคับ

    สนฺตาเน อนุ อนุ เสนฺตีติ อนุสยา ฯ
    ธรรมเหล่าใดที่ตามนอนเนื่องอยู่ในสันดานเป็นเนืองนิจ ธรรมเหล่านั้นชื่อว่า อนุสัย

    จิตฺตสนฺตาเน นิทหิตฺวา ว ฯ
    ฝากไว้ในจิตตสันดานนั่นเทียว

    อนุรูปํ การณํ ลภิตฺวา เสนฺติ อุปฺปชฺชนฺตีติ อนุสยา ฯ
    ธรรมเหล่าใดเมื่อได้เหตุอันสมควรแล้ว ย่อมเกิดขึ้นได้ ธรรมเหล่านั้นชื่อว่า อนุสัย

    *****************************************************

    ก็คือว่า...
    อนุสัยกิเลส เป็นกิเลสอย่างละเอียดที่ไม่แสดงตน
    แต่นอนเนื่องอยู่ในจิตที่เกิดดับสืบต่อ
    ที่เรียกว่า จิตตสันดาน นั่นเองอ่ะคับ

    สำหรับ ขันธสันดาน ก็เป็นการกล่าวรวมทั้ง 5 ขันธ์ ซึ่งเกิดดับสืบต่อ

    จิต ก็คือ วิญญาณขันธ์นั่นเองอ่ะคับ




    เดฟ

    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  5. รูปส่วนตัว D E V

    D E V said:

    Re: อนุสัย


    อ้าว คำถามมาเพิ่มทีหลังอีก 555555555
    แหม่ เหมือนรถไฟสวนกันเลยนะคับ
    ยังไงกันแน่ อิอิ

    สำหรับอสัญญสัตตพรหมซึ่งมีแต่รูปขันธ์เพียงขันธ์เดียว
    ไม่มีนามขันธ์เพราะระงับไว้ด้วยกำลังของสัญญาวิราคภาวนา
    ทำให้มีแต่รูปปฏิสนธิด้วยอำนาจของกรรม
    และดำรงอยู่ด้วยรูปขันธ์ (ไม่สามารถรับรู้อะไรได้เลย) จนกว่าจะหมดอายุตามกรรม
    แต่เมื่อยังไม่ได้ดับสิ้นกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน
    ก็ยังมีปัจจัยให้นามขันธ์ซึ่งระงับไว้...และรูปขันธ์ เกิดขึ้นอีก
    ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกในสังสารวัฏ
    อนุสัยกิเลสก็ยังนอนเนื่องสืบต่อในจิตตสันดาน
    หรือจะกล่าวรวมไปทั้ง 5 ขันธ์ ก็เรียกว่า ขันธสันดาน น่ะคับ




    เดฟ


    สรณะคือพระรัตนตรัย
     
  6. *8q* said:

    Re: อนุสัย





    แล้วจะนั่งคันไหนดีครับจารย์
    ก่อนเกิดใครเป็นเรา<br />เมื่อเกิดแล้วเราเป็นใคร<br /><br />สิ่งที่ทำอยู่คือกรรมใหม่<br />ผลที่ได้รับคือกรรมเก่า<br /><br />ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน<br />มองในสิ่งที่ไม่เห็น<br />ทำในสื่งที่ไม่มี
     
  7. รูปส่วนตัว oubasika

    oubasika said:

    Re: อนุสัย

    ตั้งคำถามและได้คำตอบที่เป็นประโยชน์มากค่ะ ความรู้งอกเงยค่ะ อิอิ อนุโมทนาสาธุค่ะ
    เลยขอก๊อปปี๊ ข้อความที่เป็นประเด็นมาเสริมให้ค่ะ อิอิ ไม่ใด้ตอบเองนะค่ะ555เพราะปัญญายังไม่ถึงค่ะ ครึ่งก็ยังไม่ใด้ค่ะ อิอิ

    ข้อความเพิ่มเติมนะค่ะ


    อนุสัยกิเลส หมายถึง กิเลสอย่างละเอียดที่ตามนอนเนื่องอยู่ในจิตไม่ปรากฏตัวออก

    มา หรือเป็นกิเลสที่มีกำลังที่ยังละไม่ได้ จะละได้ด้วยปัญญระดับมรรคจิตครับ

    อนุสัย มี 7 ประการคือ

    ๑. กามราคานุสัย หมายถึง โลภะ ความติดข้องในกาม

    ๒. ปฏิฆานุสัย หมายถึง โทสะ ความโกรธ

    ๓. ทิฏฐานุสัย หมายถึง ความเห็นผิด

    ๔. วิจิกิจฉานุสัย หมายถึง ความสงสัย

    ๕. มานานุสัย หมายถึง ความถือตัว ความสำคัญตัว

    ๖. ภวราคานุสัย หมายถึง โลภะ ความติดข้องในภพ

    ๗. อวิชชานุสัย. หมายถึง โมหะ ความไม่รู้

    อาสวะกิเลส หมายถึง อกุศลธรรมชนิดหนึ่งที่มีสภาพหมักหมมไว้ในขันธสันดาน

    เหมือนกับสุราซึ่งเป็นเครื่องหมักดองที่เก็บไว้นานๆ มีอำนาจทำให้เมาและหลงใหล

    ได้ อาสวะยังเป็นสภาพที่ไหลไป ไหลไปสู่ทางตา ทางหู ทางจมูกทางลิ้น ทาง

    กาย ทางใจ สามารถไหลไปได้จนถึงภวัคคพรหม เมื่อว่าโดยภูมิ แต่เมื่อว่าโดย

    ธรรม ก็ไหลไปได้จนถึงโคตรภู ทำให้สังสารวัฏฏ์เจริญสืบต่อไป

    อาสวะมี ๔ อย่าง คือ ...

    ๑. กามาสวะ เครื่องหมักดองคือความยินดีในกาม ได้แก่ โลภเจตสิกที่เกิดกับ

    โลภมูลจิต ๘ ดวง

    ๒. ภวาสวะ เครื่องหมักดองคือความยินดีในภพ ได้แก่ โลภเจตสิกที่เกิดกับ

    โลภทิฏฐิคตวิปปยุตต์ ๔ ดวง

    ๓. ทิฏฐาสวะ เครื่องหมักดองคือความเห็นผิด ได้แก่ ทิฏฐิเจตสิกที่เกิดโลภ

    ทิฏฐิคตสัมปยุตต์ ๔ ดวง

    ๔. อวิชชาสวะ เครื่องหมักดวงคือความไม่รู้ ได้แก่ โมหเจตสิกที่เกิดกับอกุศล

    จิตทั้ง ๑๒ ดวง


    ******************************************
    ความต่างกันของอนุสัยกิเลสและอาสวะกิเลส

    อนุสัยกิเลส เป็นกิเลที่ละเอียด นอนเนื่องในสันดาน ไม่ปรากฎให้รู้ได้ แต่เป็นพืชเชื้อ

    ให้มีการเกิดขึ้นของกิเลสอย่างกลาง เช่น ความโกรธในใจ ดังนั้นอนุสัยกิเลส จึงเป็น

    กิเลสที่ละเอียดที่สุด ที่ไม่ปรากฎแต่ก็เป็นเหตุให้กิเลสระดับอื่นๆเกิดขึ้นครับ ส่วนอาสวะ

    กิเลสเป็นกิเลสที่เกิดขึ้น อันเป็นการแสดงถึงลักษณะของกิเลสที่สะสมมานาน เหมือน

    การหมักดองไว้นานมาก จึงทำให้มีการเกิดขึ้นของกิเลสทีเป็นอาสวะ ดังนั้น อนุสัย

    กิเลสจึงเป็นกิเลสที่ละเอียดกว่าอาสวะ เพราะอนุสัยกิเลสไม่ปรากฎให้รู้ นอนเนื่องอยู่ใน

    สันดาน ในจิตที่เกิดขึ้นนั่นเองครับ แต่อาสวะกิเลส เป็นกิเลสที่เกิดขึ้นแล้วในใจ เช่น

    ขณะที่ยินดีพอใจ ติดข้องเกิดขึ้น ก็เป็นอาสวะกิเลสที่เป็น กามาสวะ เป็นต้น ดังนั้น

    อาสวะกิเลส จึงเป็นกิเลสอย่างกลางทีเกิดขึ้นในใจ กิลสจึงมีหลายระดับ ทั้งอย่าง

    หยาบ คือ ล่วงออกมาทางกาย วาจา กิเลสอย่างกลางที่เกิดขึ้นในใจ แต่ยังไม่ล่วงออก

    มาทางกาย วาจา และกิเลสอย่างละเอียดที่ไม่ปรากฎให้รู้ได้ แต่ก็มีสะสมอยู่ในจิต ซึ่ง

    อาสวะเป็นกิเลสทีเกิดขึ้นแล้ว ไหลไปตามสภาพธรรมประเภทต่างๆ เป็นกิเลส

    อย่างกลาง ส่วนอนุสัยกิเลส เป็นกิเลสอย่างละเอียด ไม่ปราฏให้รู้แต่สะสมอยู่ที่จิต

    ดังนั้นอนุสัยกิเลส จึงเป็นกิเลสที่ละเอียดกว่าอาสวะกิเลสครับ ตามเหตุผลที่กล่าวมา


    *****************

    ลักษณะของมัน เจอเมื่อไหร่ตีได้เลย อิอิ

    กิเลสที่เกิดขึ้นมาที่จิต ปรากฎให้รู้ได้ เช่น ความโกรธที่เกิดขึ้นในใจ กิเลสทีเกิดขึ้น

    ในใจที่ปรากฎให้รู้ได้ ขณะนั้นไม่ใช่อนุสัยกิเลส เพราะปรากฎให้รู้แล้วเกิดขึ้นแล้ว แต่

    อนุสัยกิเลสเป็นกิเลสที่นอนเนื่องในจิต ไม่ปรากฎให้รู้ แต่เป็นเหตุให้เกิด กิเลสที่เกิด

    ขึ้นในใจ คือ ความโกรธ ซึ่งกิเลสที่เกิดขึ้นในใจแล้ว มีความโกรธ เป็นต้น จะไม่เกิดขึ้น

    เลย หากไม่มีกิเลสที่ละเอียดที่เป็นอนุสัยกิเลส ที่นอนนื่องในสันดาน ในจิตนั่นเองครับ

    เปรียบเหมือนการที่ขณะนี้กำลังเป็นโรค มีโรคปรากฎเกิดขึ้นกับร่างกาย เช่น เป็นไข้

    หวัด แต่การเป็นไข้หวัดจะมีไม่ได้เลย ถ้าไม่มีเชื้อไวรัส ดังนั้นเพราะมีเชื้อไวรัสที่

    สะสมอยู่ในร่างกาย บางคราวก็ยังไม่เป็นหวัดก็ไม่รู้ว่ามีเชื้อไวรัสแต่เมื่อเป็นหวัดเมื่อไหร่

    ก็รู้ได้ทันทีว่า มีเชื้อไวรัสอยู่ในร่างกาย จึงปรากฎการเป็นไข้หวัดเกิดขึ้นครับ ความ

    โกรธ ความโลภ อกุศลที่เกิดขึ้นในใจเกิดขึ้นในขณะนี้ ปรากฎให้รู้ได้ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้

    เพราะมีอนุสัยกิเลสประการต่างๆ ที่เป็นกิเลสละเอียดนั่นเองครับ ซึ่งอนุสัยกิเลสไม่

    ปรากฎให้รู้ แต่ก็มีอยู่ อันเป็นเหตุให้เกิดกิเลสที่เกิดขึ้นในใจ มีประการต่างๆ เช่น ความ

    โกรธ ความโลภะ เป็นต้นครับ

    การละกิเลส อนุสัยกิเลสก็ต้องเป็นไปตามระดับปัญญา ซึ่งต้องเป็นปัญญาระดับสูง

    ถึงความเป็นพระอริยบุคคลเท่านั้นครับ

    พระโสดาบัน ดับอนุสัยได้ ๒ คือ ทิฏฐานุสัย ๑ วิจิกิจฉานุสัย ๑

    พระอนาคามี ดับอนุสัยเพิ่มอีก ๒ คือ กามราคานุสัย ๑ ปฏิฆานุสัย ๑

    พระอรหันต์ ดับอนุสัยได้เพิ่มอีก ๓ คือ ภวราคานุสัย ๑ มานานุสัย ๑ อวิชชานุสัย ๑

    อนุสัยทั้งหมด ๗ พระอรหันต์ดับได้ทั้งหมด


    ก็ว่าด้วยประการฉะนี้แล สาธุๆค่ะ

    อุบาสิกา


    *กิจโฉ มนุสสปฏิลาโภ การเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นแสนยากส์
    *


     
  8. รูปส่วนตัว Butsaya

    Butsaya said:

    Re: อนุสัย

    อืมมมค่ะ พี่เดฟ ขอบคุณนะค่ะ อนุโมทนากับพี่เดฟ คุณอุบาสิกาด้วยนะค่ะ อิอิ

    อ้อ สวัสดีค่ะ พี่แปดคิว แห๋มม พักนี้ไม่ค่อยเห็นพี่แปดคิวเลยนะค่ะ อิอิ...

    แบบนี้แสดงว่า อนุสัยเนียเป็นกิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในจิต
    ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยไปปลุกให้ตื่นขึ้นมาก็จะนอนเนื่องอยู่อย่างนั้น ไม่ตื่น
    ซึ่งจิตนี้เองกะต้องอาศัยรูปเป็นเหตุปัจจัยในการเกิดขึ้นนั่นเอง อิอิ...

    ธรรมมีทุกหย่อมหญ้า.......สำหรับผู้มีปัญญา
     
  9. Admax said:

    Re: อนุสัย

    คันที่จะไปถึงปลายทางไงพี่ 8q
    ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
    ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
    รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
    การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ